ทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกัน เซี่ยหยวนจะไปเยี่ยมเยือนผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่สนิทสนมกันซึ่งพักอยู่บนเกาะนกแก้ว
ใบหน้าของเด็กสาวเทพีบุปผาที่มีชื่อเล่นว่ารุ่ยเฟิ่งเอ๋อร์เปี่ยมไปด้วยความลิงโลด ทะยานลมเร่งรุดมาที่เกาะนกแก้ว ยอบกายคารวะอิ่นกวานหนุ่มแล้วเอ่ยขอบคุณจากใจจริง บอกว่าอาจารย์จางไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับกันยังดีใจอย่างมากด้วย
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เชื้อเชิญเทพีบุปผาท่านนี้ให้ไปเป็นแขกบนภูเขาลั่วพั่วในวันหน้า
อันที่จริงเมืองเล็กบ้านเกิด ตรงหน้าประตูบ้านบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยาง มีคูน้ำสายเล็กสายหนึ่งไหลผ่าน ระหว่างร่องหินมีดอกเฟิ่งเซียนอยู่ดอกหนึ่งที่กึ่งๆ เติบโตอยู่กลางอากาศ อีกทั้งยังผลิดอกออกมาห้าสี แม่นางที่โตหน่อยของบ้านเกิดเกินครึ่งก็คล้ายว่าจะชอบเด็ดเอาดอกไปบดแล้วนำมาย้อมเล็บของพวกนางให้เป็นสีแดงสด ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ได้รู้สึกว่างดงามอะไร หลิวเสี้ยนหยางเคยพร่ำพูดอยู่บ่อยๆ ว่าดอกไม้นี้งอกที่หน้าประตูบ้านเขา พวกคนเฒ่าคนแก่บอกว่ามีความเป็นมา เกี่ยวกับฮวงจุ้ย ผลคือภายหลังถูกเจ้าขี้มูกยืดน้อยที่อยากได้ใช้จอบอันเล็กมาแอบขโมยขุดไปกลางดึก พอฟ้าสางหลิวเสี้ยนหยางนั่งยองอยู่หน้าประตูอึ้งงันไปนาน ปากก็สบถด่าดังลั่น รอกระทั่งถึงตอนกลางคืน เจ้าขี้มูกยืดน้อยที่แอบขโมยดอกเฟิ่งเซียนไปปลูกที่อื่นก็ถูกคนดึงหูเดินมาตลอดทาง จึงยอมเอากลับไปคืน แล้วบอกกับหลิวเสี้ยนหยางที่ยังถูกปิดหูปิดตาว่า ดูเหมือนดอกเฟิ่งเซียนที่อยู่หน้าประตูดอกนั้นจะมีขาจึงเดินออกจากบ้านไปเองแล้วก็กลับมา ของที่หายไปได้กลับคืนมา หลิวเสี้ยนหยางดีใจอย่างมาก บอกว่าดอกไม้นี้มหัศจรรย์จริงๆ ตอนนั้นเฉินผิงอันพยักหน้ารับ ส่วนเจ้าขี้มูกยืดน้อยกลอกตามองบนทำหน้าทะเล้น
อันที่จริงรอกระทั่งภายหลังที่ทั้งหลิวเสี้ยนหยางและเฉินผิงอันที่คนหนึ่งออกเดินทางไปขอศึกษาต่อ อีกคนหนึ่งหวนกลับคืนบ้านเกิดหลังจากเดินทางไกล ล้วนกลายเป็นคนบนภูเขาไปแล้ว ถึงได้รู้ว่าดอกเฟิ่งเซียนที่ปีนั้นมองดูแล้วงดงาม อันที่จริงก็เป็นแค่ดอกไม้ธรรมดาเท่านั้น
ถัวเหยียนฮูหยินเอ่ยขอตัวกับเฉินผิงอัน พาเทพีบุปผาเฟิ่งเซียนท่านนี้กลับไปเดินเล่นที่ร้านผ้าห่อบุญอีกครั้ง ก่อนหน้านี้นางแอบถูกใจของอยู่สองสามชิ้น
หลิ่วชื่อเฉิงเดินไปถึงหน้าประตูจวนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขาของเกาะนกแก้วก็จับห่วงเคาะประตูหัวสัตว์เคาะลงเบาๆ
มีสตรีท่าทางขลาดกลัวคนหนึ่งเดินออกมา ผู้อาวุโสในบ้านของตนและเหล่าสหายบนภูเขา แต่ละคนเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ไม่กล้าออกมาพบหลิ่วเต้าฉุนแห่งนครจักรพรรดิขาวผู้นี้ สุดท้ายจึงให้นางมา
ส่วนเซียนกระบี่ชุดเขียวและยังมีนักพรตเนิ่น ผู้ฝึกตนหญิงก็ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมอง ต่อให้นางจะมีทำเนียบของสำนัก แต่เผชิญหน้ากับพวกคนดุร้ายที่สามารถงัดข้อกับเจ้าสำนักของสำนักใหญ่ๆ ได้เหล่านี้ นางหรือจะกล้าก่อเรื่อง
