ก็มีเรื่องพวกนี้นี่แหละที่ตระกูลสกุลหลิวธวัลทวีปจัดการได้ดีกว่าคนนอก
เป็นเศรษฐีร่ำรวยอยู่ที่ชะตา ไม่ได้อยู่ที่การลงแรงอย่างเหน็ดเหนื่อย เมื่อถึงช่วงเวลาแห่งความสูงศักดิ์ ก็ไม่จำเป็นต้องลงแรงทำไร่ทำนา
ฟังดูแล้วเหมือนจะมีเหตุผล แต่กลับไม่ใช่ทั้งหมด หากไม่มีเรือนกายที่ผ่านการลงแรงทำงานหนักเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเป็นเพียงหอเรือนกลางอากาศที่ต้านทานลมพัดฝนตกได้แค่ไม่กี่ครั้ง
ดังนั้นหลิวจวี้เป่าจึงใส่ใจคำว่า ‘ขนบธรรมประจำตระกูล’ ดียิ่งกว่าใคร ลูกหลานสกุลหลิวทุกคนล้วนจำเป็นต้องล้มลุกคลุกคลานจากตำแหน่งที่ต่ำที่สุดมาก่อน ต้องสร้างชื่อด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วมักจะเปลี่ยนชื่อแซ่ไปอยู่ตามตลาด อยู่ในราชสำนัก อยู่ในยุทธภพ ฝึกประสบการณ์ในแต่ละสถานที่นานหลายปี ท่ามกลางขั้นตอนนี้ทางตระกูลจะแค่ลงมือช่วยเหลืออย่างลับๆ สองครั้งเท่านั้น วันใดทางศาลบรรพชนมั่นใจได้แล้วว่าสามารถนำมาใช้งานได้จริงถึงจะได้กลับคืนสู่ตระกูล จากนั้นก็ยังจะต้องมีคนอีกหลายระดับชั้นที่คอยตรวจสอบพวกเขา ด่านแล้วด่านเล่าตามมาติดๆ กัน สุดท้ายถึงจะสามารถรับหน้าที่เพียงลำพังได้
ส่วนหลิวโยวโจวบุตรโทนของเขา ต้องให้เขาหาเงินด้วยหรือ? แน่นอนว่าไม่ต้อง หลิวโยวโจวออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอกแค่ใช้เงินให้เต็มที่ก็พอ ยกตัวอย่างเช่นจวนโหยวโหรวของภูเขาห้อยหัวแห่งนั้น
หลิวจวี้เป่ากล่าว “หากเป็นเรื่องที่มีสองนัย วันหน้าถ้าเกิดข้อโต้แย้งกัน กองกำลังใต้อาณัติทั้งหลายของสกุลหลิวที่อยู่ในใบถงทวีปก็ล้วนสามารถยอมถอยให้ได้หลายส่วน”
สามารถหลบเลี่ยงประกายคมกริบได้ สรุปก็คืออย่าได้เอาอย่างหอเซียนจิ่วเจินที่หาเรื่องซวยใส่ตัว ทางฝั่งของใบถงทวีปทำอะไรมักจะไม่สนใจในเรื่องมังกรข้ามแม่น้ำของทวีปอื่น อันที่จริงหลายๆ ครั้งเมื่อเวลาผันผ่าน ก็มีแต่จะยิ่งกระทำยิ่งไร้ความยำเกรงมากเท่านั้น ตอนนี้คนที่สกุลหลิวต้องคบค้าสมาคมด้วยอย่างแท้จริง ก็คือเหวยอิ๋งที่การประชุมในศาลบุ๋นครั้งนี้ไม่ทำตัวโดดเด่น เจ้าสำนักกุยหยกท่านหนึ่งที่ยินดีเป็นฝ่ายประคับประคองผู้ฝึกตนสำนักใบถงด้วยตัวเอง ควรค่าให้สกุลหลิวทุ่มเทความคิดจิตใจ ดังนั้นสวีเซี่ยเซียนกระบี่ที่เฝ้าพิทักษ์ท่าเรือชวีซาน อีกไม่นานก็จะได้รับกระบี่บินส่งจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของหลิวจวี้เป่าหนึ่งฉบับ
ส่วนเฉินผิงอันกับภูเขาลั่วพั่ว ไม่ต้องให้สกุลหลิวไปตีสนิทมากนัก ขอแค่การค้าของอีกฝ่ายใหญ่มากพอ เมื่อเส้นทางการทำการค้ามีมากขึ้นก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจอ้อมผ่านสกุลหลิวธวัลทวีปที่เป็นดั่งบุปผาผลิบานตามสถานที่ต่างๆ ของใบถงทวีปไปได้
นี่ไม่ใช่ว่าหลิวจวี้เป่าไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ดูแคลนอิ่นกวานหนุ่ม แต่นี่คือเรื่องจริง
อวี้พ่านสุ่ยใช้เสียงในใจเอ่ย “เจ้ารู้สึกว่าจากหน้าประตูเรือนของอำเภอพ่านสุ่ยไปจนถึงท่าเรือเวิ่นจิน ระยะทางช่วงนั้นเจิ้งจวีจงจะพูดคุยอะไรกับเฉินผิงอันบ้าง?”
