กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 801

สรุปบท บทที่ 801.1 ผูกด้ายแดง: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

บทที่ 801.1 ผูกด้ายแดง – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 801.1 ผูกด้ายแดง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เฝิงเซวี่ยเทาถาม “ทำไมถึงต้องพาข้ามาที่นี่?”

ผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของไพศาล หากคิดจะบินทะยานไปยังใต้หล้าแห่งอื่น หนึ่งมีกฎเกณฑ์มากมาย อันดับแรกต้องได้รับคำอนุญาตจากศาลบุ๋นก่อน จากนั้นค่อยให้อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าช่วยเปิดประตูให้ ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะหลงทาง ไม่ระวังโผล่ไปยังพื้นที่ลับนอกฟ้าที่แปลกประหลาดทั้งหลาย ยากมากที่จะกลับมายังที่เดิมได้อีก นอกจากนี้ระหว่างขั้นตอนการบินทะยานของผู้ฝึกตนก็อันตรายมากเช่นกัน ต้องสื่อสารกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวที่เกิดจากการจำแลงของมหามรรคา ประกายแสงเจ็ดสีพร่างพราว หากไม่ระวังก็จะถูกทำลายตบะไปมากมาย ทำให้อายุขัยของผู้ฝึกตนสั้นลง ดังนั้นครั้งนี้ ‘จับมือ’ กับอาเหลียงเดินทางไกลมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะมีอาเหลียงเปิดทาง เฝิงเซวี่ยเทาจึงมาได้อย่างผ่อนคลาย ส่วนเหตุใดอาเหลียงถึงได้ไม่ผ่านประตูใหญ่ที่ตั้งเก่าของภูเขาห้อยหัวมายังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เฝิงเซวี่ยเทาก็คร้านจะถาม ถือเสียว่าไอ้หมอนี่โอ้อวดเวทกระบี่ที่สูงส่งของเขากับตนก็แล้วกัน

อาเหลียงกล่าว “เจ้าไม่ค่อยเหมือนกับชิงกงไท่เป่าสักเท่าไร”

เฝิงเซวี่ยเทาหลุดหัวเราะพรืด “ไม่เหมือนกัน? ก็โดนกระบี่จากจั่วโย่วเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

อาเหลียงจุ๊ปากยิ้มเอ่ย “อารมณ์ร้อนไม่เบาเหมือนกันนะนี่?”

หนันกวงจ้าว จิงเฮา เฝิงเซวี่ยเทา

ฉายาของขอบเขตบินทะยานสามคนนี้ได้แก่เทียนชวี่ ชิงกงไท่เป่า ชิงมี่ ดุดันทรงพลังไม่แพ้กัน

ข้ากลับไม่มี

พออาเหลียงคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย

เฝิงเซวี่ยเทาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาผู้นี้มีความแค้นส่วนตัวกับโจวเสินจือเซียนกระบี่ผู้อาวุโสของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เฝิงเซวี่ยเทามีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ เส้นทางการฝึกตนของในชีวิตนี้ ฉายาว่าชิงมี่ไม่ใช่ได้มาเปล่าๆ เรื่องลับๆ ล่อๆ แน่นอนว่าทำไปไม่น้อย และเรื่องที่ขาดศีลธรรมจริยธรรม ย่อมต้องมีมากเหมือนกัน

ส่วนจิงเฮานั้นมีชาติกำเนิดมาจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจริงแท้แน่นอน เกิดบนภูเขา คือตัวอ่อนในการฝึกตนนับตั้งแต่ถือกำเนิด การฝึกตนตลอดชีวิตราบรื่นอย่างมาก ตอนนั้นเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างบดขยี้ขุนเขาสายน้ำของเกราะทองทวีป ข้ามมหาสมุทรขึ้นบกฝั่งทิศใต้สุดของหลิวเสียทวีป การประชุมของศาลบรรพจารย์ที่จิงเฮาอยู่ ทิศทางในช่วงแรกเริ่มคือผู้ฝึกตนของสำนักที่มีขอบเขตสูงกว่าประตูมังกรขึ้นไป อย่างน้อยต้องมีครึ่งหนึ่งที่ลงจากภูเขา ตัดสินใจเดินทางลงใต้ ไปรบตายอยู่บนสนามรบ ในบรรดานั้นคนที่อายุมากหน่อย ไม่มีความหวังในการฝ่าทะลุขอบเขต แล้วก็มีญาติมิตรของผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยที่ตายอยู่ในหลิวเสียทวีป เป็นเหตุให้การออกจากภูเขาไปสังหารปีศาจครั้งนี้เพื่อผดุงความเป็นธรรม แล้วก็เพื่อแก้แค้นส่วนตัว

