ริมลำคลอง
หย่าเซิ่งหยิบเอาม้วนภาพอันหนึ่งออกมา หลังคลี่กางออกแล้ว ริมลำคลองก็มีภูเขาทัวเยว่ลูกหนึ่งปรากฏขึ้น แทบจะใกล้เคียงกับวัตถุที่จับต้องได้ มีแนวโน้มใกล้เคียงกับความจริง
เพราะหย่าเซิ่งอาศัยดินแดนพุทธะสุขาวดีจึงได้เดินทางไปเยือนภูเขาทัวเยว่มาด้วยตัวเองรอบหนึ่ง
ส่วนอาเหลียงนั้นอาศัยการเดินทางไปเยือนดินแดนพุทธะสุขาวดี สังหารภูตผีวิญญาณร้ายไปนับไม่ถ้วน มหามรรคาถูกทำลายให้สึกกร่อนไปเยอะมาก ขอบเขตจึงถดถอยลงมาจากขอบเขตสิบสี่
หลังจากที่หย่าเซิ่งปรากฏตัวที่ภูเขาทัวเยว่ก็ได้ทำลายตราผนึกปกป้องภูเขาไปแล้วเกินครึ่ง ครั้นจึงไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้อยู่บนหัวกำแพงเมืองแล้ว ถูกชุยฉานโยนไปไว้ที่ถ้ำแห่งโชควาสนาบนเกาะหลูฮวาแล้ว
ดังนั้นจึงกลับกลายเป็นว่าเป็นหย่าเซิ่งผู้นี้ที่ได้พบหน้าซิ่วหู่แห่งไพศาลเป็นครั้งสุดท้าย ราวกับว่าชุยฉานกำลังรอคอยให้หย่าเซิ่งปรากฎตัว
ทั้งสองฝ่ายนั่งพูดคุยกันบนหัวกำแพงเมือง คุยเรื่องศึกตรีจตุในปีนั้น
หลี่เซิ่งและป๋ายเจ๋ออยู่ที่ริมลำคลอง ไม่ได้เหยียบขึ้นไปบนภูเขาทัวเยว่ลูกนั้น สตรีชุดขาวเองก็ไม่ได้มีความสนใจอะไรต่อภูเขาทัวเยว่ จึงคุยเล่นอยู่กับหลี่เซิ่งและป๋ายเจ๋อที่ริมลำคลอง
เวลาห่างกันหมื่นปี
นี่อาจถือว่าเป็นการ ‘รำลึกความหลัง’ ที่สมชื่อที่สุดในใต้หล้าแล้ว
นางเอ่ยหยอกล้อว่า “ป๋ายเจ๋อ เจ้าถือโอกาสต่อสู้กับอาจารย์น้อยที่นี่ไปก่อนรอบหนึ่งเลยสิ หากเจ้าชนะ ศาลบุ๋นก็จะไม่แตะต้องเปลี่ยวร้าง หากแพ้ เจ้าก็ปิดด่านทบทวนความผิดของตัวเองต่อไป”
ป๋ายเจ๋อส่ายหน้า
เรื่องของซากปรักสรวงสวรรค์บรรพกาล เป็นเรื่องของหลายๆ ใต้หล้า ดังนั้นป๋ายเจ๋อจึงยินดีมาปรากฏตัวที่นี่
แต่ขอแค่ศาลบุ๋นยกทัพบุกโจมตีเปลี่ยวร้าง ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้เขาก็จะไม่นิ่งดูดายอีกต่อไป
หากง่ายดายเพียงเท่านี้จริงๆ แค่ตีกันก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าสองใต้หล้าจะตกเป็นของใคร ไม่เดือดร้อนบนภูเขาและล่างภูเขา ป๋ายเจ๋อก็ไม่ถือสาจริงๆ หากต้องลงมือ
ทางฝั่งของภูเขาทัวเยว่ ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่หลายคนเริ่มเดินขึ้นเขา
อวี๋โต้วเดินก้าวหนึ่งไปถึงบนยอดเขาโดยตรง
ลู่เฉินกำลังพูดพล่ามอยู่กับคนพิฆาตมังกร เพียงแต่ว่าฝ่ายหลังไม่มีสีหน้าดีๆ ให้เห็น