หลิวจวี้เป่ายิ้มกล่าว “ข้าจะเดาเรื่องนี้ไปทำไม เดาไม่ออกหรอก ยากกว่าทำการค้าให้ขาดทุนเสียอีก”
เจิ้งจวีจงผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเกินไป ฉลาดเฉลียวจนเหมือนปีศาจจำแลง เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนที่สามารถเล่นหมากล้อมชนะชุยฉานได้
อวี้พ่านสุ่ยส่งเสียงจุ๊ๆๆ รัวเป็นทอด ฟังเข้าสิ นี่ใช่คำพูดของคนไหม?
หลิวจวี้เป่าลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนใช้เสียงในใจถาม “เจ้าคิดว่าหากเจิ้งจวีจงผสานมรรคาเป็นขอบเขตสิบสี่ จะผสานมรรคากับอะไร? ในอดีตชุยฉานคุยกับเจ้าเยอะหน่อย เคยได้บอกใบ้อะไรหรือไม่?”
อวี้พ่านสุ่ยแยกเขี้ยว “ไสหัวไปเลยไป อย่ามาพูดเรื่องนี้กับข้า เดี๋ยวจะซวย ข้าไม่ได้ยินอะไรมาทั้งนั้น ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าไม่รู้จักด้วยว่าใครคือเจิ้งจวีจง”
จากนั้นอวี้พ่านสุ่ยก็มองเทพเจ้าแห่งโชคลาภแห่งธวัลทวีปที่ลงมือน้อยครั้ง ทุกครั้งที่ต่อสู้ล้วนอาศัยการทุ่มเงินท่านนี้ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
แล้วเจ้าหลิวจวี้เป่าล่ะ? ในอนาคตจะผสานมรรคากับอะไร?
ผู้ฝึกตนผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ก็คือการข้ามฝั่งที่เงียบเชียบครั้งหนึ่งบนยอดเขา
หลิวจวี้เป่ายิ้มกล่าว “นอกจากหาเงินแล้วข้าก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นทั้งนั้น”
อวี้พ่านสุ่ยนับถือทั้งใจและปากจริงๆ
อยู่ดีๆ หลิวจวี้เป่าก็เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “การประชุมครั้งนี้ของศาลบุ๋นไม่เหมือนเดิม ไม่อาจยอมรับคนเข้าใจที่ชอบแสร้งทำเป็นเลอะเลือนได้”
นอกจากหนันกวงจ้าวแล้วยังมีขอบเขตบินทะยานอีกหลายคนที่ไม่มีคุณสมบัติได้เข้าร่วมการประชุม ศาลบุ๋นไม่เชิญ แต่กลับไม่กล้าไม่มา
ยกตัวอย่างเช่นจิงเฮาที่มีฉายาว่าชิงกงไท่เป่า ผู้ฝึกตนของธวัลทวีป และยังมีเฝิงเซวี่ยเทาฉายาชิงมี่ที่มีชาติกำเนิดมาจากธวัลทวีป แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนอิสระ อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งยากจะตามหาร่องรอย
คนทั้งสองต่างก็เป็นขอบเขตบินทะยานที่ไม่ชอบปรากฏตัวบนโลก ล้วนเป็นผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของไพศาลที่มีพลังการต่อสู้ไม่ธรรมดา
อวี้พ่านสุ่ยใช้มือดันปลายคาง “จำเป็นต้องใช้ตำราบทกวีบุกเบิกความสงบสุข หมาในหมู่บ้านข้างทางเห่าเสียงดังไม่หยุด”
หลิวโยวโจวยิ้มกล่าว “แค่ยกเท้าเตะทีหนึ่งก็พอ”
……
คู่กุมารทองกุมารีหยกของสำนักโองการเทพในอดีตเดินเคียงบ่ากันไป เท้าเดินเล่นแต่ใจกลับไม่ผ่อนคลาย
อยู่ริมน้ำของเกาะยวนยางที่ชื่อมีความหมายดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดนี้ น่าเสียดายที่คนทั้งสองไม่ใช่ยวนยางคู่หนึ่ง มีเพียงบุรุษเท่านั้นที่มีรัก
เกาเจี้ยนฝูมองนางแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าจะทำเช่นนี้ไปไย?”
