กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 798

สรุปบท บทที่ 798.1 จริงดังคาด: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 798.1 จริงดังคาด – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 798.1 จริงดังคาด ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

เรือข้ามฟากพ้นจากพื้นมาค่อนข้างสูง สายลมบนท้องฟ้าพัดโชย ไม่ใช่เทพเซียนก็คล้ายคนกลางเมฆา

เฉินผิงอันยิ้มพูดสัพยอกหลี่ไหว “เดินทางไปศึกษาต่อไกลขนาดนี้ แล้วยังเคยออกท่องยุทธภพกับเผยเฉียนมาก่อน ไม่เคยเจอสตรีที่ถูกใจบ้างเลยหรือ?”

คำว่าถูกใจ คงหมายถึงว่าท่ามกลางกลุ่มคนที่เบียดเสียดกันแออัด แค่เหลือบมองปราดๆ ก็ยากจะลืมเลือนได้อีก

หลี่ไหวส่ายหน้า “ไม่เลย ข้าหน้าตาเหมือนแตงเบี้ยวพุทราแตก หน้าตาเหมือนบิดาข้า ขอแค่สตรีไม่ได้ตาบอดล้วนไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ความฉลาดในการรู้ตัวเอง ข้ายังพอมีอยู่บ้าง ต่อให้ข้าอยากจะถูกหลอกเงินถูกหลอกความงามก็ยังไม่มีทรัพย์สินและความงามเช่นนั้น ดังนั้นจึงมีดีอยู่อย่างหนึ่ง วันหน้าขอแค่มีสตรีที่ชอบข้าจริงๆ ก็จะต้องชอบข้าจากใจจริง ดังนั้นจะรีบร้อนไปไย แค่อดทนรอคอยไปก็พอ”

อันที่จริงรูปโฉมของหลี่ไหวไม่ได้แย่ เด็กหนุ่มที่คิ้วเข้มตาโต ไม่ว่าอย่างไรก็มองดูแล้วคมคาย

นักพรตเนิ่นกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “คุณชายถ่อมตัวเสียจนน่ากลัว”

หลิ่วชื่อเฉิงพยักหน้าเอ่ยคล้อยตาม “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบคุณชายหลี่ แต่กลับรู้สึกว่าเขารูปโฉมดุจมังกรท่วงท่าดุจหงส์ กลมกลืนเป็นธรรมชาติ”

ถัวเหยียนฮูหยินนึกถึงหมี่อวี้แห่งเรือนชุนฟาน แล้วก็พลันเข้าใจขึ้นมาว่าเหตุใดความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเฉินผิงอันถึงยังห่างเหิน ที่แท้ก็ขาดในเรื่องนี้นั่นเอง

สำหรับ ‘ถ้อยคำจากใจจริง’ ของนักพรตเนิ่นและเจ้าหอหลิ่ว หลี่ไหวไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง ด่าข้าไม่หนัก ชมข้าก็ยิ่งเบา

พูดถึงแค่เรื่องการด่าคน คำด่าที่มีพลังมากที่สุดไม่ได้อยู่บนหนังสือ แล้วก็ไม่ได้อยู่บนภูเขา ยังคงเป็นบ้านเกิดที่ด่าได้ร้ายกาจที่สุด บางครั้งแค่ประโยคสองประโยคก็สามารถทิ่มแทงให้คนไม่อาจเงยหน้า ยืดเอวตรงไม่ได้ ยามจะตักน้ำยังต้องเลือกตอนที่คนไปตักน้ำน้อยถึงจะออกมาจากบ้านได้

หลี่ไหวฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง ทอดสายตาเหม่อลอย

ดูเหมือนว่าชีวิตของตนมักจะมีเรื่องแปลกประหลาด ไม่ทันตั้งตัวเกิดขึ้นอยู่เสมอ ทำให้เขาได้แต่เหมือนคนที่เหยียบเปลือกแตง ลื่นไถลไปถึงตรงไหนก็ตรงนั้น

