โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่สร้างอยู่บนภูเขาสูงของเกาะป๋ายลู่ มีชื่อว่าหอเมฆคล้อย
ท่าเรือที่อยู่ตรงตีนเขานอกจากจะมีกอต้นกกต้นอ้อแล้ว บริเวณใกล้เคียงยังมีนาที่ปลูกเป็นขั้นบันไดอยู่อีกแถบใหญ่ นกกระยาง (ป๋ายลู่) โบยบิน นกกระจอกเกาะบนกิ่งต้นอ้อ เงียบสงบร่มรื่น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผืนป่า
ชาวประมงจับปลาอยู่บนน้ำ ชาวนาอยู่ในนา สำหรับเรือข้ามฟากตระกูลเซียนทั้งหลายที่ขึ้นๆ ลงๆ พวกนั้น พวกเขาเห็นกันมาจนชินตาแล้ว ยอดเขาชิงอู้ที่อยู่ใกล้ท่าเรือป๋ายลู่ที่สุดก็อยู่ห่างไปแค่ร้อยลี้เท่านั้น คนธรรมดาล่างภูเขาพวกนี้ แต่ละรุ่นแต่ละยุคสมัยล้วนพักอยู่ในอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยง จึงเห็นเทพเซียนบนภูเขามามากแล้วจริงๆ
ชุยตงซานต้มชารับรองแขกด้วยตัวเอง เด็กหนุ่มชุดขาวคล้ายเมฆผืนหนึ่งที่ทำให้คนเห็นลืมความธรรมดาสามัญไปอย่างสิ้นเชิง
เถียนหว่านนั่งลงแล้วก็รับชาถ้วยหนึ่งมาจากมือของชุยตงซาน เพียงแต่ไม่กล้าดื่ม เพราะถึงอย่างไรวันนี้นางเปิดเผยร่างจริงที่นี่ ก่อนหน้านั้นนางได้ใช้วิธีการทั้งหมดที่มีไปแล้ว แบ่งออกเป็นใช้จิตหยินออกจากร่างเดินทางไกล จิตหยางกายนอกกายหลบหนีไปไกล บวกกับเวทอำพรางตา คาดไม่ถึงว่าจะถูกคนสองคนตรงหน้าขัดขวางเอาไว้ อีกทั้งดูเหมือนอีกฝ่ายจะมั่นใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าร่างจริงของนางยังอยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยง นี่ทำให้เถียนหว่านรู้สึกจนใจมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวี นางเป็นคนควบคุมด้ายแดง เล่นกับจิตใจคนอยู่ในแจกันสมบัติทวีปมานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าคนคำนวณของตัวเองมิสู้ฟ้าลิขิต
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “นี่คือใบชาที่อาจารย์ของข้าเอากลับมาจากอำเภอเซียนโหยวของเมืองชิงหยวนเชียวนะ ล้ำค่าอย่างมาก มูลค่าควรเมือง เวลาปกติข้าตัดใจดื่มไม่ลงด้วยซ้ำ พี่หญิงเถียนหว่านลองชิมดู หากว่าอร่อยก็ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่หากไม่อร่อยกลับต้องจ่ายเงิน ดื่มชาแล้วพวกเราค่อยคุยเรื่องเป็นงานเป็นการกัน”
เถียนหว่านหัวเราะหยัน “ไม่กลัวว่าข้าจะให้คนไปสืบสาวเบาะแสที่อำเภอเซียนโหยวหรอกรึ”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างจนใจ “คนฉลาดไม่พูดจาโง่เขลา พี่หญิงเถียนหว่านทำแบบนี้ไม่มีความจริงใจให้กันเลยนะ”
ความฉลาดของเถียนหว่านอยู่ที่ว่านางไม่เคยทำเรื่องอะไรที่เกินความจำเป็น นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืนที่ทำให้นางสามารถแฝงตัวอยู่ในภูเขาตะวันเที่ยงของแจกันสมบัติทวีปได้
ศิษย์น้องหญิงของโจวจื่อผู้นี้สามารถทำให้คนฉลาดหลายคนพากันรู้สึกว่านางก็แค่มีอุบายเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
จู๋หวงเจ้าสำนักภูเขาตะวันเที่ยง เซี่ยหยวนชุ่ยบรรพจารย์เฒ่าขอบเขตหยกดิบ เถาแยนโปบรรพบุรุษตระกูลเถา เยี่ยนฉู่ผู้คุมกฎของสำนัก เซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปเหล่านี้ต่างก็รู้สึกว่าสตรีอย่างเถียนหว่าน เก้าอี้ของนางที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยง อันที่จริงจะมีหรือไม่มีก็ได้
เจียงซ่างเจินไม่ได้มาดื่มชาด้วย เพียงแค่ยืนอยู่ตรงราวรั้วของหอชมทัศนียภาพเพียงลำพัง มองไกลๆ ไปยังพวกเด็กๆ ที่กำลังเล่นสนุกกันอยู่ริมน้ำ เด็กกลุ่มนั้นล้อมวงกันเป็นวงกลม ใช้หญ้าชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกบ้านๆ ว่าแม่นางขี้อายมาชักเย่อกัน มีแม่นางน้อยที่ใบหน้าเล็กๆ เป็นสีแดงก่ำเอาชนะคนวัยเดียวกันได้ นางคลี่ยิ้มกว้าง ดูเหมือนว่าจะมีฟันผุอยู่ซี่หนึ่ง เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยี ฟุบตัวบนราวรั้ว สีหน้าอ่อนโยน เอ่ยเสียงเบาว่า “เดาได้ว่าวันนี้จะชนะเล่นดึงต้นหญ้า รอยยิ้มจึงปรากฎบนสองข้างแก้ม”
ชุยตงซานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา บอกเป็นนัยแก่เถียนหว่านว่าอย่าได้ไม่รู้กาลเทศะ “ชาคารวะไม่ยอมดื่ม หรือว่าพี่หญิงเถียนหว่านตัดสินใจแล้วว่าจะดื่มสุราลงทัณฑ์?”
