สุดท้ายตรงริมลำคลองมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญปรากฏตัว มีสองคน
แต่อันที่จริงถือว่าเป็นแค่หนึ่งคน
เหล่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่ได้ยืนอยู่บนยอดเขาของกลุ่มภูเขามานานหลายปี แววตาน้อยนิดแค่นี้ยังพอมีอยู่บ้าง มหามรรคาของทั้งสองผสานสอดคล้องกัน เพียงแต่ว่าแบ่งหนึ่งออกเป็นสอง
เมื่อสตรีสวมชุดขาวร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวพร้อมกับ ‘ข้ารับใช้’ ที่สวมเสื้อเกราะสีทอง ผู้ฝึกตนทุกคนต่างก็พากันย้ายสายตามามองนาง หรือควรจะพูดว่าพวกนาง พวกมัน?
ศีรษะหนึ่งศีรษะกับเสื้อเกราะสีทองตัวนั้น ล้วนเป็นของเชลยศึก
ผู้ถือกระบี่ (หรือผู้ครองกระบี่ เนื่องจากการแปลในตอนต้นๆ อาจทำให้เกิดความสับสนระหว่างผู้ถือกระบี่กับข้ารับใช้ผู้ถือกระบี่ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ผู้แปลขออนุญาตแปล 持剑者 ว่าผู้ถือกระบี่หรือผู้ครองกระบี่ 剑侍 เป็นองค์รักษ์กระบี่หรือข้ารับใช้กระบี่) ยุคบรรพกาลห่างไกล หนึ่งในห้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ขั้นสูงสุดในตำนาน
นอกจากหลี่เซิ่ง ป๋ายเจ๋อ ตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าแห่งอารามกวานเต๋าและเฒ่าตาบอดที่ล้วนไม่รู้สึกว่านางคือคนแปลกหน้าแล้ว
ต่อให้เป็นพวกอวี๋โต้วเต๋าเหล่าเอ้อ ลู่เฉินเจ้าลัทธิสาม คนพิฆาตมังกร อู๋ซวงเจี้ยง ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่จำนวนมากกว่านั้นที่มาเข้าร่วมการประชุมวันนี้ ต่างก็เพิ่งเคยเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ ‘พลังพิฆาตสูงเกินนอกฟ้า’ ผู้นี้กับตาตัวเองเป็นครั้งแรก
สงครามเดินขึ้นฟ้าเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน สุดท้ายเผ่ามนุษย์เดินขึ้นไปสู่ยอดสูงสุดได้สำเร็จ โยนความรักตัวกลัวตายของเหล่าปราชญ์ผู้ล่วงลับเผ่ามนุษย์ทิ้งไป กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ นอกจากนี้ผู้ถือกระบี่ได้ถามกระบี่ต่อผู้สวมเสื้อเกราะ ความขัดแย้งภายในซึ่งเป็นการช่วงชิงกันระหว่างน้ำและไฟในครานั้น และยังมีความดูแคลนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีต่อนิสัยใจคอของมนุษย์ ล้วนเป็นกุญแจสำคัญ ไม่ว่าความผิดพลาดในขั้นตอนใดก็ตาม จุดจบของเผ่ามนุษย์ล้วนจะต้องอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เหนือผืนแผ่นดินใหญ่ขึ้นไป สภาพการณ์ของเผ่ามนุษย์เรียกได้ว่าจมอยู่ในน้ำลึกหล่นลงในกองไฟร้อน ทั้งต้องกลายมาเป็นหุ่นเชิดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เลี้ยงไว้เอามาทำเป็นต้นกำเนิดของควันธูปที่หล่อหลอมมหามรรคามิเสื่อมสลายของร่างทอง แล้วยังต้องถูกเผ่าปีศาจที่วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่บนพื้นดินสังหารจับล่าอย่างกำเริบเสิบสาน มองเป็นต้นกำเนิดของอาหาร เผ่ามนุษย์ในอดีตอ่อนแอบอบบางเกินไป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่สูงส่งเหนือขึ้นไปบนหัวอาศัยหอบินทะยานสองแห่งเป็นเส้นทางข้ามผ่านตะวันจันทราและดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนเยื้องกรายลงมาเยือนโลกมนุษย์ กรีฑาทัพลงมายังแผ่นดินใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วมักจะช่วยเหลือเผ่ามนุษย์อ่อนแอที่ถูกจับล้อมอยู่ในคอก สังหารปีศาจใหญ่ที่โอหังจนเกินขอบเขต
นอกจากนี้แล้ว อันดับแรกก็มีกระบี่หล่นลงมายังโลกมนุษย์ก่อน ถึงได้มีการถามกระบี่ต่อฟ้าในภายหลังและตามมาด้วยเวทอาคมดุจดั่งสายฝน เผ่ามนุษย์เริ่มทำการฝึกเวทกระบี่ คาถาอาคม และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการเดินขึ้นเขา
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมถึงมีเพียงผู้ฝึกกระบี่ที่พลังพิฆาตยิ่งใหญ่ที่สุด แต่กลับถูกมหามรรคาสยบกำราบอย่างที่มองไม่เห็น
อวี๋โต้ว บนศีรษะสวมกวานหางปลา สะพายกระบี่เซียนเต้าจ้าง กลิ่นอายบนร่างกับปราณกระบี่ในกล่องกระบี่ล้วนแผ่กระเพื่อม ราวกับว่าเต๋าเหล่าเอ้อที่ ‘นอกจากบรรพจารย์สามลัทธิแล้ว ข้าก็ไร้ศัตรูทัดทาน’ ผู้นี้ถึงกับไม่อาจสยบข่มปณิธานกระบี่ที่ซัดกรากของกระบี่เซียนเล่มนั้นเอาไว้ได้
