เรือข้ามฟากพ้นจากพื้นมาค่อนข้างสูง สายลมบนท้องฟ้าพัดโชย ไม่ใช่เทพเซียนก็คล้ายคนกลางเมฆา
เฉินผิงอันยิ้มพูดสัพยอกหลี่ไหว “เดินทางไปศึกษาต่อไกลขนาดนี้ แล้วยังเคยออกท่องยุทธภพกับเผยเฉียนมาก่อน ไม่เคยเจอสตรีที่ถูกใจบ้างเลยหรือ?”
คำว่าถูกใจ คงหมายถึงว่าท่ามกลางกลุ่มคนที่เบียดเสียดกันแออัด แค่เหลือบมองปราดๆ ก็ยากจะลืมเลือนได้อีก
หลี่ไหวส่ายหน้า “ไม่เลย ข้าหน้าตาเหมือนแตงเบี้ยวพุทราแตก หน้าตาเหมือนบิดาข้า ขอแค่สตรีไม่ได้ตาบอดล้วนไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ความฉลาดในการรู้ตัวเอง ข้ายังพอมีอยู่บ้าง ต่อให้ข้าอยากจะถูกหลอกเงินถูกหลอกความงามก็ยังไม่มีทรัพย์สินและความงามเช่นนั้น ดังนั้นจึงมีดีอยู่อย่างหนึ่ง วันหน้าขอแค่มีสตรีที่ชอบข้าจริงๆ ก็จะต้องชอบข้าจากใจจริง ดังนั้นจะรีบร้อนไปไย แค่อดทนรอคอยไปก็พอ”
อันที่จริงรูปโฉมของหลี่ไหวไม่ได้แย่ เด็กหนุ่มที่คิ้วเข้มตาโต ไม่ว่าอย่างไรก็มองดูแล้วคมคาย
นักพรตเนิ่นกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “คุณชายถ่อมตัวเสียจนน่ากลัว”
หลิ่วชื่อเฉิงพยักหน้าเอ่ยคล้อยตาม “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบคุณชายหลี่ แต่กลับรู้สึกว่าเขารูปโฉมดุจมังกรท่วงท่าดุจหงส์ กลมกลืนเป็นธรรมชาติ”
ถัวเหยียนฮูหยินนึกถึงหมี่อวี้แห่งเรือนชุนฟาน แล้วก็พลันเข้าใจขึ้นมาว่าเหตุใดความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเฉินผิงอันถึงยังห่างเหิน ที่แท้ก็ขาดในเรื่องนี้นั่นเอง
สำหรับ ‘ถ้อยคำจากใจจริง’ ของนักพรตเนิ่นและเจ้าหอหลิ่ว หลี่ไหวไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง ด่าข้าไม่หนัก ชมข้าก็ยิ่งเบา
พูดถึงแค่เรื่องการด่าคน คำด่าที่มีพลังมากที่สุดไม่ได้อยู่บนหนังสือ แล้วก็ไม่ได้อยู่บนภูเขา ยังคงเป็นบ้านเกิดที่ด่าได้ร้ายกาจที่สุด บางครั้งแค่ประโยคสองประโยคก็สามารถทิ่มแทงให้คนไม่อาจเงยหน้า ยืดเอวตรงไม่ได้ ยามจะตักน้ำยังต้องเลือกตอนที่คนไปตักน้ำน้อยถึงจะออกมาจากบ้านได้
หลี่ไหวฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง ทอดสายตาเหม่อลอย
ดูเหมือนว่าชีวิตของตนมักจะมีเรื่องแปลกประหลาด ไม่ทันตั้งตัวเกิดขึ้นอยู่เสมอ ทำให้เขาได้แต่เหมือนคนที่เหยียบเปลือกแตง ลื่นไถลไปถึงตรงไหนก็ตรงนั้น
ตอนยังเด็กก็รู้สึกเพียงว่าอาจารย์ฉีของเมืองเล็กคืออาจารย์สอนหนังสือที่ยามถ่ายทอดความรู้เข้มงวดอย่างมาก แต่เวลาปกติก็พูดคุยด้วยได้ง่ายอย่างมาก เพียงแต่ว่ายากจนไปสักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีแม้กระทั่งภรรยาสักคนหรอกกระมัง? ดังนั้นหลี่ไหวในตอนนั้น แม้จะอายุยังน้อยก็ตัดสินใจไว้แล้วว่าวันหน้าต่อให้ต้องลงไร่ทำนา ขึ้นเขาตัดฟืนเผาถ่านกับท่านพ่อท่านแม่ หรือต่อให้ต้องไปเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรก็ยังได้ แต่จะไม่ยอมเป็นอาจารย์สอนหนังสือเด็ดขาด นี่ไม่ใช่ถ้วยข้าวที่มีแค่ใบเดียวก็ทำให้คนกินอิ่มได้แล้วสักหน่อย ภายหลังถึงได้รู้ว่าที่แท้อาจารย์ฉีมีความรู้ยิ่งใหญ่กว่าที่คิดไว้มากนัก คือเจ้าขุนเขาของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาแห่งลัทธิขงจื๊อ และยิ่งเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง แล้วยังเป็นศิษย์น้องของชุยฉานราชครูต้าหลี อาจารย์ฉีเป็นบัณฑิตที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง ยิ่งรู้จักเขามากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งรู้ว่าเขาเก่งกาจยอดเยี่ยมมากเท่านั้น