ตอนยังเด็กก็รู้สึกเพียงว่าอาจารย์ฉีของเมืองเล็กคืออาจารย์สอนหนังสือที่ยามถ่ายทอดความรู้เข้มงวดอย่างมาก แต่เวลาปกติก็พูดคุยด้วยได้ง่ายอย่างมาก เพียงแต่ว่ายากจนไปสักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีแม้กระทั่งภรรยาสักคนหรอกกระมัง? ดังนั้นหลี่ไหวในตอนนั้น แม้จะอายุยังน้อยก็ตัดสินใจไว้แล้วว่าวันหน้าต่อให้ต้องลงไร่ทำนา ขึ้นเขาตัดฟืนเผาถ่านกับท่านพ่อท่านแม่ หรือต่อให้ต้องไปเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรก็ยังได้ แต่จะไม่ยอมเป็นอาจารย์สอนหนังสือเด็ดขาด นี่ไม่ใช่ถ้วยข้าวที่มีแค่ใบเดียวก็ทำให้คนกินอิ่มได้แล้วสักหน่อย ภายหลังถึงได้รู้ว่าที่แท้อาจารย์ฉีมีความรู้ยิ่งใหญ่กว่าที่คิดไว้มากนัก คือเจ้าขุนเขาของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาแห่งลัทธิขงจื๊อ และยิ่งเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง แล้วยังเป็นศิษย์น้องของชุยฉานราชครูต้าหลี อาจารย์ฉีเป็นบัณฑิตที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง ยิ่งรู้จักเขามากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งรู้ว่าเขาเก่งกาจยอดเยี่ยมมากเท่านั้น

แยกจากกับต่งสุ่ยจิ่งและสือชุนเจีย มีเพียงเขากับหลินโส่วอีที่เลือกจะออกจากบ้านเดินทางไกล ไล่ตามไปทันเฉินผิงอันกับหลี่เป่าผิง ขุนเขาสายน้ำยามกลางวัน มองดูแล้วก็งดงามดี แต่พอถึงยามค่ำคืนกลับมืดมิดวังเวง มองดูแล้วน่ากลัวยิ่งนัก เปลี่ยนรองเท้าสานไปคู่แล้วคู่เล่า เดินจนเท้าด้าน

หลี่ไหวไม่เคยบอกกับใครมาก่อนว่า ปีนั้นตอนที่ออกจากบ้านมาพร้อมกับหลินโส่วอี ช่วงระยะทางก่อนที่จะตามไปทันเฉินผิงอันกับหลี่เป่าผิง ประโยคที่เขาพร่ำพูดมากที่สุดก็คือบอกให้หลินโส่วอีสาบานครั้งแล้วครั้งเล่าว่า หากวันไหนเขาหลี่ไหวเปลี่ยนใจต้องการกลับบ้าน เจ้าหลินโส่วอีจะต้องกลับบ้านไปเป็นเพื่อนข้าด้วย

ภายหลังได้เจอกับอาเหลียง ชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกที่สวมงอบขี่ลา ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนถูกจูเหอใช้หมัดหนึ่งต่อยให้ล้มคว่ำลงพื้นแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาได้

หลายๆ ครั้งหลี่ไหวเห็นว่าอาเหลียงพูดจาน่าเตะนัก เป็นพวกคนประเภทเดียวกับเจิ้งต้าเฟิง แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นคนที่ใต้เตียงในบ้านต้องมีกล่องไม้ซ่อนไว้ ไม่แน่ว่าด้านในอาจเก็บกระโปรง เอี๊ยมตัวในของสตรีสาวสะพรั่งเอาไว้จนเต็ม หลี่ไหวจึงกังวลว่าปากของเจ้าอาเหลียงผู้นี้จะไม่มีหูรูด ไม่ทันระวังเอ่ยประโยคไหนทำให้จูเหอเดือดดาลขึ้นมา เพราะถึงอย่างไรจูเหอก็เป็นคนที่เดินออกมาจากถนนฝูลวี่ ข้อพิถีพิถันจึงมีเยอะ ดังนั้นหลี่ไหวถึงได้คอยช่วยไกล่เกลี่ยอยู่ตลอด ตนอายุน้อย พูดจาไม่น่าฟัง จูเหอก็ไม่สะดวกจะลงมือต่อยตีคนอื่น

