อริยะปราชญ์และเจ้าขุนเขาอีกแปดสิบกว่าท่านของสถานศึกษาและสำนักศึกษายังต้องเข้าร่วมการประชุมภายในของศาลบุ๋นอีกรอบหนึ่ง
นอกจากคนต่างถิ่นกลุ่มเล็กที่จะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ต่อแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือตอนนี้ยังไม่อาจจากไปได้ จำเป็นต้องรอคอยอยู่ที่อำเภอพ่านสุ่ย รอให้ศาลบุ๋นมีการจัดการอย่างเป็นรูปธรรมก่อน
การประชุมขนาดเล็กนี้ขาดคนไปเกือบครึ่ง แต่มีคนหน้าใหม่ที่ไม่สะดุดตาเพิ่มมาอีกสิบกว่าคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนอายุน้อย ยกตัวอย่างเช่นเทียนซือน้อยผู้สูงศักดิ์หวงจื่อคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ และยังมีหลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวน
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าหายตัวไปไหน คนสี่คนที่มาเข้าร่วมการประชุมด้วยสถานะของผู้ฝึกกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็ยังอยู่
ห่างจากประตูใหญ่ของศาลบุ๋นไปค่อนข้างไกล บางทีอาจเป็นเพราะหลี่เซิ่งตั้งใจ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องมีการประชุมติดต่อกันสามครั้ง จึงต้องให้คนได้พักหายใจหายคอกันบ้าง ทุกคนจึงสามารถเดินเล่นพูดคุยกันไปตามถนนได้ เส้นเอ็นหัวใจไม่ต้องถึงกับขึงตึงอยู่ตลอดเวลา
อาเหลียงเสียดายอย่างสุดแสน ทำสีหน้ารังเกียจมองไปยังจั่วโย่วและฉีถิงจี้ที่อยู่ข้างกาย พูดบ่นไม่หยุด “ข้าไม่เหมือนพวกเจ้าสองคนหรอกนะ หัดช่วยมองข้าเป็นขอบเขตสิบสี่ครึ่งตัวไม่ได้หรือไง”
ลู่จือหัวเราะหยัน “รอให้ข้าฝ่าทะลุขอบเขตเมื่อไหร่ ก็ถือเสียว่าเป็นการอวยพรที่เจ้าขอบเขตถดถอย”
อาเหลียงยื่นมือมาลูบปลายคาง พยักหน้ารับช้าๆ “หนึ่งบนหนึ่งล่าง ดูเหมือนว่าจะไม่เสียเปรียบ”
สีหน้าของลู่จือเยียบเย็น หมัดหนึ่งต่อยออกไปอย่างโหดร้าย ต่อยจนอาเหลียงปลิวกระเด็น รอจนอาเหลียงโซเซยืนนิ่งได้แล้ว ชายฉกรรจ์ก็ถอดชุดลัทธิขงจื๊อที่อยู่บนร่างตัวนั้นออกแล้ว
ไม่มีการสยบกำราบบนมหามรรคาส่วนนี้ จากนี้ไปก็เป็นฟ้าดินเล็กของพี่อาเหลียงแล้ว ถึงอย่างไรพวกอริยะทั้งหลายต่างก็ไม่อยู่ที่นี่ ตนจึงจำต้องแบกภาระหนักอึ้งอย่างมิอาจเกี่ยงงอนได้
อาเหลียงวิ่งตุปัดตุเป๋กลับไปอยู่ข้างกายลู่จือ ถามเสียงเบาว่า “จวินเชี่ยนล่ะ?”
จั่วโย่วส่ายหน้า “การประชุมครั้งที่สอง เขาก็ขาดประชุมแล้ว”
อาเหลียงอิจฉายิ่งนัก “ก็ถือว่ามีหน้ามีตาแล้ว”
แต่จากนั้นอาเหลียงก็ผรุสวาท “ใจกล้านัก! อาศัยกลยุทธชั้นต่ำมาดึงความสนใจ หน้าไม่อาย!”
