กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 794

เฉินผิงอัน ‘ปรากฎตัว’ บนร่างของคนชุดเขียวคนหนึ่งบนลำคลอง ยิ้มเอ่ยสองคำว่าดอกไม้ร่วง คนชุดเขียวทั้งหลายที่เดิมทีดาหน้ารับมือกับการปะทะจากกองทัพหยินก็พลันมารวมตัวกัน

คนชุดเขียวผู้หนึ่งเท้าเหยียบอยู่บนผิวน้ำ แยกขายกมือตั้งท่าหมัด ปล่อยหมัดหนึ่งออกไป ใช้กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบเปิดทาง ถามหมัดต่อเซียนเหริน

จิตหยินเสื้อเกราะทองของเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวขว้างหลิงจือหยกขาวในมือเข้าใส่เจ้า…ผู้ฝึกยุทธที่ออกหมัดอย่างแรง

เฉินผิงอันดีดปลายเท้าบิดหมุนร่าง หลบจิตหยินเกราะทองตนนั้นมาได้ แม่น้ำด้านหลังถูกหลิงจือหยกขาวขว้างเข้าใส่ก็ราวกับว่าท้องน้ำระเบิดกลายเป็น ‘บ่อน้ำ’ ลึกร้อยจั้งบ่อหนึ่ง ผิวน้ำพลันเกิดน้ำวนขึ้นมาทันใด

อวิ๋นเหมี่ยวสีหน้าเคร่งเครียด เป็นอย่างที่ฉินจ่าวคาดการณ์ไว้จริงๆ เขาไม่ยินดีให้เซียนกระบี่ชุดเขียวที่จู่ๆ ก็กลายเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนั้นขยับเข้าใกล้ตัว จำต้องร่ายวิชาอภินิหารก้นกรุวิชาหนึ่งออกมา

ปรากฏเป็นฟ้าดินเล็กดินแดนแก่นน้ำแห่งหนึ่ง

หลังจากคนชุดเขียวออกหมัดก็เหมือนวัวปั้นดินที่จมหายไปในมหาสมุทร บนผิวน้ำก็มองไม่เห็นร่างเขาอีก

อวิ๋นเหมี่ยวถอนหายใจโล่งอก กำลังจะหันไปรับมือกับกระบี่บินขาวหิมะที่ถูกเชือกห้าสีพันธนาการเอาไว้ต่ออีกครั้ง จับกระบี่ได้แล้วก็ควรต้องหลอมกระบี่ จากนั้นค่อยใช้เวทลับของสำนักมาหลอมจิตวิญญาณของเซียนกระบี่ด้วยวิธีการที่โหดร้ายอำมหิต จะต้องทำลายรากฐานมหามรรคาของอีกฝ่ายให้จงได้

คิดไม่ถึงว่าฟ้าดินเล็กที่เพิ่งก่อตัวสำเร็จกลับคล้ายแก้วใสใบหนึ่งที่แตกดังเพล้ง

จิตใจของอวิ๋นเหมี่ยวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รู้เพียงแค่ว่าดินแดนแก่นน้ำถูกปราณกระบี่กับเวทอสนีบทหนึ่งร่วมมือกันทุบทำลายจนเละ

เพียงแต่ว่าอวิ๋นเหมี่ยวคิดร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ กระบี่บินทั้งสองเล่มต่างก็อยู่นอกอาณาเขตแก่นน้ำ หรือว่าผู้ฝึกกระบี่คนนี้จะมีกระบี่บินเล่มที่สาม?

คนชุดเขียวยืนลอยตัวอยู่กลางอากาศสูง ในมือถือประคองตราประทับ ห้าอสนีรวมตัวกันอยู่ภายใน ซุกซ่อนความหมายที่ไร้ขีดจำกัด ยิ่งใหญ่ไพศาลองอาจ

อวิ๋นเหมี่ยวหนังตากระตุกริกๆ

คราวนี้เจ้าหมอนี่กลายเป็นเกาเจินลัทธิเต๋าท่านหนึ่งแล้วรึ? คงไม่ถึงขั้นเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อคนหนึ่งของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ด้วยกระมัง?

อวิ๋นเหมี่ยวสีหน้าเขียวคล้ำ กลางฝ่ามือมีหอเซียนแก้วใสที่เกิดจากการจำแลงของมหามรรคาชิ้นหนึ่งลอยขึ้นมา เขากำมือเก็บมันลงไป ขณะเดียวกันก็รวบรวมท่วงทำนองที่หลงเหลืออยู่ของดินแดนแก่นน้ำที่ปริแตกมาไว้อย่างรวดเร็ว ยังดี ยังไม่ได้ทำร้ายไปถึงรากฐานของสมบัติล้ำค่าแห่งชะตาชีวิตชิ้นนี้

บนฟ้ามีคาถาอสนีบทหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมา เสาลำแลงห้าสีใหญ่เหมือนยอดเขา

อวิ๋นเหมี่ยวประกบสองนิ้วแล้วยกขึ้นเบาๆ กระจกวิเศษวางพาดในแนวนอน ลอยอยู่เหนือศีรษะ