แน่นอนว่าก็อาจเป็นท่าทีของการถามกระบี่ที่อวี๋โต้วกระทำไปตามแต่ใจตัวเองด้วย
และในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนที่บัญชาการณ์ห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิงแทนมรรคาจารย์เต๋า ลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋าที่หายสาบสูญไปนานแล้ว อวี๋โต้ว ลู่เฉิน อันที่จริงทั้งสามคนนี้ต่างก็ไม่เคยเข้าร่วมการประชุมริมลำคลองเมื่อหมื่นปีก่อนหน้านี้
บนศีรษะของลู่เฉินสวมกวานดอกบัว บนไหล่มีนกขมิ้นสีเหลืองตัวหนึ่ง เขายิ้มร่าพูดกับศิษย์พี่ว่า “ในฐานะผู้เยาว์ จะทำตัวไร้มารยาทไม่ได้”
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะสีหน้าของเขาเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
คนตรงหน้าที่หิ้วศีรษะไว้ในมือสวมชุดสีขาว เรือนกายสูงใหญ่ ใบหน้าคุ้นเคย ดวงหน้าประดับยิ้ม สายตาที่มองมายังเฉินผิงอันอ่อนโยนเป็นพิเศษ
แต่กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันรู้สึกแปลกหน้า
ส่วนสตรีที่สวมเสื้อเกราะสีทอง ใบหน้าพร่าเลือนผสานอยู่ในแสงสีทองกลับมอบความรู้สึกที่คุ้นเคยให้เฉินผิงอันได้มากกว่า
ก็เหมือนจอมกระบี่คนหนึ่งที่ข้างกายมีข้ารับใช้กระบี่ติดตามมาด้วย
คนที่เฉินผิงอันรู้จักอย่างแท้จริงคือฝ่ายหลัง ดูเหมือนว่าฝ่ายแรกเพียงแค่ขโมยเอารูปโฉมของฝ่ายหลังไปใช้ และทั้งสองคนก็คล้ายว่าจะมีความสัมพันธ์เหมือนร่างจริงกับจิตหยินของผู้ฝึกตน
แม้แต่คนที่ใจคอหนักแน่นอย่างเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา
แต่เฉินผิงอันเพียงแค่มองสตรีชุดขาวแวบเดียวแล้วก็หันไปมองผู้สวมเสื้อเกราะสีทองคนนั้นเนิ่นนาน ราวกับกำลังถามนางว่า สรุปแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่
ทว่าคนที่เปิดปากพูดก่อนกลับเป็นสตรีชุดขาวที่อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า แต่คล้ายห่างไกลราวกับอยู่อีกฝากฝั่งหนึ่งของลำคลอง นางยิ้มเอ่ยว่า “ก็แค่ออกเดินทางไกลไปรอบหนึ่ง นายท่านก็จำข้าไม่ได้แล้วหรือ?”
องค์รักษ์กระบี่สวมเสื้อเกราะสีทองขยับไปด้านข้างสองก้าว ร่างผสานรวมเป็นหนึ่งกับสตรีชุดขาว จากนั้นนางที่สวมชุดสีขาวห่มเกราะสีทองก็โยนศีรษะนั้นทิ้งลงไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างไม่ใส่ใจ เป็นเหตุให้แม่น้ำยาวทั้งสายเปลี่ยนมาเป็นสีทองในเสี้ยววินาที
นางยิ้มเอ่ย “แล้วตอนนี้ล่ะ?”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็เงียบขรึมดังเดิม
ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรจริงๆ
ลู่เฉินมองภาพที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาเปล่งแสงสีทองแล้วก็ทอดถอนใจออกมาประโยคหนึ่งเบาๆ ว่าโลกมนุษย์ช่างโชคดี ความกรุณาแผ่ล้นให้แก่ปวงประชา
ดังนั้นลู่เฉินจึงหันหน้ามายิ้มถามอวี๋โต้วว่า “ศิษย์พี่ ตอนนี้ข้าเรียนกระบี่ยังทันไหม? ข้ารู้สึกว่าคุณสมบัติของตัวเองไม่เลวเลยนะ”
เต๋าเหล่าเอ้อคร้านจะพูดคุยกับเขา
ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้เป็นกาวประสานใจอย่างที่หาได้ยาก มอบให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายเป็นผู้จัดการผลกรรมที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุดนี้ด้วยตัวเอง
วิญญาณกระบี่คือนาง แต่นางกลับไม่ได้เป็นแค่วิญญาณกระบี่ นางสูงส่งกว่าวิญญาณกระบี่ เพราะนิสัยแห่งเทพที่ซ่อนแฝงอยู่สมบูรณ์มากกว่า ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่สถานะ ขอบเขตและพลังพิฆาตเท่านั้น
และในเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันไปถึงนิสัยเทพด้วย
หากการอนุมานของทางฝั่งศาลบุ๋นไม่มีความคลาดเคลื่อน ถ้าอย่างนั้นพูดง่ายๆ ก็คือนางดึงเอานิสัยเทพส่วนหนึ่งมามอบให้ฝ่ายหลัง ขณะเดียวกันก็ทำการลบทิ้ง เปลี่ยนแปลงความทรงจำของฝ่ายหลังด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!