กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 799

ชิวเสินกงถาม “อาจารย์หลิน เซียนกระบี่ไม่ทราบชื่อท่านนี้จงใจเอาเรื่องหม้อไฟของอวี๋โจวมาตีสนิทกับพวกเรา หรือว่าเป็นคนชอบกินจริงๆ?”

หลินชิงยิ้มเอ่ย “เซียนกระบี่ที่แม้แต่อวิ๋นเหมี่ยวก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตาเช่นนี้ จำเป็นต้องจงใจตีสนิทกับสกุลชิวอวี๋โจวด้วยหรือ? อย่าลืมล่ะว่าที่พึ่งของหอเซียนจิ่วเจินคือซ่งจื่อจัวลู่ที่กำลังประชุมอยู่ในศาลบุ๋นนะ เจ้าเห็นว่าเขามีความเกรงใจหรือไม่?”

ชิวเสวียนจียิ้มเอ่ย “ก็นั่นน่ะสิ บรรพจารย์พูดได้ถูกต้อง คนต่างถิ่นที่ชอบหม้อไฟของอวี๋โจวพวกเรา เกินครึ่งล้วนไม่เลวร้าย คู่ควรแก่การผูกมิตร”

เฉินผิงอันมองประเมินตราประทับเถียนหวง (หินชนิดหนึ่ง มีสีเหลืองเข้มกึ่งโปร่งแสง) ของเหล่าเคิงที่วัสดุที่ใช้ดีเยี่ยม ยามอยู่ในมือมีน้ำหนักมาก สำหรับเซียนซือบนภูเขาและนักประพันธ์ปัญญาชนทั้งหลายที่ชื่นชอบของสิ่งนี้แล้ว เถียนหวงหนึ่งตำลึงก็คือเงินฝนธัญพืชหนึ่งตำลึง อีกทั้งยังมีแต่ราคาทว่ากลับหาซื้อไม่ได้อีกด้วย

ตัวอักษรบนตราประทับคือ ‘ท้องฟ้าตะวันตกฉาบสีทอง คือจุดที่ดวงตะวันลาลับ เซียนเมาสุรา ดวงจันทร์ลอยสูง กระบี่บินดุจสายรุ้ง สองเท้ากระทืบรากดินทางทิศใต้ ฝ่ามือพลิกกลับประตูสวรรค์แห่งดาวเหนือ’ ตัวอักษรด้านล่างของตราประทับคือ ‘เคยพบคนชุดเขียว’

เฉินผิงอันแค่เห็นก็ชื่นชอบทันที รู้สึกได้ทันใดว่าตราประทับในมือหนักกว่าเดิม

เรือข้ามฟากจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของเกาะนกแก้ว มีคนมารออยู่ที่นั่นนานแล้ว คือเด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่ต่างก็อายุไม่มาก ทุกคนล้วนสะพายกระบี่ ก็คือพวกลูกศิษย์ในบรรดาสิบแปดกระบี่ของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง

หลังจากที่กลุ่มของเฉินผิงอันลงมาจากเรือ เด็กสาวคนหนึ่งในนั้นก็ปลุกความกล้าให้ตัวเอง เดินออกมาจากกลุ่มเพียงลำพัง มายืนขวางอยู่บนทาง

ถัวเหยียนฮูหยินที่เป็นเค่อชิงของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเด็กสาวที่คุณสมบัติด้านการฝึกกระบี่ดีเยี่ยมผู้นี้ อยู่ในสำนักก็เป็นนางที่กล้าหาญที่สุด ยามพูดคุยกับฉีถิงจี้ผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่กริ่งเกรงระวังคำพูดมากที่สุด ลู่จือจึงฝากความหวังไว้มากกับเด็กสาวคนนี้

เฉินผิงอันหยุดเดิน ถามว่า “เจ้าคือ?”

เด็กสาวหน้าแดงเรื่อ “ข้าคือลูกศิษย์ของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง ข้าชื่ออู๋ม่านเหยียน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ แสดงให้รู้ว่าตนเองรับทราบแล้ว จากนั้น?

เขารอคอยประโยคถัดมาเงียบๆ

เด็กสาวหน้าแดงก่ำในชั่วพริบตา กลัวใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ อาจารย์เฉินในใจของนางผู้นี้จะเข้าใจผิดเรื่องชื่อของตนจึงรีบเอ่ยเสริมไปว่า “เป็นคำว่าเหยียนที่มาจากประโยคร้อยบุปผาประชันความงาม เหยียนที่มาจากประโยครูปโฉมมีแบ่งงามและอัปลักษณ์”

เฉินผิงอันเพียงแค่พยักหน้าต่อไป ตัวอักษรนี้ ตนรู้จัก

พอนางพูดออกไปก็เสียใจภายหลังทันที คำพูดเปิดฉากที่ทำให้คนกระอักกระอ่วนใจมากที่สุดในใต้หล้า นางทำได้แล้ว? เหตุใดถึงลืมถ้อยคำที่คิดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ไปได้ล่ะ? ทำไมถึงจำอะไรไม่ได้เลยสักคำเดียว?

เห็นว่าเด็กสาวทั้งไม่พูดแล้วก็ไม่เปิดทางให้ เฉินผิงอันก็ยิ้มถามว่า “มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”

หน้าผากของเด็กสาวมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดออกมา นางส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่มี!”