อู๋ซวงเจี้ยงยกมือข้างหนึ่งขึ้น กลางฝ่ามือก็มีภูเขาจิ๋วที่ประกอบจากสีทองสีเงินสีดำและสีขาวสี่สีปรากฎขึ้น ราวกับว่ากำลังค่อยๆ ทำให้ภูเขาทัวเยว่ลูกนี้ ‘สละร่าง’
ซิ่วไฉเฒ่าพาเฉินผิงอันเดินตามไปอยู่ท้ายสุด
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจสอบถาม “อาจารย์ ช่วยถามหลี่เซิ่งให้หน่อยได้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงตั้งชื่อว่าใต้หล้าห้าสี ในเรื่องนี้มีข้อพิถีพิถันอะไรหรือไม่ หรือว่าใต้หล้าห้าสีซุกซ่อนโชควาสนาในการพิสูจน์มหามรรคาห้าอย่าง หรือไม่ก็มีสมบัติล้ำค่าห้าชิ้นไม่ต่างจากถ้ำสวรรค์หลีจูที่บ้านเกิด?”
บนเส้นทางการฝึกตนของเฉินผิงอันค่อนข้างซับซ้อน แต่ในเรื่องของการอนุมานกลับค่อนข้างจะต้องเดาเอาเองอย่างส่งเดช สามารถแบ่งแยกสูงต่ำกับเจียงซ่างเจินได้
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “ปีนั้นข้ากับป๋ายเหย่สร้างความมั่นคงให้กับฟ้าดินด้วยกัน ก็ได้เห็นเบาะแสบางอย่าง แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเส้นสายของมหามรรคาอย่างแท้จริง โชควาสนาบางอย่างค่อนข้างจะตื้นเขิน ยกตัวอย่างเช่นกระท่อมที่ป๋ายเหย่สร้างไว้ในใต้หล้าแห่งนั้นก็คือหนึ่งในนั้น ส่วนทางฝั่งของหลี่เซิ่ง คงยากจะถามอะไรได้แล้ว ตั้งชื่อว่าใต้หล้าห้าสี เดิมทีก็เป็นความหมายของหลี่เซิ่งคนเดียว เขาต้องรู้เรื่องวงในแน่นอน แต่น่าเสียดายที่อะไรหลี่เซิ่งก็ดีไปหมดทุกอย่าง เพียงแต่นิสัยดื้อรั้นเกินไป เรื่องอะไรที่เขายืนกรานแล้วต่อให้มีเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าสิบคนมาฉุดดึงก็ดึงไม่ขึ้น”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเอ่ยว่า “เจ้าไปถามหลี่เซิ่ง บางทีอาจยังพอมีหวัง เป็นไปได้มากกว่าให้อาจารย์ไปถามเสียอีก”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าหลี่เซิ่งจะคาดการณ์ถึงเรื่องนี้มาไว้ก่อนแล้ว จึงเคยเตือนข้ามานานแล้ว บอกเป็นนัยแก่ข้าว่าอย่าคิดมาก”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องกลัว หลี่เซิ่งก็แค่ขู่เจ้า เจ้าเป็นเด็กรุ่นหลัง แล้วยังมีคุณความเหนื่อยยากสูง ไม่พูดสักสองสามคำก็เสียเปล่า หลี่เซิ่งอบรมบ่มเพาะตัวเองมาอย่างดี ไม่มีทางโกรธหรอก อีกอย่างก่อนหน้านี้พี่หญิงเทพเซียนก็ได้สร้างคุณความชอบยิ่งใหญ่ คนตาบอดยังมองเห็น ใจคนมีตาชั่งนี่นะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างแรง “อาจารย์มีเหตุผล การบอกเป็นนัยของหลี่เซิ่ง ไม่แน่ว่าอาจเป็นการชี้นำอย่างหนึ่ง ถูกไหม?”