อาเหลียงมาเยือนอย่างลึกลับ จากไปก็ไปอย่างไม่บอกไม่กล่าว จากนั้นระหว่างทางยังเจอกับเจ้าห่านขาวใหญ่ อวี๋ลู่และปู้เค่อชี่ (แปลว่าไม่ต้องเกรงใจ เป็นคำที่ไว้เอ่ยตอบเวลามีคนขอบคุณ หรือพูดว่าเซี่ยเซี่ยในภาษาจีน ดังนั้นปู้เค่อชี่ของหลี่ไหวจึงหมายถึงตัวละครเซี่ยเซี่ย)

ปู้เค่อชี่ผู้นั้นหน้าตาใช้ได้เลย น่าจะงามเท่ากับหลี่หลิ่วผู้เป็นพี่สาวถึงสองคนเลยกระมัง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นสตรีที่ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องออกเรือน น่าเสียดายที่หลินโส่วอีถึงกับชอบหลี่หลิ่วเพียงคนเดียว หลี่ไหวคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ พี่สาวเขากรอกยาลวงวิญญาณให้กับหลินตอไม้หรืออย่างไร?

ตอนนั้นชุยตงซานบอกว่าเฉินผิงอันคืออาจารย์ของเขาแล้ว หลี่ไหวมึนงงไปหมด มักจะรู้สึกว่าเจ้าคนต่างถิ่นพวกนี้สมองไม่ค่อยดี ทำไมเจ้าไม่รับเฉินผิงอันเป็นบิดาไปเลยเล่า?

ท่านพ่อท่านแม่ย้ายบ้านจากไปไกลแล้ว พี่สาวไปเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ยอดเขาสิงโต ท่านพ่อท่านแม่เปิดร้านอยู่ที่ตีนเขา กิจการไม่เลว ใช้สอยประหยัดหน่อยก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมากนัก ได้ยินมาว่าครั้งนี้ท่านแม่กลับบ้านเกิด พูดจาแข็งกระด้างกว่าเดิม เสียงก็ดังมาก พาพี่เขยกลับมาที่บ้านเดิมพร้อมนางด้วย ทุกวันนี้ถึงกับกล้าตินั่นตินี่ หากไม่รังเกียจว่าน้องสาวของสามีที่เป็นแม่ครัวทำกับข้าวใส่น้ำมันน้อยเกินไป ก็รังเกียจว่าเนื้อเป็ดผัดหน่อไม้แห้งเนื้อไม่แน่นพอ เนื้อปลาก็มีกลิ่นคาวดิน

สหายรักอย่างเผยเฉียน ดูเหมือนว่าจู่ๆ นางจะเปลี่ยนจากถ่านดำตัวน้อยมาเป็นแม่นางตัวใหญ่ จนกระทั่งบัดนี้หลี่ไหวก็ยังไม่แน่ใจว่าสรุปแล้วเผยเฉียนเป็นองค์หญิงจากแคว้นไหนกันแน่ เหตุใดถึงผลัดมาอยู่ในหมู่ชาวบ้านได้ ทำไมถึงถูกเฉินผิงอันพามาอยู่ข้างกายได้?

ใต้หล้าวุ่นวายโกลาหล ใต้หล้าสงบสุข เจิ้งต้าเฟิงไม่เฝ้าประตูอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วอีกต่อไป หยางเหล่าโถวไม่อยู่แล้ว พี่สาวแต่งงานแล้ว เฉินผิงอันเป็นอิ่นกวานแล้ว

ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกเฒ่าตาบอดรับเป็นลูกศิษย์ จะขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่ สลัดก็สลัดไม่หลุด เขาหลี่ไหวแขนขาเล็กบาง จะไปอธิบายเหตุผลให้ใครฟังได้? ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ไม่อยู่ข้างกายเสียด้วย

ไม่เคยรู้ว่าเป็นเพราะอะไร ถึงอย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นยังจะทำอย่างไรได้อีก

แต่หลี่ไหวรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ดังนั้นจึงคอยย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอดว่าต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าในความโชคดี

