กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 804

อวี้พ่านสุ่ยยิ้มเอ่ย “ผิดปกติ? เมื่อครู่ทำไมไม่พูดเล่า ปากฝ่าบาทก็ไม่ได้ถูกเย็บปิดไว้เสียหน่อย”

หยวนโจ้วกล่าว “จะดีจะชั่วข้าก็เป็นฮ่องเต้ คำพูดที่พูดออกไป น้ำที่สาดออกไป ล้วนเป็นพระราชโองการฉบับหนึ่ง หากเปลี่ยนใจขึ้นมาจริงๆ ยังจะถูกใต้เท้าอิ่นกวานดูแคลนเปล่าๆ อีกต่างหาก นั่นจะยิ่งขาดทุนกว่าเดิม”

ระหว่างที่เดินทางมา คนทั้งสองปรึกษากันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะกึ่งขายกึ่งแถมเรือเฟิงยวนลำนั้นไป ถือเสียว่าในท้องพระคลังไม่มีของเล่นชิ้นนี้อยู่

ราชวงศ์เสวียนมี่สานความสัมพันธ์กับภูเขาลั่วพั่ว ทั้งสองฝ่ายยังมีมิตรภาพส่วนตัว ล้วนถือว่าอยู่ในขอบเขตที่สมควรทั้งสิ้น

เพราะถึงอย่างไรน้ำใจส่วนนี้ สุดท้ายต้องมีครึ่งหนึ่งที่หล่นลงบนหัวของอวี้พ่านสุ่ย ดังนั้นจึงยุยงให้ฮ่องเต้มาด้วยกัน

ผลคือพอถึงท้ายที่สุด ฮ่องเต้หยวนโจ้วไม่เพียงแต่มอบเรือข้ามทวีปลำหนึ่งไปให้เปล่าๆ ดูเหมือนว่าราชวงศ์เสวียนมี่ยังต้องช่วยจ่ายค่าซ่อมแซมให้กับเฟิงยวนอีกก้อนหนึ่งด้วย

เป็นเหตุให้อวี้พ่านสุ่ยที่นั่งเรือออกจากเกาะนกแก้วมาแล้วก็ยังอึ้งตะลึงไม่หาย

เชื่อเงินเอาไว้ก่อน? ถ้าอย่างนั้นจะดีจะชั่วเจ้าก็ช่วยบอกให้ชัดเจนหน่อยสิว่าจะคืนเงินให้เมื่อไหร่ พวกเราไม่ถาม เจ้าก็ไม่คิดจะพูดเลยรึ? ใต้หล้านี้มีใครเขาเป็นหนี้แบบเจ้ากันบ้าง?

สุดท้ายยังมีหน้ามาพูดประโยคว่า ‘ปฏิเสธน้ำใจของคนอื่นถือเป็นการแสดงความไม่เคารพ รับน้ำใจของคนอื่นมาก็ให้ละอายใจ’?

อวี้พ่านสุ่ยเอาของถือเล่นในมือมาขยี้แก้มที่ยิ่งแก่ก็ยิ่งมีกลิ่นของตัวเองอย่างแรง ในใจคิดถึงแม่นางน้อยที่ไปเป็นแขกในบ้านของตนปีนั้น เผยเฉียนมองดูแล้วเป็นคนซื่อมากเลยนะ แม่นางน้อยที่อยู่ในกฎในระเบียบ ช่างเป็นเด็กที่มีมารยาทยิ่งนัก หากไม่เป็นเพราะซิ่วไฉเฒ่าหน้าไม่อายแอบเล่นตุกติก วัตถุจื่อชื่อที่มีมูลค่าชิ้นนั้นก็เกือบไม่ได้มอบไปให้แล้ว วนไปวนมารอบหนึ่งก็จะกลับคืนมาสู่กระเป๋าได้สำเร็จแล้ว

เผยเฉียนที่ไม่ละโมบโลภมาก เหตุใดถึงมาเจอกับอาจารย์ที่เป็นคนเห็นแก่เงินเช่นนี้ได้นะ?

หยวนโจ้วกวาดตามองไปรอบด้าน อยู่ดีๆ ก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “ท่านปู่อวี้ ที่แท้ฟ้าดินด้านนอกก็มีข้าวของที่เป็นสีเหลืองน้อยขนาดนี้เชียวหรือ”

อยู่ที่บ้าน อยู่ในวัง ไม่เหมือนกัน นับตั้งแต่ที่เขาจำความได้ พอคิดถึงที่นั่น ในสมองของฮ่องเต้เด็กหนุ่มก็จะมีแต่ข้าวของที่เป็นสีเหลืองอร่าม หลังคาสูง มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุดก็เป็นสีเหลืองมลังเมลือง ชุดที่สวมอยู่บนร่าง เบาะที่นั่งอยู่ใต้ก้น ชามตะเกียบที่ใช้บนโต๊ะ เกี้ยวที่แกว่งส่ายไปมาอยู่ตรงกลางกำแพงสูงสองด้าน ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่สีเหลือง ราวกับว่าใต้หล้านี้มีสีนี้อยู่แค่สีเดียวเท่านั้น

ส่วนสีอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่นในวังมีหอเก็บตำราที่เป็นสีดำ ด้านในเก็บตำราล้ำค่าหายากมากมายที่ชั่วชีวิตนี้เด็กหนุ่มไม่คิดจะไปแตะต้อง และคนนอกก็ยิ่งไม่อาจได้เห็นไปชั่วชีวิต