ซิ่วไฉเฒ่าใช้หมัดทุบฝ่ามือ “พวกเราพูดคุยกันอย่างนี้ก็สามารถเรียบเรียงหลักการเหตุผลที่ซับซ้อนให้เรียบง่ายได้แล้วว่าไหม?!”
เฉินผิงอันเหมือนได้กินยาสงบใจ ไม่สนใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ รอให้ลงจากเขาไปเมื่อไหร่ จะดีจะชั่วก็ต้องไปขอร้องหลี่เซิ่งสักหน่อย หากใต้หล้าห้าสีมีโชควาสนาบนมหามรรคาห้าอย่างซ่อนอยู่รอให้กองกำลังของแต่ละฝ่ายไปช่วงชิงมาจริง ตนก็จะช่วยนครบินทะยานหาโชควาสนาหนึ่งในนั้นมาแต่เนิ่นๆ สืบสาวเบาะแสไปชิงเอามาไว้ในกระเป๋าให้สบายใจก่อน คงไม่เกินไปกระมัง? อีกอย่างใต้หล้าแห่งที่ห้าก็เป็นศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อที่หาเจอ แล้วทำการบุกเบิกที่ดิน นครบินทะยานก็เป็นคนบ้านเดียวกันกับใต้หล้าไพศาล น้ำดีไม่ไหลเข้านาคนนอก อย่าว่าแต่อย่างเดียวเลย ต่อให้สองอย่างก็ยังไม่รังเกียจว่าน้อยเกินไป สามอย่างก็ไม่รังเกียจว่ามากเกินนะ
ซิ่วไฉเฒ่าเริ่มบอกเล่านิสัยของหลี่เซิ่งให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายฟังอย่างละเอียด หลุมอะไรอย่าไปเหยียบเพราะอาจจะได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม คำพูดแบบไหนสามารถพูดคุยได้มากหน่อย ต่อให้หลี่เซิ่งหน้าดำก็อย่าใจฝ่อเด็ดขาด หลี่เซิ่งมีกฎระเบียบเยอะ แต่ไม่ใช่คนคร่ำครึ
เฉินผิงอันเงี่ยหูตั้งใจฟังแล้วจดจำไว้ในใจ ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “อาจารย์ เรื่องที่พวกเราคุยกัน หลี่เซิ่งคงไม่ได้ยินกระมัง?”
ซิ่วไฉเฒ่าตบอกรับรอง “วางใจได้ร้อยใจเลย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ภิกษุเสินชิงผู้นั้น หลี่เซิ่งรักษามารยาทและกฎระเบียบเป็นที่สุด”
ภิกษุเฒ่าที่เดินอยู่ด้านหน้าร้องภาษาธรรมหนึ่งคำ
ทางฝั่งของริมลำคลอง
หลี่เซิ่งยื่นนิ้วมานวดคลึงหว่างคิ้ว
คนเจ้าเล่ห์สองคน
ป๋ายเจ๋อยิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโสมีสายตาในการเลือกคนดีมาก”
พูดถึงคนหนุ่มผู้นั้น พูดถึงสภาพจิตใจขึ้นลงอันลุ่มลึกที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นทอดๆ ในชั่ววินาทีที่ได้เจอกับจอมกระบี่และข้ารับใช้กระบี่
ใจคนบางคนเชี่ยวชาญในการหลอกลวงตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นมักจะหวังตามจิตใต้สำนึกว่าจอมกระบี่กับข้ารับใช้กระบี่คือหนึ่งเดียวกัน ใจคนบางคนกลับผิดหวังห่อเหี่ยว ละโมบไม่มีที่สิ้นสุด เปลี่ยนจากอันดับหนึ่งในใต้หล้ากลายเป็นอันดับสองในใต้หล้าก็ยังกลัดกลุ้มทุกข์ใจ
และการอ่านใจคนของพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต เล็กเท่าเมล็ดงา ใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!