แยกจากกับต่งสุ่ยจิ่งและสือชุนเจีย มีเพียงเขากับหลินโส่วอีที่เลือกจะออกจากบ้านเดินทางไกล ไล่ตามไปทันเฉินผิงอันกับหลี่เป่าผิง ขุนเขาสายน้ำยามกลางวัน มองดูแล้วก็งดงามดี แต่พอถึงยามค่ำคืนกลับมืดมิดวังเวง มองดูแล้วน่ากลัวยิ่งนัก เปลี่ยนรองเท้าสานไปคู่แล้วคู่เล่า เดินจนเท้าด้าน
หลี่ไหวไม่เคยบอกกับใครมาก่อนว่า ปีนั้นตอนที่ออกจากบ้านมาพร้อมกับหลินโส่วอี ช่วงระยะทางก่อนที่จะตามไปทันเฉินผิงอันกับหลี่เป่าผิง ประโยคที่เขาพร่ำพูดมากที่สุดก็คือบอกให้หลินโส่วอีสาบานครั้งแล้วครั้งเล่าว่า หากวันไหนเขาหลี่ไหวเปลี่ยนใจต้องการกลับบ้าน เจ้าหลินโส่วอีจะต้องกลับบ้านไปเป็นเพื่อนข้าด้วย
ภายหลังได้เจอกับอาเหลียง ชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกที่สวมงอบขี่ลา ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนถูกจูเหอใช้หมัดหนึ่งต่อยให้ล้มคว่ำลงพื้นแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาได้
หลายๆ ครั้งหลี่ไหวเห็นว่าอาเหลียงพูดจาน่าเตะนัก เป็นพวกคนประเภทเดียวกับเจิ้งต้าเฟิง แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นคนที่ใต้เตียงในบ้านต้องมีกล่องไม้ซ่อนไว้ ไม่แน่ว่าด้านในอาจเก็บกระโปรง เอี๊ยมตัวในของสตรีสาวสะพรั่งเอาไว้จนเต็ม หลี่ไหวจึงกังวลว่าปากของเจ้าอาเหลียงผู้นี้จะไม่มีหูรูด ไม่ทันระวังเอ่ยประโยคไหนทำให้จูเหอเดือดดาลขึ้นมา เพราะถึงอย่างไรจูเหอก็เป็นคนที่เดินออกมาจากถนนฝูลวี่ ข้อพิถีพิถันจึงมีเยอะ ดังนั้นหลี่ไหวถึงได้คอยช่วยไกล่เกลี่ยอยู่ตลอด ตนอายุน้อย พูดจาไม่น่าฟัง จูเหอก็ไม่สะดวกจะลงมือต่อยตีคนอื่น
อาเหลียงมาเยือนอย่างลึกลับ จากไปก็ไปอย่างไม่บอกไม่กล่าว จากนั้นระหว่างทางยังเจอกับเจ้าห่านขาวใหญ่ อวี๋ลู่และปู้เค่อชี่ (แปลว่าไม่ต้องเกรงใจ เป็นคำที่ไว้เอ่ยตอบเวลามีคนขอบคุณ หรือพูดว่าเซี่ยเซี่ยในภาษาจีน ดังนั้นปู้เค่อชี่ของหลี่ไหวจึงหมายถึงตัวละครเซี่ยเซี่ย)
ปู้เค่อชี่ผู้นั้นหน้าตาใช้ได้เลย น่าจะงามเท่ากับหลี่หลิ่วผู้เป็นพี่สาวถึงสองคนเลยกระมัง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นสตรีที่ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องออกเรือน น่าเสียดายที่หลินโส่วอีถึงกับชอบหลี่หลิ่วเพียงคนเดียว หลี่ไหวคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ พี่สาวเขากรอกยาลวงวิญญาณให้กับหลินตอไม้หรืออย่างไร?
ตอนนั้นชุยตงซานบอกว่าเฉินผิงอันคืออาจารย์ของเขาแล้ว หลี่ไหวมึนงงไปหมด มักจะรู้สึกว่าเจ้าคนต่างถิ่นพวกนี้สมองไม่ค่อยดี ทำไมเจ้าไม่รับเฉินผิงอันเป็นบิดาไปเลยเล่า?