เถียนหว่านจึงได้แต่ฝืนใจดื่มชาถ้วยนั้นลงไป ครู่หนึ่งต่อมาหน้าของนางก็พลันซีดขาว ต่อให้นางจะเตรียมใจมาไว้นานแล้ว จึงร่ายเวทลับผนึกขุนเขารวบรวมปราณวิญญาณมาไว้ที่ช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตที่สำคัญทั้งหลาย เผื่อผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างการที่ต้องสละเนื้อหนังมังสาทิ้งไป ทว่าปราณวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ตามเส้นชีพจรในร่างกายเหล่านี้ก็มีเป็นแค่เส้นๆ กลุ่มๆ เท่านั้น เดิมทีสามารถมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิง เพียงแต่ว่าเมื่อปราณวิญญาณพวกนี้เหมือนน้ำแข็งที่เกาะตัวก็ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้าน สุดท้ายปราณวิญญาณที่รวมตัวเป็นน้ำแข็งเหล่านั้นก็เหมือนแพไม้ลอยน้ำที่เรียงกันเป็นแถว มารวมตัวกันอยู่บน ‘แม่น้ำลำคลอง’ ในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ แล้วพุ่งปะทะชนกันอย่างรุนแรง ทำให้เถียนหว่านขมวดคิ้วน้อยๆ
เจียงซ่างเจินหันหน้ามา ยิ้มเอ่ย “บรรยากาศยังคงเดิม ชุดที่สวมใส่ยังคงเดิม เพียงแต่อารมณ์กลับต่างไปแล้ว นกกระยางลอบมองปลาด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ”
ชุยตงซานด่าดังลั่น “บทกลอนระคายหูอะไรกัน เจ้าคิดว่าพี่หญิงเถียนจะฟังเข้าใจงั้นหรือ?!”
นาทีถัดมา เถียนหว่านหน้าเผือดสี เงยหน้าพรวด จ้องเด็กหนุ่มชุดขาวเขม็ง “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะทำให้เจ้าวอดวายไปพร้อมกันหรอกหรือ?!”
ที่แท้ด้านหน้าสุดของ ‘เรือแพที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ’ เหล่านั้นก็มีเรือนกายที่เกิดจากการจำแลงจากดวงจิตดวงหนึ่งของเด็กหนุ่มชุดขาวตรงหน้าอยู่ด้วย ประดุจคนคุมหางเสือที่กำลังถ่อเรือไป สวมงอบสีเขียว สวมชุดกันฝนสีเขียว แล้วยังท่องบทกวีของชาวประมงเสียงดังด้วย
ชุยตงซานกลอกตามองบน
ในทะเลสาบหัวใจของเถียนหว่าน ไม่รู้ว่าคนคุมหางเสือไปหยิบเอาคันเบ็ดไม้ไผ่เขียวออกมาจากไหน เขาขว้างสายเบ็ดออกไป ยกคันเบ็ดขึ้น ถึงกับลากดึงเอา ‘ความคิด’ นี้ออกมาจากทะเลสาบหัวใจได้
เถียนหว่านรู้สึกเหมือนหัวใจถูกคว้าน ต้องยกมือกุมหัวใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
เด็กหนุ่มคนนั้นยื่นมือไปคว้าจับ ‘ปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ’ ตัวนั้นมาไว้ในมือ เพ่งสายตามองนิ่งแล้วก็จุ๊ปากส่ายหน้า “แค่ขู่ให้กลัวจริงๆ ด้วย”
ชุยตงซานขยี้ความคิดนั้นให้แหลกสลาย ครั้นจึงโยนกลับลงน้ำไปอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงควบคุมแพที่ประกอบจากลำต้นไม้ใหญ่ยักษ์ใต้ฝ่าเท้าให้มารวมตัวกันมากขึ้น ให้พวกมันล่องลอยจากไปไกล
นกกระยางลอบมองปลาด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ
ชุยตงซานกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาคุยเรื่องจริงจังกันเลยนะ?”
