กลับไปที่หน้าประตูของศาลบุ๋น จั่วโย่วนั่งลงบนขั้นบันได หลินจวินปี้ยังนอนหลับกรนครอกๆ เทียนซือน้อยจ้าวเหยากวงคอยคุ้มกันอยู่ด้านข้าง
จ้าวเหยากวงลังเลอยู่นาน แต่ก็ยังปลุกความกล้าเอ่ยว่า “อาจารย์จั่ว ผู้เยาว์จ้าวเหยากวงมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง”
จั่วโย่วเอ่ย “ข้าไม่มีทางรับปาก ไม่ต้องพูดแล้ว”
จ้าวเหยากวงอัดอั้นอยู่นาน สุดท้ายก็ได้แต่เอ่ยอย่างว่าง่าย “ก็ได้ ผู้เยาว์ทราบแล้ว”
ในอนาคตกลับไปยังจวนเทียนซือ ก็ถือว่ามีคำอธิบายต่อผู้อาวุโสในตระกูลท่านนั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าตนไม่สนใจจริงๆ แต่เป็นเพราะเซียนกระบี่จั่วไม่ให้โอกาสตนได้เปิดปากเชื้อเชิญเลย
จั่วโย่ววางกระบี่พาดไว้บนหัวเข่า เริ่มหลับตาทำสมาธิ
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตอนที่ฝึกกระบี่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินชิงตูเคยพูดหลักการข้อหนึ่งกับจั่วโย่วเป็นการส่วนตัว
หากเจ้าไม่อาจรับประกันได้ว่าภายในสิบกระบี่จะสามารถฟันให้ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งตายได้อย่างสิ้นเชิงก็เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่เสียแล้ว จะมีความหมายหรือ? ไม่มีความหมายหรอก
สุดท้ายเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนั้นก็ตบไหล่จั่วโย่ว แล้วทิ้งไว้อีกประโยคว่า อายุไม่น้อยแล้ว เวทกระบี่ไม่สูงมากพอ ข้าล่ะร้อนใจแทนเจ้าจริงๆ
ตรงหน้าประตู จิงเซิงซีผิงใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “การออกกระบี่สองครั้งของอาจารย์จั่วเบากว่าที่คาดไว้หลายส่วน”
จั่วโย่วตอบกลับ “ขอแค่ทางฝั่งของศาลบุ๋นมีคำยืนยันที่แน่ชัด ข้าสามารถออกกระบี่ให้หนักกว่านี้ได้”
จิงเซิงซีผิงส่ายหน้า ไร้คำพูดตอบโต้
ทางฝั่งของเกาะนกแก้ว นักพรตเนิ่นเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมว่า “เมื่อเทียบกับหนันกวงจ้าวแล้ว เจ้าคนที่มีฉายาว่าชิงมี่ผู้นี้แข็งแกร่งกว่าจริงๆ แต่หนังหน้ากลับหนายิ่งกว่า ถึงขนาดยินดียืนนิ่งไม่ขยับปล่อยให้ถูกตีนหมาตะกุยภายใต้สายตาของคนมากมาย”
ถึงอย่างไรอาเหลียงก็ไม่อยู่ จะด่าอย่างไรก็ได้ ไม่ด่าก็เสียโอกาสเปล่าๆ น่ะสิ
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มกล่าว “อันที่จริงเฝิงเซวี่ยเทาไม่ได้มีความสามารถน้อยนิดแค่นี้ เขายังเก็บซ่อนฝีมือเอาไว้อีกมาก ก็ผู้ฝึกตนอิสระนี่นะ ล้วนเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น แน่นอนว่าหลักๆ แล้วยังเป็นเพราะเฝิงเซวี่ยเทาไม่กล้าขยับ”
หาเรื่องจั่วโย่วที่ต้องได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่อย่างแน่นอนไปแล้ว หากยังมีเรื่องกับอาเหลียงที่เคยชื่นชมทัศนียภาพของขอบเขตสิบสี่มาก่อนแล้วอีกคน ใต้หล้าไพศาลไม่มีใครกล้าไม่กลัวตายแบบนี้จริงๆ
เฉินผิงอันกล่าว “ผู้ฝึกตนใหญ่ชิงมี่เหมาะกับการเข่นฆ่าบนสนามรบมากกว่า”
นักพรตเนิ่นฟังเป็นลมพัดผ่านข้างหู ความสามารถในการต่อสู้สู้ตนไม่ได้ ล้วนไม่มีค่าพอให้เก็บเอามาใส่ใจ
แต่หลิ่วชื่อเฉิงกลับฟังความนัยในคำพูดของเฉินผิงอันออก ปีนั้นเฝิงเซวี่ยเทาเหมาะจะลงจากภูเขามากกว่าหนันกวงจ้าว