แต่นางก็ไม่ขยับเท้าหลบทางให้

อันที่จริงเดินมาถึงตรงนี้ เพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็เผาผลาญความกล้าหาญของเด็กสาวไปจนหมดสิ้น ต่อให้เวลานี้ในใจจะบอกกับตัวเองไม่หยุดว่าให้รีบหลบทาง อย่าถ่วงรั้งการทำธุระสำคัญของใต้เท้าอิ่นกวาน แต่นางกลับค้นพบว่าตัวเองเดินไม่ไหวเลย ดังนั้นในสมองของแม่นางน้อยจึงมีเพียงความว่างเปล่า รู้สึกว่าชีวิตนี้ของตนจบสิ้นแล้ว จะต้องถูกใต้เท้าอิ่นกวานมองเป็นคนที่ไม่รู้จักหนักเบา ไม่เข้าใจมารยาทแม้แต่น้อย แล้วยังหน้าตาขี้เหร่อีกด้วย วันหน้าตนก็จงฝึกกระบี่อยู่ในสำนักไปแต่โดยดีเถอะ สิบปีหลายสิบปีหนึ่งร้อยปี หลบอยู่บนภูเขา อย่าออกมาข้างนอกอีกเลย ชีวิตของนาง นอกจากฝึกกระบี่แล้วก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว

เฉินผิงอันไม่มีสีหน้ารำคาญใจแม้แต่น้อย เพียงแค่พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี”

ในที่สุดอู๋ม่านเหยียนก็คืนสติกลับมา รอยยิ้มบนใบหน้าน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก นางสูดจมูก เบี่ยงตัวหลบทางให้ ก้มหน้าพึมพำ “ตกลง”

อันที่จริงเฉินผิงอันกระอักกระอ่วนอย่างมาก จึงฝืนใจเอ่ยกับแม่นางน้อยเพิ่มไปอีกหนึ่งประโยค “วันหน้าสามารถขอความรู้ยากๆ ในด้านวิชากระบี่จากอาจารย์ลู่ของพวกเจ้าให้มากหน่อยได้”

อู๋ม่านเหยียนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยังคงไม่กล้ามองใบหน้าที่มีรอยยิ้มอบอุ่นนั้น นางอืมรับหนึ่งที

ในใจถัวเหยียนฮูหยินถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ช่างเป็นแม่นางที่โง่งมเสียจริง เวลานี้แม่นางน้อยคนนี้เหมือนมีเมฆก้อนหนึ่งบินลอยมาหยุดอยู่บนใบหน้า พวงแก้มแดงปลั่งดุจแสงอาทิตย์ยามสนธยา

โชคดีที่มีเด็กหนุ่มช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ เขาใช้เสียงในใจเอ่ยกับอิ่นกวานหนุ่มว่า “ข้าชื่อเฮ้อชิวเซิง วันหน้าเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่จะถามกระบี่กับใต้เท้าอิ่นกวานสักครั้ง!”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาคนนั้นแล้วพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ได้สิ”

ดูท่าแล้วบุพเพกับคนรุ่นเยาว์ของตนก็ไม่เลวเหมือนกัน

หลังจากคนทั้งสองกลุ่มแยกทางกัน

อู๋ม่านเหยียนก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ถามเด็กหนุ่มว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับอาจารย์เฉิน?”

เฮ้อชิวเซิงกล่าว “พวกเรานัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วว่ารอข้าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบเมื่อไหร่จะถามกระบี่กันครั้งหนึ่ง”

อู๋ม่านเหยียนถามอย่างสงสัย “รอให้เจ้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้อย่างเชื่องช้า อาจารย์เฉินจะไม่เป็นขอบเขตสิบสี่แล้วหรือ? ยังจะต่อสู้อะไร ถามกระบี่อะไร?”

เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างเสียใจ “ศิษย์พี่หญิง!”

ศิษย์พี่หญิง ไม่ใช่ว่าเพราะข้าชอบเจ้า แล้วเจ้าจะรังแกคนอื่นแบบนี้ได้นะ

อู๋ม่านเหยียนสะบัดหน้า ผมหางม้าสะบัดน้อยๆ นางมองไปยังแผ่นหลังของคนชุดเขียวแล้วพลันรู้สึกว่าการฝึกกระบี่บนภูเขาน่าสนใจอย่างถึงที่สุด

ยังไม่ทันเดินไปถึงร้านผ้าห่อบุญแห่งนั้น เฉินผิงอันก็หยุดเดินแล้วหันหน้ามองไปยังจุดที่ห่างไปไกลมาก แสงกระบี่สองเส้นแยกกันพุ่งออกไปเส้นละจุด

แสงกระบี่เส้นหนึ่งในนั้นพุ่งมาทางเกาะนกแก้วใต้ฝ่าเท้าแห่งนี้พอดี?

เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดศิษย์พี่จั่วโย่วถึงได้ออกกระบี่? ถามกระบี่กับใคร อีกทั้งดูจากท่าทางแล้วยังถามกระบี่กับสองคนด้วย? คนหนึ่งอยู่ที่เกาะนกแก้ว อีกแห่งหนึ่งคือที่อำเภอพ่านสุ่ย

เฉินผิงอันเห็นกับตาตัวเองว่าแสงกระบี่ที่นำพาฝักกระบี่มาด้วยเส้นนั้นหล่นลงบนจุดที่ห่างไปไม่ไกล

ส่วนผู้ฝึกตนทั่วไป ขอบเขตไม่มากพอ จึงได้แต่หลับตาลงตามสัญชาตญาณไปนานแล้ว หรือไม่ก็หันหน้าเบี่ยงหลบไปอีกทาง ไม่กล้ามองแสงกระบี่ที่เจิดจ้าเส้นนั้นเลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!