หลิวสือลิ่วหรือจวินเชี่ยน ล้วนเป็นนามแฝงที่ใช้ก่อนมากราบอาจารย์ขอเล่าเรียนทั้งสิ้น ก่อนที่จะกลายเป็นคนของสายเหวินเซิ่ง ได้ขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียนกับป๋ายเหย่อยู่นานหลายปี
หลิว คืออักษรพ้องภาพ ธาตุทอง หลักสังหาร ทุกวันที่สิบหก (สือลิ่ว) ของทุกเดือนมีชื่อเรียกว่าจี้วั่ง ล่างภูเขามีคำกล่าวบอกว่าดวงจันทร์วันที่สิบห้ากลมไม่สู้วันที่สิบหก
เทียบอักษรที่ล้ำค่ามากมายในประวัติศาสตร์ซึ่งรวมถึงเทียบหิมะแห่งความยินดี ล้วนมีตราประทับนามสองคำว่าจวินเชี่ยน
และหลิวสือลิ่วก็มีชาติกำเนิดมาจากภูต ในฐานะผู้ฝึกตนที่มีอายุยาวนานที่สุดในหลายๆ ใต้หล้า ไม่ว่าจะกับป๋ายเจ๋อ เฒ่าตาบอด เจ้าอารามผู้เฒ่าตงไห่ บรรพบุรุษย้ายขุนเขาที่มีชื่อจริงว่าจูเยี่ยน ล้วนไม่ถือเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
ดังนั้นหากจะพูดถึงประสบการณ์ ลำดับอาวุโสกันจริงๆ และถ้าละสถานะของสายบุ๋นลัทธิขงจื๊อเอาไว้ไม่กล่าวถึง จึงมีความจำเป็นน้อยมากที่หลิวสือลิ่วต้องเรียกใครว่า ‘ผู้อาวุโส’ ถึงขั้นที่ว่าในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ทุกวันนี้ยังมีทายาทเผ่าพันธ์เดียวกันกับเขาที่มีจำนวนมากพอใช้ได้
ดังนั้นการประชุมครั้งที่สองที่สองใต้หล้าคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ กลับกลายเป็นว่าไม่เหมาะที่หลิวสือลิ่วจะปรากฏตัว
อาเหลียงกวาดตามองไปรอบด้าน ลูบคลึงปลายคาง “คนที่ศาลบุ๋นเรียกมาคราวนี้ค่อนข้างน่าขบคิดนะ ลูกพี่ใหญ่ในศาลบุ๋นศูนย์ใหญ่ กับเจ้าสาขาของแต่ละทวีปที่เหลือ? รอแค่ให้ผู้นำออกคำสั่งแก่เหล่าผู้กล้า เพียงคำสั่งเดียวพวกเราก็ต้องแยกกันไปฟันหัวคนอย่างกระเหี้ยนกระหือรืองั้นหรือ?”
การประชุมครั้งนี้ต้องเข้าไปในศาลบุ๋น
ถึงเวลานั้นปิดประตูลง ไม่ใช่คนกันเอง แต่ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกันของศาลบุ๋นแล้ว
ในเมื่อเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าใครก็อย่าได้พูดจาห่างเหิน
หากบอกว่าแรกเริ่มทุกคนที่เข้าร่วมการประชุมต่างก็ยังไม่เข้าใจท่าทีที่แท้จริงของฝั่งศาลบุ๋น
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เมื่อผ่านการประชุมไปแล้วสองครั้ง พวกคนที่รู้สึกตัวช้าก็น่าจะเข้าใจได้แล้ว
นับตั้งแต่หลี่เซิ่งไปจนถึงหย่าเซิ่ง เหวินเซิ่ง แล้วก็ไปจนถึงเจ้าลัทธิสามท่านของศาลบุ๋น รวมไปถึงพวกอาจารย์ผู้เฒ่าอย่างฝูเซิ่ง นับตั้งแต่การประชุมภายในบนลานกว้าง ไปจนถึงการคุมเชิงกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ล้วนแตกต่างกันอย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่นการประชุมครั้งนี้ นอกจากซ่งจ่างจิ้งแห่งราชวงศ์ต้าหลีแจกันสมบัติทวีปแล้ว ฮ่องเต้อีกเก้าพระองค์ที่เหลือต่างก็ไม่มีคุณสมบัติจะได้ปรากฎตัว
ศาลบุ๋นพูดอะไรก็ต้องทำตามอย่างนั้น
แค่รอฟังข่าวอย่างว่าง่ายก็พอ
ก่อนจะออกไปจากลานกว้าง อาจารย์ผู้เฒ่าหานยังบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า เนื้อหาของการประชุมในวันนี้ อะไรที่ไม่ควรพูดก็ห้ามพูดแม้แต่คำเดียว จงทำเรื่องในหน้าที่ของตัวเองให้ดี
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งเป็นผู้นำกลุ่มคน ข้างกายมีคนอยู่แปดคน
ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีป ซ่งจ่างจิ้งแห่งแจกันสมบัติทวีป เฉินฉุนฮว่าแห่งทักษินาตยทวีป หลิวจวี้เป่าแห่งธวัลทวีป หลิวทุ่ยแห่งฝูเหยาทวีป ชงเชี่ยนแห่งหลิวเสียทวีป เหวยอิ๋งแห่งใบถงทวีป
เพียงแต่ว่าเกราะทองทวีป เหตุใดถึงเป็นราชครูเฉาผู่ของราชวงศ์เส้าหยวนที่มาเข้าร่วมประชุม?
นอกจากนี้ข้างกายอาจารย์ผู้เฒ่าหานก็คือบรรพจารย์สองท่านของสำนักการทหารอย่างเจียงและเว่ย
จวี้จื่อแห่งสำนักโม่ บรรพจารย์สำนักจ้งเหิง อาจารย์ฟ่านของสำนักการค้า
บรรพจารย์สำนักโอสถ บรรพจารย์สำนักการช่าง นอกจากนี้ยังมีบรรพจารย์ของสำนักประพันธ์จากพื้นที่มงคลกระดาษขาวมาร่วมด้วยอีกหนึ่งคน
อีกทั้งสำนักคำนวณยังมีหน้ามีตามากเป็นพิเศษ เพราะถึงกับมีบรรพจารย์สามท่านที่จับมือกันมาปรากฏตัว
อวี๋เสวียน เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ซูจื่อ หลิ่วชี และยังมีตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ที่ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ อีกคน
เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว เผยเปย เฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวน จางเถียวเสีย ไหวอิน อวี้พ่านสุ่ย กวอโอ่วทิงแห่งภูเขาต้นไม้เหล็กที่เงียบขรึมพูดน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!