เถียนหว่านกำลังจะเปิดปากพูด
คนคุมหางเสือในทะเลสาบหัวใจก็กระตุกคันเบ็ดขึ้นอีกครั้ง เอามือคว้าจับปลามาได้อีกตัว หัวเราะร่าเอ่ยเสียงดังลั่น “ ‘หากศิษย์พี่อยู่ด้วยก็ดีน่ะสิ’? พี่หญิงเถียนหว่านไม่มีคุณธรรมเลยจริงๆ”
เถียนหว่านจึงได้แต่รีบร่ายวิชาอภินิหาร ‘จิตสมาธิ’ ในทะเลสาบหัวใจ คลื่นน้ำโถมตัวเชี่ยวกราก น้ำแข็งเกาะตัวแผ่ไปพันลี้ แพแถบนั้นที่เดิมทีล่องลอยไปไกลแล้วพลันหยุดนิ่ง
เด็กหนุ่มคนคุมหางเสือประกบสองมือเข้าด้วยกัน อยู่ดีๆ ก็กระโดดเอาหัวโหม่งพื้น ร้องตวาดเบาๆ หนึ่งที พลิกตัวสลับหัวสลับเท้า สองมือกางออก เท้าสองข้างสัมผัสพื้น พื้นผิวน้ำแข็งก็มีประกายแสงหลากสีกระเพื่อมออกมาเป็นระลอก ทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้นิ้วมือเคาะเบาๆ สองสามที จากนั้นร่างทั้งร่างก็ไถลกรูดออกไปด้านข้าง ไปเคาะตรงจุดอื่นอีกสองสามที แล้วก็เคาะทางโน้นทีทางนี้ทีอยู่อย่างนี้ ราวกับกำลังหาจุดเหมาะๆ ในการตกปลา เพื่อจะได้หย่อนเบ็ดลงช่องน้ำแข็งแล้วตกปลาตัวใหญ่มา
ดวงจิตดวงนี้ของชุยตงซานหันหน้ามาคลี่ยิ้ม ในที่สุดก็มาเสียที
ห่างออกไปไกลมีเกี้ยวที่แปะแผ่นทองติดบุปผาคันหนึ่ง คล้ายคลึงกับเกี้ยวว่านกง (เกี้ยวเจ้าสาว เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเกี้ยวแปดคนหาม) ในหมู่ชาวบ้าน หรูหราโอ่อ่าและฝีมือประณีติอย่างถึงที่สุด
ไม่มีคนยกเกี้ยว เกี้ยวดอกไม้ล่องลอยมาด้วยตัวเอง
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ไม่เปิดสินเดิมก้นกรุของเจ้าแล้ว พี่หญิงเถียนมักจะปากยอมแพ้ใจไม่ยอมแพ้เสมอเลยนะ”
เขากวาดตามองไปรอบด้าน ถามเสียงดังกังวาน “หลี่ถวนจิ่งและคนรักอยู่ที่ใด?”
ผ้าม่านของเกี้ยวเลิกออกมุมหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าครึ่งซีกของเถียนหว่าน ในมือนางกุมป้ายสุราคารวะที่ทำจากหยกมันแพะสีขาวชิ้นหนึ่งเอาไว้ “อยู่ที่นี่ ข้าช่วงชิงฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคีมาจนหมดสิ้น เจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้หรือ?”
ในเกี้ยวเหมือนห้องส่วนตัวของสตรีเชื้อพระวงศ์ที่หรูหราแห่งหนึ่ง มีชั้นวางเสื้อผ้าไม้หนันมู่ประดับด้ายทอง มีฉากบังลมตัวอักษรฝูไม้ป่าย บนโต๊ะปูภาพไม้ไผ่แดงที่มีลายมือของซูจื่อ และยังมีเทียบอักษรอีกชิ้นหนึ่ง คือ ‘บทท่องกระบี่’ ของลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง รวมไปถึงตราประทับชิ้นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร พวกมันลอยอยู่กลางอากาศในห้องโดยสารของเกี้ยว ตรงก้นของตราประทับแกะสลักตัวอักษรสี่ตัว บนเส้นทางข้าไม่เดียวดาย
เด็กหนุ่มคุมหางเสือที่จำแลงมาจากดวงจิตชักเท้าวิ่งตะบึงไปรอบเกี้ยว โหวกเหวกเสียงดังว่าอย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า
นอกทะเลสาบหัวใจ ชุยตงซานเอ่ยด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริดว่า “โจวอันดับหนึ่ง จะทำอย่างไรดี พี่หญิงเถียนหว่านบอกว่าพวกเราต้องเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งไม่ได้แน่นอน!”
มือที่ถือจอกชาของเด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ตรงข้ามกับเถียนหว่านสั่นระริก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!