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางท่านนี้ ข้ากับผู้อาวุโสตระกูลเจ้าเป็นสหายรักกัน เจ้าช่วยยกเรือนหลังนี้ให้ข้ายืมหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะเอามาใช้รับรองสหาย”
ผู้ฝึกตนหญิงพยักหน้ารับอย่างแรง อาจารย์บอกว่าขอแค่หลิ่วฉุนเต้าผู้นี้เปิดปาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ให้ตอบตกลงทุกเรื่อง
หลิ่วชื่อเฉิงใช้สองนิ้วคีบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมา “แม่นาง รับเงินฝนธัญพืชไปแล้ว จำไว้ว่าต้องทอนเงินร้อนน้อยให้ข้าสองเหรียญด้วย”
ในสายตาคู่นั้นของนางเต็มไปด้วยความสงสัย เพียงแต่ไม่กล้าไม่ทำตาม หลังจากรับเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นมาแล้วนางก็หยิบเอาเงินร้อนน้อยสองเหรียญออกมาจากชายแขนเสื้อ มอบให้กับเจ้าหอแก้วใสที่ชื่อเสียงเลื่องระบือผู้นี้อย่างระมัดระวัง
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มเอ่ย “ความงามของใต้หล้า หากเงินร้อนน้อยสิบเหรียญคือคะแนนเต็ม แม่นางก็มีความงามเท่าเงินแปดเหรียญแล้ว วันนี้ได้พบเจอกันถือว่ามีบุพเพวาสนาต่อกันไม่น้อย ทำให้ข้าน้อยได้มีบุญตาครั้งใหญ่ ไม่ทราบว่าแม่นางชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน ฝึกตนที่ใด ทุกวันนี้มีคู่บำเพ็ญเพียรแล้วหรือยัง…”
เฉินผิงอันมายืนข้างกายหลิ่วชื่อเฉิง ยกฝ่ามือตบป้าบเข้าที่ท้ายทอยของเขา จากนั้นจึงหันไปเอ่ยขออภัยผู้ฝึกตนหญิง “รบกวนแล้ว”
หากรู้แต่แรกว่าหลิ่วชื่อเฉิงมีสหายรักบนภูเขาทั่วทั้งใต้หล้าเช่นนี้ ตนก็คงไม่เปิดปากขอให้ช่วยแล้ว
สตรีผู้นั้นส่ายหน้า ไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่เปิดทางหน้าประตูให้เท่านั้น
ผู้ฝึกตนที่อยู่ในเรือนได้พากันเดินออกมาจากประตูข้างแล้ว ไม่มีใครกล้าทะยานลม ไปรวมตัวกับผู้ฝึกตนหญิงที่ท่าเรือแล้วนั่งเรือโดยสารออกจากเกาะนกแก้วทันที
สตรียังกระวนกระวายใจ แต่อาจารย์กลับใช้เสียงในใจยิ้มกล่าวกับนางว่า “สร้างคุณความชอบครั้งหนึ่ง เดี๋ยวกลับไปจะให้ทางศาลบรรพจารย์จดลงบันทึกไว้”
เข้ามาในจวน ในเรือนพักที่เงียบสงบมีร่มใบของต้นป่ายเขียวครึ้ม เฉินผิงอันหยิบข้องปลาอันนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อก่อน จากนั้นจึงเปิดวัตถุจื่อชื่อ หยิบข้าวของต่างๆ ออกมาด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วคุ้นเคย แล้วทำหน้าที่เป็นพ่อครัว เตรียมแสดงฝีมือทำอาหารให้หลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวกิน
หลี่ไหวกับนักพรตเนิ่นช่วยกันยกโต๊ะยกเก้าอี้ หลิ่วชื่อเฉิงหยิบเหล้าหมักตระกูลเซียนออกมาหลายกา
อาหารหนึ่งโต๊ะมีปลาหลีสีทองของเกาะยวนยางอยู่หลายตัว ไม่ว่าจะนึ่งน้ำใส ตุ๋นน้ำแดงล้วนมีหมด ครบครันทั้งรูปรสกลิ่นสี
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เป็นอย่างไร?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้า “อร่อย”