กระจกวิเศษคล้ายดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ

คนที่อยู่บนท้องฟ้า ในมือถือประคองตราประทับอาคม วิชาอสนีถูกปล่อยลงมาไม่หยุดประหนึ่งเม็ดฝนที่หล่นลงในโลกมนุษย์

กระจกวิเศษของเซียนเหรินเปล่งประกายแสงเจิดจ้า จิตหยินเกราะทองที่ออกจากช่องโพรงเดินทางไกลก็หวนกลับคืนมายังร่างจริง อวิ๋นเหมี่ยวขยับหลิงจือหยกขาวเบาๆ บงการเจียวหลงสีเขียวหลายตัวที่เกิดจากการรวมตัวกันของน้ำในแม่น้ำให้ทะยานขึ้นกลางอากาศไปเข่นฆ่า แม่น้ำลำคลองสายหนึ่ง ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ภาพที่มังกรเขียวโผล่พ้นน้ำ โผนกระโจนขึ้นจากพื้นดิน บินโฉบขึ้นไป เมื่อเจอกับเวทอสนีที่หล่นลงมาก็ประชันกันด้านปราณวิญญาณว่ามีมากหรือน้อย ประลองมรรคกถาว่าสูงหรือต่ำ

กระจกวิเศษกับเชือกห้าสีร่วมกันพันธนาการกระบี่บินเล่มนั้น ขณะเดียวกันก็ถูกกระบี่บินและเวทอสนีกระเทือน จึงเริ่มเกิดลางว่าจะสั่นคลอน อวิ๋นเหมี่ยวได้แต่พันธนาการกระบี่บินเล่มนั้นไว้ชั่วคราว ไม่มีโอกาสที่จะหลอมและทำร้ายจิตวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่คนนั้น

ส่วนกระบี่บินสีเขียวมรกตที่ยากจะตอแยเล่มนั้นก็คอยพุ่งชนจากทางตะวันออกที ทางตะวันตกที เดี๋ยวขึ้นบนเดี๋ยวลงล่าง ลากแสงกระบี่ออกมานับไม่ถ้วนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทิ่มแทงจนเซียนเหรินชุดขาวคนหนึ่งกลายเป็นคนมรกตไปแล้ว

เฉินผิงอันชำเลืองตามองเซียนเหรินที่อยู่บนพื้นแล้วให้กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ

ไม้ไผ่ตาถี่ไม่อาจสกัดขวางน้ำที่ไหลผ่าน ภูเขาสูงก็ไม่อาจกีดกั้นเมฆเคลื่อนคล้อย

นี่ก็คงจะเป็นรากฐานของ ‘ร่างเมฆาวารี’ ของอวิ๋นเหมี่ยวแล้ว

น่าเสียดายที่ไม่ใช่อู๋ซวงเจี้ยง ไม่อาจ ‘แยกร่าง’ เวทคาถาบทนี้ได้ด้วยการมองปราดเดียว ส่วนกระบี่บินสืออู่ ต่อให้วิถีการออกกระบี่จะมากแค่ไหน ก็ยังเหมือนคนที่เดินผ่านน้ำผ่านเมฆ เมฆและน้ำรวมตัวกันหรือแยกตัวจากกันล้วนไร้ร่องรอย ดังนั้นวิชาอภินิหารบทนี้ของหอเซียนจิ่วเจิน แม้แต่รูปร่างภายนอกก็ยังยากที่จะเรียนรู้ให้เหมือน

แต่หากเฉินผิงอันยินดีเรียกนกในกรงและจันทร์กลางบ่อออกมา ร่างเมฆาวารีของอวิ๋นเหมี่ยวก็ไม่มีทางแข็งแกร่งมิอาจทำลายแบบนี้ต่อไปอีกแน่นอน

ขอแค่กระบี่บินมีมากพอ แน่นถี่เหมือนทำนบน้ำ ก็ยังคงเป็นเรื่องของหนึ่งกระบี่ทลายอาคมได้อยู่ดี

ส่วนตราประทับห้าอสนีในมือที่เฉินผิงอันเอาออกมาใช้ในใต้หล้าไพศาลเป็นครั้งแรก ก็ขาดแค่ตราประทับจันทร์เต็มดวงที่เป็น ‘ตราประทับฟ้า’ เท่านั้น ตราประทับอาคมสี่ด้านที่นอกเหนือจากตราประทับดินได้แกะสลักเป็นภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามสิบหกตน เมื่อเฉินผิงอันเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบก็ไม่ต้องถือสาในความเสียหายของปราณวิญญาณน้อยนิดแค่นั้น ปราณวิญญาณที่สะสมไว้จึงเอามาใช้มือเติบได้อย่างแท้จริง ไม่ต้องกระอักกระอ่วนเหมือนตอนเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางที่ทุกครั้งที่ประลองเวทคาถามักจะตกอยู่ในสภาพการณ์ของสตรีที่ต่อให้เก่งแค่ไหน แต่ไม่มีวัตถุดิบก็ไม่อาจแสดงฝีมือทำอาหารออกมาได้อีก