เฉินผิงอันกล่าว “รู้ความสามารถของตัวเองดี เจอกับด่านยากหรือความลำบาก ไม่โทษฟ้าไม่ตำหนิคนอื่น นี่เรียกว่าจิตใจที่สงบเป็นกลาง ข้อนี้น่าจะเหมือนกับท่านพ่อของเจ้า เวลาปกติไม่แสดงออกอย่างชัดเจน แต่แท้จริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก”

หลี่ไหวฟังแล้วก็อารมณ์ดี แต่ปากก็ยังพูดว่า “พอเถอะน่า ข้าก็ได้แต่เก่งอยู่ในโปงผ้าห่ม อยู่ข้างนอกขี้ขลาดจะตาย”

ในความทรงจำ ดูเหมือนว่าน้อยครั้งนักที่เฉินผิงอันจะด่าคน แล้วก็น้อยมากที่จะชมคน

บนถนนเส้นหนึ่ง เฉินผิงอันอีกคนนั้นก็ไม่ได้ด่าคนเหมือนกัน เพียงแค่ขว้างก้อนหินอยู่อย่างนั้น

บนภูเขาอ๋าวโถว หลิวจวี้เป่าและอวี้พ่านสุ่ย ผู้ฝึกตนสองคน แน่นอนว่าใช้จิตหยินเดินทางไกลมาพบเจอกันที่นี่

ก่อนหน้านี้ได้ถามอาจารย์ผู้เฒ่าต่งและจิงเซิงซีผิงมาแล้ว ตัวอยู่ในศาลบุ๋น จิตหยินออกมาข้างนอก เป็นเรื่องที่ได้รับการอนุญาตจากทางศาลบุ๋น

อาจารย์ผู้เฒ่าต่งยังเอ่ยหยอกล้อหนึ่งประโยคอย่างหาได้ยาก บอกว่าทางฝั่งของศาลบุ๋นไม่กล้าถ่วงรั้งเวลาการหาเงินของเทพเจ้าแห่งโชคลาภทั้งสองคนหรอก

หลิวจวี้เป่าแห่งธวัลทวีป ในหนึ่งวันสามารถหาเงินเทพเซียนได้กี่เหรียญ เป็นปริศนาอยู่ในใต้หล้าไพศาลมาโดยตลอด

ยกตัวอย่างเช่นการประชุมครั้งนี้ สองสามีภรรยาสกุลหลิวต่างก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ สตรีออกเรือนแล้วไปที่ร้านผ้าห่อบุญเกาะนกแก้ว หลิวจวี้เป่าก็ยิ่งจ่ายเงินซื้อจวนทั้งหลังในราคาสูงไว้อย่างลับๆ เพียงแค่รอให้การประชุมสิ้นสุดลงก็จะป่าวประกาศเรื่องนี้ต่อภายนอก

เพ่ยอาเซียงเอ่ยอย่างสงสัย “ทำไมเฉินผิงอันถึงมาที่ภูเขาอ๋าวโถวได้ล่ะ? อึกทึกครึกโครมขนาดนี้ คิดจะทำอะไร?”

หยวนโจ้วกลอกตามองบน “นี่ยังต้องคิดอีกหรือ ต้องมาซ้อมเจี่ยงหลงเซียงที่มีความแค้นต่อกันแน่นอน คนทั่วไปในวงการขุนนางชอบประจบคนที่มีท่าทีว่าจะได้ครองอำนาจ (烧冷灶หากแปลตรงตัวหมายถึงผัดกับข้าวบนเตาเย็น) ไอ้หมอนี่กลับดีนัก น้ำมันหมูบดบังหัวใจรื้อเตาเย็นๆ ออก คราวนี้ดีแล้วล่ะสิ ทำเอากระดูกแก่ๆ ของตัวเองหลุดแยกออกจากโครงกระดูกแล้วกระมัง ไม่ตีกันก็เสียเปล่า ตีกันเสร็จก็รีบเผ่นหนี หากข้าเป็นใต้เท้าอิ่นกวานจะต้องซ้อมจนเจี่ยงหลงเซียงฉี่เล็ดแน่นอน จากนั้นค่อยป้อนให้เจี่ยงหลงเซียงกินให้อิ่ม!”