หลี่ไหวเอ่ย “ดีกว่าฝีมือของเผยเฉียนเยอะเลย”
หลิ่วชื่อเฉิงกับนักพรตเนิ่นสบตากัน ต่างก็รู้สึกว่าจำเป็นต้องมีมาดกันสักหน่อย อย่าได้เอ่ยประโยคที่ผิดต่อมโนธรรมในใจออกมาเลย
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเจ้าคนสองคนที่พอได้กินของดีแล้วกลายเป็นใบ้ พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ บางทีนี่ก็อาจจะเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าความงามยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยแล้ว
กินดื่มอิ่มหนำ เฉินผิงอันก็วางตะเกียบลง หลี่เป่าผิงยังเคี้ยวอย่างละเอียด หลี่ไหวก็ยังคงสวาปามอยู่เหมือนเดิม
หลี่ไหวพลันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ขยับเข้าใกล้เฉินผิงอัน กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ข้าเองก็เคยอ่านตำรามาหลายเล่ม ให้ข้าได้พูดหลักการเหตุผลในตำราให้เจ้าฟังหน่อยได้ไหม? หากว่าไม่ถูกต้อง เจ้าก็แค่ฟังแล้วปล่อยผ่านไป”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต้องได้แน่อยู่แล้ว เจ้าพูดได้เลย”
ดูเหมือนหลี่ไหวจะยังไม่มั่นใจอยู่เหมือนเดิม จึงได้แต่รวมเสียงให้กลายเป็นเส้น แอบพูดกับเฉินผิงอันว่า “ในตำราบอกว่าเมื่อคนผู้หนึ่งมีทั้งความสามารถที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังมีสติปัญญาดีเลิศ ก็มักจะมีชีวิตที่ค่อนข้างเหนื่อย เพราะต้องเหนื่อยกายกับภายนอก แล้วยังเหนื่อยใจกับภายใน ทุกวันนี้เจ้ามียศมีตำแหน่งมากมาย ดังนั้นข้าจึงหวังว่าเวลาปกติเจ้าจะสามารถหาวิธีผ่อนคลายอารมณ์ได้บ้าง ยกตัวอย่าง…ชอบตกปลาก็ดีมากเลย”
บัณฑิตสวมชุดลัทธิขงจื๊อผู้นี้ เวลานี้ในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ
แต่ไหนแต่ไรมาหลี่ไหวก็ไม่ถนัดเรื่องการพูดคุยเหตุผลกับใคร วันนี้ถือว่าเป็นความพยายามยิ่งใหญ่สุดที่มีแล้ว
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เหตุผลที่ดีเช่นนี้ ข้าต้องเก็บเอามาใส่ใจแน่นอน”
หลี่ไหวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง สามารถอธิบายเหตุผลให้เฉินผิงอันฟังได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นตนไม่เป็นนักปราชญ์ก็น่าเสียดายจริงๆ
เฉินผิงอันกุมหมัดเคาะท้องเบาๆ “หลักการเหตุผลดีๆ ทั้งหมดที่เห็นในตำราและที่ได้ยินได้ฟังมา ขอแค่เข้ามาอยู่ในท้องแล้วก็กลายเป็นหลักการเหตุผลของข้าแล้ว”
หลี่ไหวมองเขา เอ่ยเรียก “เฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “อะไรหรือ?”
หลี่ไหวหัวเราะหึหึ “เจ้าชื่อเฉินผิงอันนี่นะ เพราะฉะนั้นจะต้องสงบสุขปลอดภัย มีเจ้าอยู่ พวกเราก็จะคิดว่าต้องหาโอกาสมารวมตัวกัน ต่อให้ไม่มีอะไรให้พูดคุยก็ต้องมารวมตัวกันให้ได้”
เฉินผิงอันไม่อยู่ ดูเหมือนว่าทุกคนจะพบเจอหรือแยกจาก ก็ราวกับว่าได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามโชควาสนาแล้ว แน่นอนว่าทุกคนยังคงเป็นเพื่อนกัน เพียงแต่ดูเหมือนว่าไม่ได้คิดอยากจะกลับมาพบเจอกันถึงเพียงนั้นอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!