เป็นเหตุให้ภาพบรรยากาศรอบด้านคนชุดเขียวเกิดเป็นภาพลวงตาที่น่าตะลึง มีเทพกรมสายฟ้าตีกลอง มีเจ้าแม่ฟ้าแลบปล่อยสายฟ้า มีพ่อปู่วาโยเป่าเมฆ มีเทพพิรุณโปรยน้ำฝน และยิ่งมีขุนนางสวรรค์ที่ต่างก็มีภาพกายธรรมตามหน้าที่ของตัวเอง

เวทคาถาอภินิหารมากมายปะปนกัน บวกกับปณิธานของเวทสายฟ้าที่เปี่ยมล้นหลายขุม คอยซัดทำลายเจียวหลงเวทน้ำที่ทะยานขึ้นมากลางอากาศให้แหลกสลายไป

ไม่เพียงเท่านี้ กองทัพหยินบนผิวน้ำที่อวิ๋นเหมี่ยวปล่อยไว้ไม่สนใจยังถูกเวทอสนีสยบกำราบตามธรรมชาติ แทบไม่ต้องให้จิตของเฉินผิงอันชักนำอย่างไร ถึงขั้นที่ว่าการเผาผลาญปราณวิญญาณยังแทบจะมองข้ามไปได้เลย พวกมันก็จำแลงกลายมาเป็นทะเลเมฆสีทองที่สามารถมองเป็นบ่อสายฟ้าสีทองแห่งหนึ่งด้วยตัวเอง อันดับแรกก็พุ่งชนเมฆทะมึนให้เปิดทางออกก่อน ทำให้ขุนเขาสายน้ำหลายสิบลี้บนเกาะยวนยางที่เดิมทีสีท้องฟ้าอึมครึมมืดทะมึนกลับคืนมาเป็นยามทิวาอีกครั้ง จากนั้นก็มีแส้สายฟ้ายาวหลายร้อยเส้นฟาดโบยลงมาบนกองทัพพลังหยินบนผิวน้ำ ประหนึ่งหนวดมังกรสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าที่ห้อยย้อยตกจากม่านฟ้าลงมายังโลกมนุษย์

นี่ก็เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าเหตุใดผู้ฝึกลมปราณฝึกตนถึงให้ความสำคัญกับ ‘การสอดคล้องกับมรรคา’ มากที่สุด มหามรรคาของฝ่ายตัวเองสยบกำราบคู่ต่อสู้ได้ เวทคาถาแบบเดียวกัน แต่กลับเหนื่อยเพียงครึ่งให้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว

หลินชิงเค่อชิงเฒ่าที่เชี่ยวชาญการแกะสลักตัวอักษรหยกทองซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ริมลำคลอง ทอดถอนใจเอ่ยชื่นชม “ช่างเป็นห้าอสนีที่มารวมตัวกันได้ดีจริงๆ หมื่นคาถาหนึ่งภูเขา สำนักดั้งเดิมแห่งใต้หล้า”

เทพธิดาอารามดอกเหมยเอ่ยอย่างขลาดๆ “ไม่สามารถเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำได้จริงหรือ?”

เวทอสนีเจิดจ้าพร่างพราว มองจนจิตวิญญาณแกว่งไกว การประลองเวทคาถาของตระกูลเซียนที่น่ามองขนาดนี้ มีความสุขคนเดียวไม่สู้มีความสุขไปด้วยกันนี่นา

ผู้ฝึกกระบี่หญิงจากสำนักกระบี่เหมยซานเอ่ยอย่างระอาใจ “อย่าเหลวไหลเด็ดขาด นิสัยของเซียนกระบี่ยากจะคาดเดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังรำคาญคนนอกที่ชมเรื่องสนุกแล้วส่งเสียงเอะอะมากที่สุด”

คุณชายจากสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นลุกขึ้นยืนนานแล้ว กรอกเหล้าชิงเสินหนึ่งอึกเข้าปากแรงๆ พึมพำว่า “ต้องท่องกลอน จะต้องร่ายกลอนสักบทให้จงได้”

หลี่ไหวจุ๊ปาก “หลี่เป่าผิง เฉินผิงอันดุดันขนาดนี้เชียวหรือ?”

หลี่เป่าผิงยิ้มบางๆ พูดด้วยสีหน้ามีชีวิตชีวา “ก็อาจารย์อาน้อยนี่นะ”

หลี่ไหวยินดีลดลำดับศักดิ์ตัวเองลงรุ่นหนึ่ง ใช้เสียงในใจเอ่ยกับนักพรตเนิ่นที่อยู่ข้างกาย “อันที่จริงเฉินผิงอันคืออาจารย์อาน้อยของข้า”

ใบหน้านักพรตเนิ่นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่แท้จริงแล้วกลับกลุ้มใจยิ่งนัก แบบนั้นลำดับศักดิ์ของข้าผู้อาวุโสจะไม่ลดลงไปอีกหรอกหรือ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!