ทว่าสำนักใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในหลิวเสียทวีปแห่งนี้กลับเลือกที่จะปิดภูเขาอย่างเหนือความคาดคิดของทุกคน อย่าว่าแต่หลังจบเรื่องที่คนภายนอกวิจารณ์กันไม่ขาดปากเลย แม้แต่ฝ่ายในของสำนักเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก

ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักที่เตรียมจะนำคนลงจากภูเขาด้วยตัวเอง อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนความคิดในช่วงท้ายของการประชุมในศาลบรรพจารย์ครั้งนั้น เพราะเขาได้รับคำสั่งจากจิงเฮาผู้เป็นบรรพจารย์อย่างลับๆ ว่าให้เก็บออมกำลังเอาไว้ รอให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจบุกโจมตีขึ้นเหนือมาถึงประตูภูเขาบ้านตัวเองก่อนค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย จะได้ครอบครองความได้เปรียบด้านชัยภูมิ เลียนแบบเทียนเหยาเซียงของหลิวทุ่ยในฝูเหยาทวีปและนครดอกบัวของใบถงทวีปที่พิทักษ์ภูเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา การลงมือย่อมมั่นคงมากกว่า ซึ่งก็สร้างคุณความชอบให้กับบ้านเกิดได้เช่นเดียวกัน

หลิวเสียทวีปพ่ายแพ้ ก็พยายามรักษาตัวรอดไว้ให้ได้ ใต้หล้าไพศาลชนะ ถ้าอย่างนั้นอาณาเขตทางทิศใต้ที่กว้างใหญ่ไพศาลของหนึ่งทวีป ตระกูลเซียนบนภูเขาแต่ละแห่งล้วนถูกกวาดล้างจนเกลี้ยงแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาหายากพันปีกว่าจะพานพบที่ทางสำนักจะได้ทำการบุกเบิกที่ดินอย่างกว้างขวาง รวบรวมกองกำลังมาอยู่ใต้อาณัติของตัวเอง

ส่วนเรื่องที่ว่าโลกภายนอกมา ‘ได้ยิน’ เรื่องที่ไม่แพร่งพรายสู่หูคนนอกเรื่องนี้ได้อย่างไร ก็เพราะว่าหลังบรรพจารย์ออกจากด่าน เจ้าสำนักคนนั้นก็สูญเสียตำแหน่งเจ้าสำนักทันที ทั้งยังถูกลงโทษ ถูกกล่าวหาว่าถ่วงเวลาทำให้เสียโอกาสในการสู้รบ ในฐานะเจ้าสำนักกลับไม่มีความรับผิดชอบแม้แต่น้อย ผิดต่อบรรพชนทั้งหลายที่อยู่ในภาพแขวน จำเป็นต้องปิดประตูทบทวนตัวเองเป็นเวลาร้อยปี

เฝิงเซวี่ยเทาถามว่า “เจ้าช่วยลงมาพูดคุยกันได้ไหม?”

ซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ นอกจากมีอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปในศาลบุ๋นคนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์แล้ว ยังมีผู้ฝึกตนใหญ่ของทวีปต่างๆ ที่มาปักหลักที่นี่อีกหลายคนด้วย ทุกคนต่างก็กำลังชมเรื่องสนุก

อาเหลียงบ่น “เจ้าบอกให้ข้าลงข้าก็ลง ข้ายังต้องการหน้าตาอีกไหม? เจ้าเองก็โง่เสียจริง ไม่อย่างนั้นก็บอกข้าว่าไม่ต้องลงมา แล้วเจ้าก็รอดูดีไหมว่าข้าจะลงไปหรือไม่?”

เฝิงเซวี่ยเทาทำได้เพียงหยิบเอาสถานะของผู้ฝึกตนอิสระในอดีตออกมาใช้อีกครั้ง ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระ ข้าจะต้องการหน้าตาไปทำอะไร

อาเหลียงไม่ได้ทำให้เฝิงเซวี่ยเทาลำบากใจมากนัก เขาพลิ้วกายลงพื้น นั่งลงบนริมขอบของหัวกำแพง ใช้หลังเท้าเตะผนังกำแพงเบาๆ หยิบเหล้าออกมาหนึ่งกา

เฝิงเซวี่ยเทาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยอง มองไปทางทิศใต้แล้วถามว่า “ที่นั่นก็คือภูเขาใหญ่แสนลี้ของเฒ่าตาบอดหรือ?”