ท่านพ่อท่านแม่ย้ายบ้านจากไปไกลแล้ว พี่สาวไปเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ยอดเขาสิงโต ท่านพ่อท่านแม่เปิดร้านอยู่ที่ตีนเขา กิจการไม่เลว ใช้สอยประหยัดหน่อยก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมากนัก ได้ยินมาว่าครั้งนี้ท่านแม่กลับบ้านเกิด พูดจาแข็งกระด้างกว่าเดิม เสียงก็ดังมาก พาพี่เขยกลับมาที่บ้านเดิมพร้อมนางด้วย ทุกวันนี้ถึงกับกล้าตินั่นตินี่ หากไม่รังเกียจว่าน้องสาวของสามีที่เป็นแม่ครัวทำกับข้าวใส่น้ำมันน้อยเกินไป ก็รังเกียจว่าเนื้อเป็ดผัดหน่อไม้แห้งเนื้อไม่แน่นพอ เนื้อปลาก็มีกลิ่นคาวดิน
สหายรักอย่างเผยเฉียน ดูเหมือนว่าจู่ๆ นางจะเปลี่ยนจากถ่านดำตัวน้อยมาเป็นแม่นางตัวใหญ่ จนกระทั่งบัดนี้หลี่ไหวก็ยังไม่แน่ใจว่าสรุปแล้วเผยเฉียนเป็นองค์หญิงจากแคว้นไหนกันแน่ เหตุใดถึงผลัดมาอยู่ในหมู่ชาวบ้านได้ ทำไมถึงถูกเฉินผิงอันพามาอยู่ข้างกายได้?
ใต้หล้าวุ่นวายโกลาหล ใต้หล้าสงบสุข เจิ้งต้าเฟิงไม่เฝ้าประตูอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วอีกต่อไป หยางเหล่าโถวไม่อยู่แล้ว พี่สาวแต่งงานแล้ว เฉินผิงอันเป็นอิ่นกวานแล้ว
ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกเฒ่าตาบอดรับเป็นลูกศิษย์ จะขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่ สลัดก็สลัดไม่หลุด เขาหลี่ไหวแขนขาเล็กบาง จะไปอธิบายเหตุผลให้ใครฟังได้? ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ไม่อยู่ข้างกายเสียด้วย
ไม่เคยรู้ว่าเป็นเพราะอะไร ถึงอย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นยังจะทำอย่างไรได้อีก
แต่หลี่ไหวรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ดังนั้นจึงคอยย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอดว่าต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าในความโชคดี
เฉินผิงอันกล่าว “รู้ความสามารถของตัวเองดี เจอกับด่านยากหรือความลำบาก ไม่โทษฟ้าไม่ตำหนิคนอื่น นี่เรียกว่าจิตใจที่สงบเป็นกลาง ข้อนี้น่าจะเหมือนกับท่านพ่อของเจ้า เวลาปกติไม่แสดงออกอย่างชัดเจน แต่แท้จริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก”
หลี่ไหวฟังแล้วก็อารมณ์ดี แต่ปากก็ยังพูดว่า “พอเถอะน่า ข้าก็ได้แต่เก่งอยู่ในโปงผ้าห่ม อยู่ข้างนอกขี้ขลาดจะตาย”
ในความทรงจำ ดูเหมือนว่าน้อยครั้งนักที่เฉินผิงอันจะด่าคน แล้วก็น้อยมากที่จะชมคน
บนถนนเส้นหนึ่ง เฉินผิงอันอีกคนนั้นก็ไม่ได้ด่าคนเหมือนกัน เพียงแค่ขว้างก้อนหินอยู่อย่างนั้น
บนภูเขาอ๋าวโถว หลิวจวี้เป่าและอวี้พ่านสุ่ย ผู้ฝึกตนสองคน แน่นอนว่าใช้จิตหยินเดินทางไกลมาพบเจอกันที่นี่
ก่อนหน้านี้ได้ถามอาจารย์ผู้เฒ่าต่งและจิงเซิงซีผิงมาแล้ว ตัวอยู่ในศาลบุ๋น จิตหยินออกมาข้างนอก เป็นเรื่องที่ได้รับการอนุญาตจากทางศาลบุ๋น
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งยังเอ่ยหยอกล้อหนึ่งประโยคอย่างหาได้ยาก บอกว่าทางฝั่งของศาลบุ๋นไม่กล้าถ่วงรั้งเวลาการหาเงินของเทพเจ้าแห่งโชคลาภทั้งสองคนหรอก
หลิวจวี้เป่าแห่งธวัลทวีป ในหนึ่งวันสามารถหาเงินเทพเซียนได้กี่เหรียญ เป็นปริศนาอยู่ในใต้หล้าไพศาลมาโดยตลอด
ยกตัวอย่างเช่นการประชุมครั้งนี้ สองสามีภรรยาสกุลหลิวต่างก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ สตรีออกเรือนแล้วไปที่ร้านผ้าห่อบุญเกาะนกแก้ว หลิวจวี้เป่าก็ยิ่งจ่ายเงินซื้อจวนทั้งหลังในราคาสูงไว้อย่างลับๆ เพียงแค่รอให้การประชุมสิ้นสุดลงก็จะป่าวประกาศเรื่องนี้ต่อภายนอก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!