หลิวจวี้เป่าโบกชายแขนเสื้อสร้างภาพแห่งขุนเขาสายน้ำขึ้นมาอีกครั้ง ก็คือภาพบนภูเขาอ๋าวโถว เพียงไม่นานคนชุดเขียวผู้หนึ่งก็กระชากเจี่ยงหลงเซียงจากไป

หยวนโจ้วตบที่เท้าแขนเก้าอี้ “ไม่เสียแรงที่เป็นใต้เท้าอิ่นกวาน ทุกหนทุกแห่งล้วนเหนือความคาดคิดของผู้คนได้เสมอ! ลากหมาเดินทางไกลนี้ช่างเปี่ยมไปด้วยมาดองอาจเสียจริง”

เด็กหนุ่มหันหน้าไปมอง “ท่านปู่อวี้ ขอร้องท่านล่ะ ช่วยสานความสัมพันธ์ให้ที บอกกับใต้เท้าอิ่นกวานให้ดีๆ บอกให้เขามาหาพวกเรา ไม่เป็นราชครูก็สร้างสำนักขึ้นมา เสวียนมี่ของพวกเราจะออกเงินออกแรงออกคนให้เอง ไม่ว่าอะไรก็ปรึกษากันได้ทั้งนั้น ขอแค่เขายินดีเปิดปาก เสวียนมี่ก็กล้าตอบตกลง ข้าที่เป็นฮ่องเต้จะไปเป็นเค่อชิงที่บันทึกชื่ออยู่ในสำนักของเขาก็ยังไม่เป็นปัญหา ถึงเวลานั้นอิ่นกวานมาเยือนเมืองหลวง ข้าค่อยให้กรมพิธีการวางแผนดีๆ สักรอบ จะต้องให้เกิดภาพมวลชนมารอรับจนทุกตรอกว่างเปล่าทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ให้จงได้ ถึงเวลานั้นข้าค่อยจูงม้าให้อิ่นกวานเดินเข้ามาในวังด้วยตัวเอง วันหน้าเขาจะพกกระบี่เข้าพระตำหนัก ขี่ม้านั่งราชรถ ก็ล้วนไม่มีการสั่งห้าม…”

หลิวโยวโจวกล่าว “พาข้าไปด้วย ข้าก็อยากเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อ”

ยิ่งมองเขาก็ยิ่งถูกชะตากับฮ่องเต้เด็กหนุ่มผู้นี้ วันหน้ามีโอกาสจะต้องไปเดินเล่นที่ราชวงศ์เสวียนมี่ให้มากแน่นอน

หยวนโจ้วเอ่ย “พี่หลิว วันหน้าหากเจ้าจะไปทำการค้าที่เสวียนมี่ของพวกเรา ไม่ว่าจะถูกใจสิ่งใด นับตั้งแต่ราชสำนักไปจนถึงท้องถิ่น บนภูเขาล่างภูเขา ล้วนเป็นราคาของสหาย ทุกอย่างลดแปดส่วน น้ำลายหนึ่งฟองเท่ากับตะปูหนึ่งดอก วันนี้ข้าก็ขอกล่าวไว้ที่นี่เลย!”

อวี้พ่านสุ่ยคลึงขมับ มาเจอกับเจ้าลูกกระต่ายที่มองดูเหมือนคนโง่แต่แท้จริงแล้วใจดำอำมหิตผู้นี้ จะไม่ปวดหัวได้หรือ?