อาเหลียงพยักหน้ารับ “ถือว่าเป็นถิ่นของข้า มักจะไปดื่มเหล้ากินเนื้อเป็นประจำ ปีนั้นเฒ่าตาบอดกินกระบี่ของข้าไปสิบแปดที จึงเลื่อมใสในเวทกระบี่ของข้ามาก บอกว่าหากไม่เป็นเพราะข้าอายุน้อยหล่อเหลา รูปโฉมคมคาย ก็คงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเฉินชิงตูที่ออกกระบี่อย่างเต็มกำลังแล้ว”

เฝิงเซวี่ยเทาฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพียงแค่พึมพำกับตัวเองว่า “อาเหลียง ทำไมเจ้าถึงขัดขวางการออกกระบี่ของจั่วโย่ว? อย่างมากข้าก็แค่ยืนนิ่งไม่ขยับ รับกระบี่เขาหนึ่งทีก็พอแล้ว มากสุดก็แค่ขอบเขตถดถอย”

อาเหลียงกล่าว “เท่าที่จำได้ ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเจ้าคิดบัญชีกันเก่งมากนี่นา หากขอบเขตถดถอย ไปที่ทิศใต้ อยู่ในใต้หล้าไพศาลจะนับเป็นอะไรได้ ชื่อเสียงไม่น่าฟัง”

เฝิงเซวี่ยเทาถาม “ดังนั้นข้าถึงไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงต้องช่วยข้า”

อาเหลียงกล่าว “จำได้หรือไม่ว่าการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงประจำปีที่สิบหกของราชวงศ์หนึ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ราชวงศ์แห่งนั้นออกคำสั่งเรียกแคว้นใต้อาณัติหลายแห่งแล้วร่วมมือกับแคว้นใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้านอีกหลายที่ เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทุกคน บวกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำพากันค้นภูเขาล่าเหยื่ออย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำการกวาดล้างสังหารพวกภูตผีอย่างกำเริบเสิบสาน?”

เฝิงเซวี่ยเทาสีหน้าไร้อารมณ์ “จำไม่ได้แล้ว”

อาเหลียงกล่าว “ข้าจำได้ มีผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่ผ่านทางมาลงมือโจมตีอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง เล่นงานเซียนเหรินสองคน ทำให้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลพวกนั้นหน้าม้านอับอายกันเป็นแถบ”

เฝิงเซวี่ยเทาเอ่ยอย่างสงสัย “เรื่องเล็กแบบนี้ เอามาพูดถึงทำไม”

เขาก็แค่ไม่ชอบการกระทำของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลพวกนั้น อายุน้อยๆ แต่ละคนกลับประสบการณ์โชกโชน เจ้าเล่ห์เพทุบาย เชี่ยวชาญการวางแผน

อาเหลียงดื่มเหล้า เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากสำนักตระกูลเซียนที่มีผู้ฝึกตนมารวมตัวกันเป็นเพียงแค่การย้ายวงการขุนนางล่างภูเขาขึ้นไปอยู่บนภูเขา ข้ารู้สึกว่าน่าเบื่ออย่างมาก”

เฝิงเซวี่ยเทาเพียงแค่นั่งยองๆ ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย

อาเหลียงหันหน้ามา “มีความกล้าพอที่จะพิสูจน์ว่าศาลบุ๋นมองเจ้าผิด จั่วโย่วออกกระบี่ฟันคนผิดหรือไม่?”

เฝิงเซวี่ยเทาหัวเราะหยัน “ช่างเถิด บอกตามตรง ข้าไม่รู้สึกว่าตัวเองผิดตรงไหน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาผิดเหมือนกัน”

อาเหลียงลูบคลำปลายคาง เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นห้าขอบเขตบนเลยสักคน”

ในใจเฝิงเซวี่ยเทารู้สึกสะท้อนใจ

เจ้าชาติสุนัขผู้นี้ หากยินดีพูดจาอย่างจริงจังก็ไม่ได้แย่เหมือนที่โลกภายนอกเล่าลือกันเลย

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

หลี่ไหวหยิบตำราสีออกเหลืองเล่มหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ “ภูเขาลั่วพั่วเลื่อนขั้นเป็นสำนัก ข้าไม่ได้เข้าร่วมงานพิธี คงจะหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา เป็นความไม่เพียบพร้อมในความสมบูรณ์แบบกันเลยสินะ ตาเฒ่ามอบให้ข้า ด้านในนี้เป็นยันต์ผีอะไรไม่รู้รุงรังเต็มไปหมด ข้าไม่อยากเรียน แล้วก็เรียนไม่เป็นด้วย แค่เห็นก็ปวดกบาลแล้ว มอบให้เจ้า อย่าได้รังเกียจเสียล่ะ”

เฉินผิงอันไม่ได้เกรงใจ รับมาแล้วก็เอ่ยว่า “ถือว่ายืมมา อ่านจบแล้วจะคืนให้เจ้า”

หลี่ไหวเอ่ยอย่างมีโทสะ “คืนข้ามาเลย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยังอ่านไม่จบสักหน่อย”

เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน หันหน้าไปมอง

คืออวี๋เยว่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่า เขาเองก็พาพวกลูกหลานตระกูลชั้นสูงกลุ่มนั้นเดินเที่ยวร้านผ้าห่อบุญเสร็จแล้ว นอกจากสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นแล้วก็ยังมีหญิงสาวจากสุกลจูเซียนเสีย เพียงแต่ว่านางไม่ได้น่าเอ็นดูอย่างผู้ฝึกกระบี่จูเหมย ไม่รู้ว่าพวกนางทั้งสองฝ่ายต้องนับลำดับศักดิ์กันอย่างไร

อวี๋เยว่หัวเราะร่าเอ่ยกับคนหนุ่มสาวข้างกายว่า “เซี่ยหยวน วันนี้ข้าผู้อาวุโสอารมณ์ไม่เลว จะบอกความลับหนึ่งแก่เจ้า เจ้าสามารถควบคุมปากตัวเองได้หรือไม่?”

ลูกหลานสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นแห่งธวัลทวีปผู้นี้เล่นแง่เล็กน้อย เอ่ยกับเค่อชิงอันดับหนึ่งของบ้านตัวเองว่า “ตอบตกลงกับอาจารย์อวี๋ไปก่อน ส่วนจะควบคุมปากได้หรือไม่ ฟังแล้วค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ตัวไม่เป็นของตัวเอง ใจไม่เป็นตามปากนี่นะ”

อวี๋เยว่กล่าว “เจ้ามาร่วมวงความครึกครื้นที่ศาลบุ๋นคราวนี้ คนที่เจ้าอยากพบเจอที่สุดคนนั้น อยู่ไกลสุดขอบฟ้า อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า”

เซี่ยหยวนเดินเร็วๆ ไปหา ลูกหลานตระกูลขุนนางที่หล่อเหลาสง่างามผู้นี้คล้ายไม่มีความลังเลใดๆ ครั้นจึงประสานมือคารวะเซียนกระบี่ชุดเขียวอย่างเงียบเชียบ ทว่าความเงียบในเวลานี้กลับเหนือกว่าเสียงใดๆ

นี่เรียกว่าเซี่ยหยวนก้มหัวกราบคารวะอิ่นกวานในชีวิตนี้

เฉินผิงอันมองอวี๋เยว่แวบหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานวางใจได้ เซี่ยหยวนมองดูเหมือนไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่อันที่จริงเจ้าเด็กนี่รู้จักหนักเบาดียิ่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางถูกเจ้าประมุขสกุลเซี่ยอบรมปลูกฝังให้เป็นเจ้าประมุขคนถัดไป ในอดีตเขาเคยอาศัยช่องทางลับของทางตระกูลได้รู้เรื่องราวของใต้เท้าอิ่นกวานจึงเลื่อมใสบูชาท่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศึกที่เรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวที่เขายังตั้งใจเขียนนิยายรักหวานชื่นขึ้นมาเล่มหนึ่งโดยเฉพาะ ถัวเหยียนฮูหยินแห่งสวนดอกเหมยอะไร น่าหลันไฉ่ฮ่วนแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่อะไร ซ่งพิ่นเซียนกระบี่หญิงแห่งเกราะทองทวีปอะไร ล้วนช่วยใต้เท้าอิ่นกวานจัดการหมดสิ้นแล้ว ใต้เท้าอิ่นกวานคงจะไม่รู้ว่าเมื่อช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ นิยายรักประโลมโลกบนภูเขาที่ได้รับความนิยมที่สุดของธวัลทวีป สี่ห้าในสิบส่วนล้วนมาจากมือของเซี่ยหยวน ผู้ฝึกตนหญิงที่คิดจะซ้อมเขาหากไม่มีหนึ่งร้อยก็ต้องมีแปดสิบนั่นแหละ”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะคนหนุ่มกลับคืน แต่อันที่จริงอยากจะต่อย ‘เจียงซ่างเจินแห่งธวัลทวีป’ ผู้นี้ให้ล้มคว่ำด้วยหมัดเดียวเสียมากกว่า

เซี่ยหยวนยืดเอวขึ้นตรงแล้วก็พลันยื่นมือออกมา คาดว่าคงอยากจะจับชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน เพียงแต่ไม่สมใจปรารถนา คุณชายหนุ่มจึงได้แต่เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “อยากจะสัมผัสกลิ่นอายเซียนสักหน่อย จะได้จรดพู่กันดุจมีเทพช่วย”

เฉินผิงอันยิ้มเตือน “คุณชายเซี่ย ตำราบางเล่มอย่าได้แพร่ออกไปภายนอกจะดีกว่า”

เซี่ยหยวนมองถัวเหยียนฮูหยินที่อยู่ข้างกายอิ่นกวานหนุ่มแล้วก็พยักหน้า เป็นบุรุษเหมือนกัน ย่อมเข้าใจกันดี

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!