นักพรตเนิ่นมอบแผ่นหยกที่ส่องประกายแสงใสแวววาวแผ่นหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน
ด้านบนแกะสลักเวทลับสำคัญมากมายในการหลอมชุดคลุมอาคมของนครจินชุ่ยเอาไว้ เขียนด้วยตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวัน เรียงต่อกันมากถึงเจ็ดแปดพันกว่าตัวอักษร
นักพรตเนิ่นยิ้มเอ่ย “ตกลงกันไว้ก่อนว่าส่วนแบ่งหนึ่งส่วน”
เฉินผิงอันไม่ได้ถือสาในการเล่นแง่น้อยนิดแค่นี้ของเถาถิง ใช้ดวงจิตอ่านตัวอักษรทั้งหมดอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่ง ในใจเกิดความมั่นใจ หากอิงตามบันทึกลับส่วนนี้ก็สามารถช่วยยกระดับให้กับชุคคลุมอาคมของจวนไฉ่เชวี่ยได้จริงๆ
อย่าว่าแต่ส่วนแบ่งหนึ่งส่วนเลย สองส่วนก็ยังไม่เกินไป
เฉินผิงอันกล่าว “ทุกๆ หกสิบปีภูเขาลั่วพั่วจะจ่ายเงินให้โดยคิดตามบัญชี นอกจากเงินเทพเซียนก้อนนั้นยังเพิ่มสมุดบัญชีไปให้อีกหนึ่งเล่ม”
จะมอบเงินให้ทุกๆ หกสิบปีหรือสิบปีสามสิบปีคิดบัญชีกันครั้งหนึ่ง อันที่จริงความต่างมีไม่น้อย
นักพรตเนิ่นขมวดคิ้ว “น่ารำคาญนัก ยังต้องมาตรวจสอบบัญชี เห็นข้าเป็นนักบัญชีที่ดีดลูกคิดเป็นอย่างนั้นหรือ? เป็นเพราะเจ้าไม่เชื่อข้า หรือรู้สึกว่าข้าจะไม่เชื่อใจเจ้ากันแน่? หากไม่เชื่อใจเจ้าจะทำการค้าด้วยกับผายลมอะไร หากเจ้าไม่เชื่อใจข้า วันหน้าเจ้าก็เดินไปบนสะพานไม้คับแคบของเจ้า ข้าเดินไปบนเส้นทางกว้างใหญ่ของข้า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นสหายมีกฎของการเป็นสหาย ทำการค้าก็ย่อมมีกฎของการทำการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่วมมือกับสหายทำการค้าที่จะปล่อยให้คลุมเครือไม่ได้แม้แต่น้อย ผู้อาวุโสจะไม่เปิดสมุดบัญชีตรวจสอบอย่างละเอียดก็ได้ แต่ภูเขาลั่วพั่วกลับไม่อาจไม่มอบสมุดบัญชีให้ หากรู้สึกว่านี่ทำให้เสียความรู้สึกก็หมายความว่าไม่เหมาะจะหาเงินร่วมกัน”
นักพรตเนิ่นเอ่ยอย่างหมดความอดทน “ตามใจเจ้า”
คนทั้งกลุ่มไปที่ร้านผ้าห่อบุญด้วยกัน ที่นั่นคือพื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำที่ฟ้าดินแปลกตา คล้ายคลึงกับร้านเหล้าหวงเหลียงของภูเขาห้อยหัว
ตลอดทางที่เดินไป ผู้คนที่เดินผ่านล้วนหันมามองแล้วพากันหลีกทางให้
เซียนกระบี่ชุดเขียวคนหนึ่งที่ไร้เหตุผล อีกคนหนึ่งก็นักพรตเนิ่นแห่งไพศาลที่เกือบจะฆ่าหนันกวงจ้าวตาย บวกกับหลิ่วเต้าฉุนแห่งนครจักรพรรดิขาวที่มีชื่อเสียงมานานมากแล้ว พูดถึงแค่สามคนนี้เดินทางมาร่วมกันก็ทำให้มีพลังอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ที่ ‘ขอร้องพวกเจ้าอย่ามาหาเรื่องข้า’ แล้ว
เฉินผิงอันรู้สึกมาโดยตลอดว่าตนเป็นร้านผ้าห่อบุญได้ไม่เลว รอกระทั่งวันนี้เดินเข้ามาในพื้นที่ลับแห่งนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าทรัพย์สมบัติที่แท้จริง อะไรที่เรียกว่าตบะ
รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้อยู่บ้าง
อันที่จริงทางฝั่งของภูเขาหนิวเจี่ยวบ้านตน ทั้งท่าเรือและร้านค้าทั้งหลายก็คือฝีมือของร้านผ้าห่อบุญที่ ‘คนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้คนรุ่นหลังอาศัยร่มเงา’ ทำให้ภูเขาพีอวิ๋นและภูเขาลั่วพั่วได้ผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้าไปครอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!