หลิวจวี้เป่ายิ้มเอ่ย “การทำการค้าของข้าที่ใบถงทวีปค่อนข้างใหญ่ ไม่เหมาะจะใกล้ชิดกับเฉินผิงอันและภูเขาลั่วพั่วมากเกินไปนัก ราชวงศ์เสวียนมี่ของพวกเจ้ากลับไม่มีปัญหา”

อวี้พ่านสุ่ยส่ายหน้า ไม่รู้สึกว่าเฉินผิงอันเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์เสวียนมี่แล้วจะเป็นเรื่องดีเสมอไป หนึ่งเพราะต้นไม้ใหญ่ย่อมเรียกลมได้ง่าย นอกจากนี้คนใกล้ชิดมักเกิดความไม่พอใจกันได้ง่าย อาศัยอยู่นานก็ทำให้คนรังเกียจ ญาติที่ไปมาหาสู่กันบ่อยก็อาจห่างเหิน คำพูดเก่าแก่พวกนี้ควรต้องฟังไว้บ้าง อายุของคำพูดเก่าแก่มักจะมากกว่าพวกคนเฒ่าคนแก่อยู่เสมอ

คนหนุ่มอย่างเฉินผิงอันเพียงแค่กระทำการเหมือนซิ่วหู่เท่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ซิ่วหู่จริงๆ

อำนาจแคว้นของราชวงศ์เสวียนมี่ดั่งดวงตะวันที่ลอยขึ้นสูงกลางนภา ไม่ต้องให้ใครมาส่งถ่านท่ามกลางหิมะ ยิ่งไม่ต้องการการปักบุปผาลงบนผ้าแพร ทุกอย่างล้วนมีขั้นตอนให้ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง แค่ต้องทำไปตามลำดับขั้นตอนก็พอ ภายในเวลาร้อยปีก็จะสามารถเลื่อนลำดับรายชื่อราชวงศ์ให้สูงขึ้นได้แล้ว หากสามารถคว้าโอกาสในการโจมตีเปลี่ยวร้างครั้งนี้ไว้ได้ ไม่แน่ว่าคนรุ่นนี้อาจสามารถทำให้ราชวงศ์เสวียนมี่นั่งได้มั่นคงแปดส่วน ช่วงชิงมาได้เจ็ดส่วนและมีหวังหกส่วนก็เป็นได้

อวี้พ่านสุ่ยเริ่มจับผิด “ใบถงทวีปคือแผงลอยเละเทะที่มีรอยรั่วช่องโหว่เต็มไปหมด มองดูเหมือนว่ามีเงินให้เก็บได้ทุกหนทุกแห่ง โชควาสนากลาดเกลื่อนนองพื้น แต่หากสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วเลือกที่ตั้งเป็นใบถงทวีป ไม่แน่ว่าอาจเป็นการพบเจอกันบนทางแคบกับสกุลหลิวที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดง เจ้าเป็นคนพิถีพิถัน ทว่าพวกคนทำการค้าที่หลายปีมานี้ถูกรวบรวมมาไว้ภายใต้กลุ่มคนของพวกเจ้าสกุลหลิว ปลาและมังกรปะปนกัน หาเงินด้วยจิตใจที่โหดเหี้ยม กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะพิถีพิถันอะไรแล้ว”

หนึ่งตระกูล หนึ่งภูเขา ขอแค่มีคนมาก อันที่จริงการทำเรื่องต่างๆ ในหลายๆ ครั้งมักจะเกินความจำเป็น

ยกตัวอย่างเช่นกังวลว่าตัวเองจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีแต่ตำแหน่งว่างเปล่า ต้องรักษาตำแหน่งใต้ก้นที่ทำให้มีหน้ามีตานั่นเอาไว้ให้ได้ ลงมือทำเรื่องอะไรเพื่อหาเงิน ก็ง่ายที่จะออกแรงมากเกินไป ก็เหมือนอย่างรายงานขุนเขาสายน้ำที่ต่อให้เป็นที่ว่าการน้ำใสแห่งหนึ่ง ยามจรดพู่กันก็มักจะควบคุมปลายพู่กันไม่ได้ ความหวังดีจึงกลายเป็นทำเรื่องผิด นอกจากนี้ยังมีศาลบรรพชนและศาลบรรพจารย์ที่รับผิดชอบคุมกฎ ตีหน้าเย็นชามองใครก็ผิดไปหมด มักจะเคยชินกับการจับผิด แล้วยังมีพวกคนที่รับผิดชอบดูแลถุงเงินที่ชอบหาเรื่อง คอยสร้างความลำบากใจให้กับคนที่แสวงหาความร่ำรวยบนภูเขาบ้านตัวเอง…

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!