เมื่อหลายปีก่อนเขาได้รู้เรื่องหนึ่งมาจากเจ้าสำนัก เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปเคยป่าวประกาศให้แก่ภายนอกทราบว่านางมีคู่รักบนภูเขาอยู่แล้วคนหนึ่ง เพียงแค่รอให้อีกฝ่ายพยักหน้าตอบตกลงเท่านั้น
เกาเจี้ยนฝูยิ่งเศร้าใจ พึมพำเสียงเบาว่า “แล้วข้าจะทำเช่นนี้ไปไย?”
มักรู้สึกว่าตัวเองเทียบไม่ได้แม้กระทั่งเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ
สตรีที่รักอยู่ตรงหน้า ทว่ากลับรู้สึกห่างไกลเหมือนอยู่สุดขอบฟ้า ความรู้สึกเช่นนี้ต่อให้ดื่มน้ำก็ยังเหมือนดื่มเหล้าดับทุกข์
เขายิ่งไม่อาจยอมรับได้ว่าคู่รักในใจที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงเลือกไว้ ถึงกับเป็นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะในถ้ำสวรรค์หลีจูของปีนั้น
คิดไปคิดมา ต่อให้เขาจะพยายามหวนคิดถึงการพบเจอกันครั้งแรกในปีนั้นอยู่ตลอด เกาเจี้ยนฝูก็ยังจำได้แค่เด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่ใบหน้าดำเกรียมน้อยๆ เรือนกายผอมบาง ยากจน ขลาดเขลา ไม่สะดุดตาเอาเสียเลย
เฮ้อเสี่ยวเหลียงหันหน้ามา พูดกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “คนที่หลงรักมีคนที่รักอยู่แล้วก็ต้องรู้สึกแย่ขนาดนี้เลยหรือ? ข้ากลับรู้สึกว่าฟ้าไม่ถล่มลงมา เส้นทางยังคงมีอยู่”
เกาเจี้ยนฝูสีหน้าหม่นหมอง พยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าสามารถยอมรับได้ แต่ข้ากลับทำไม่ได้”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงส่ายหน้า “การทำไม่ได้ในหลายๆ ครั้งก็คือการที่ตัวเองพูดกับตัวเองบ่อยครั้ง คอยถามใจตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับมีแค่คำตอบเดียว ถึงทำให้ทำไม่ได้จริงๆ ดังนั้นพวกเราถึงต้องฝึกฝนจิตใจอย่างไรล่ะ”
เกาเจี้ยนฝูพูดอย่างขมขื่น “ข้าไม่ได้กำลังพูดเรื่องมรรคกถากับเจ้าเสียหน่อย”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มกล่าว “เจ้าไม่พูดมรรคกถากับข้าแล้วจะพูดเรื่องอะไรได้?”
ในใจของเกาเจี้ยนฝูเจ็บปวดรวดร้าวถึงขีดสุด สตรีตรงหน้าผู้นี้มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าพูดจาหรือทำอะไรล้วนไม่สนใจความคิดคนอื่น จิตแห่งเต๋าใสสว่าง แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนอื่นคิดถึงคำนึงหา ตัดใจจากนางไม่ลง
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยเตือน “หากยังปล่อยไว้ไม่สนใจเช่นนี้ จิตมารของเจ้าจะทำให้เจ้าไม่อาจเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้ชั่วชีวิต ครั้งนี้ฉีเทียนจวินจงใจพาเจ้ามาด้วย สิ่งที่เขาต้องการ เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือ? เพราะเขาหวังว่าเมื่อเจ้ากับข้าได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง เจ้าจะสามารถใช้กระบี่แห่งสติปัญญาตัดสายใยรักให้ขาดสะบั้น”
เกาเจี้ยนฝูหันไปมองน้ำในลำคลองของเกาะยวนยาง ดูเหมือนว่าจะเป็นเหล้าดับทุกข์ในทะเลสาบหัวใจไปเสียทั้งหมด ได้แต่เจ็บใจที่ดื่มได้ไม่หมด ดื่มอย่างไรก็ยังมองไม่เห็นก้นบึ้ง
เฮ้อเสี่ยวเหลียงถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่เกลี้ยกล่อมให้มากความอีก
เกาเจี้ยนฝูทอดสายตามองอยู่เป็นนาน ก่อนจะถามเสียงเบาว่า “เขามีอะไรดีกันแน่”
คนลุ่มหลงในรักบางคนเพียงแค่หวังว่าคนในใจที่อยู่ห่างไกลจนไม่อาจเอื้อมถึงจะไม่มีบุรุษคนใดในใต้หล้าที่เหมาะสมคู่ควรกับนาง รวมถึงตัวเองด้วย
เจ็ดอารมณ์หกโลกีย์ห้าปรารถนา มนุษย์เกลือกกลิ้งอยู่ในธุลีแดง (หรือฝุ่นแดงที่คละคลุ้งจากการวิ่งผ่านของรถม้าและอาชา ใช้เปรียบเปรยกับโลกมนุษย์หรือสังคมโลกีย์)
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!