ส่วนสีสันที่อยู่บนตัวของพวกขุนนางทั้งหลาย ก็เหมือนกับน้ำในลำธารที่ไหลคดเคี้ยว มาๆ ไปๆ อยู่ในบ้านของเขาทุกวัน เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา และมักจะมีคนแก่ที่พูดจาด้วยนิสัยของเด็ก คนอายุน้อยพูดจาลึกซึ้งยากจะคาดเดา จากนั้นเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของตัวเอง ไม่เข้าใจก็จะแสร้งทำเป็นเข้าใจ เจอกับเรื่องใหญ่ที่รับมือไม่ถูกก็จะมองเจ้าอ้วนอวี้แวบหนึ่ง

สำหรับไท่ซ่างหวงของราชวงศ์เสวียนมี่ผู้นี้ ตอนที่เจ้าอ้วนอวี้ไม่อยู่ข้างกาย ขุนนางบุ๋นอายุมากที่เส้นผมขาวโพลนหลายคนต่างก็เคยใช้คำพูดมาบอกเป็นนัยแก่เด็กหนุ่มอยู่บ้างไม่มากก็น้อย อันที่จริงหยวนโจ้วเข้าใจ แต่แค่แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจเท่านั้น ผู้เฒ่าบางคนหวังดีกับเขาจากใจจริง แต่บางคนกลับต้องการให้อวี้พ่านสุ่ยออกไปจากราชสำนัก ถ้าเช่นนั้นตำแหน่งขุนนางมากมายก็จะขยับก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งตามเขาไปด้วย ทว่าหยวนโจ้วไม่ได้สนใจ อย่างมากก็แค่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน บ้างก็ตาแดงก่ำน้อยๆ ร่วมไปกับพวกผู้เฒ่าทั้งหลายเท่านั้น อันที่จริงยุ่งยากอย่างมาก สุดท้ายเขายังต้องเตือนพวกขันทีของฝ่ายซือหลี่เจียน (สำนักขันทีฝ่ายพิธีการ มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับจารีตพิธีการในราชสำนัก ตรวจตราระเบียบวินัยและลงอาญาข้าราชการฝ่ายใน) หลายคนที่อยู่ข้างกายว่าวันหน้าที่ไปพูดคุยกับท่านปู่อวี้ อย่าลืมเล่าถึงการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ร่วมแสดงเออออกับคนทั้งหลายของเขาไปด้วย

เล่นอะไรกัน มีประโยชน์อะไรกับเขาหรือ? อวี้พ่านสุ่ยไม่มีทางเป็นฮ่องเต้ และราชวงศ์เสวียนมี่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจขาดที่พึ่งสำคัญอย่างตระกูลอวี้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาที่เป็นเด็กตัวเท่าก้นก็อย่าก่อเรื่องส่งเดชเลย

ต้นซิ่งโบราณในวังต้นนั้นมีอายุอยู่มาเจ็ดแปดร้อยปีแล้ว ว่ากันว่าอยู่มาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนของราชวงศ์ก่อนเสียอีก เป็นฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นท่านหนึ่งที่ปลูกด้วยตัวเอง พอถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใต้ต้นไม้ก็จะมีใบไม้สีเหลืองทองปูเต็มพื้น ใบไม้ร่วงอยู่ทุกปี ทว่าก็มีใบเขียวผลิใบแตกใหม่อยู่ทุกปีเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

ทว่าสกุลอวี้แผ่นดินกลางที่หยั่งรากลึกกลับเขียวขจีอยู่ทั้งสี่ฤดูกาล ไม่เคยมีวันที่ใบไม้ร่วง

อวี้พ่านสุ่ยมีสีหน้าเมตตาปราณีอย่างที่หาได้ยาก ลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม เอ่ยเสียงเบาว่า “คนที่เป็นเจ้าประมุขดูแลบ้านมักจะต้องลำบากอยู่เสมอ”

เด็กหนุ่มเอียงศีรษะหลบ บ่นอย่างไม่พอใจ “หัวของฮ่องเต้ก็กล้าลูบนะ”

อวี้พ่านสุ่ยหัวเราะฮ่าๆ ตบใบหน้าของเด็กหนุ่มเบาๆ “ครั้งนี้ออกจากบ้านเดินทางไกลเป็นเพื่อนเจ้า ท่านปู่อวี้อารมณ์ไม่เลว ดังนั้นในอนาคตใครจะมาเป็นฮ่องเต้ วันหน้าเจ้าก็เป็นคนเลือกเอง จะใช้แซ่อวี้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร”

หยวนโจ้วกระทืบเท้า “ได้ยินมาว่าอวี้เจวี้ยนฟู่กับอวี้ชิงชิง พี่หญิงสกุลอวี้ที่งดงามที่สุดสองคนนี้ต่างก็มีคนในดวงใจแล้ว แล้วข้าจะยังเลือกใครได้อีกหรือไงหา หา!?”

อวี้พ่านสุ่ยยิ้มตาหยี “แม่หนูชิงชิงนั่นชอบหลินจวินปี้ เรื่องนี้ข้ารู้ดี ส่วนเจวี้ยนฟู ได้ยินว่าตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ถามหมัดกับใต้เท้าอิ่นกวานไปสองรอบ หึหึ ฝ่าบาทเข้าใจหรือไม่เล่า?”

หยวนโจ้วใช้หมัดทุบฝ่ามือ เอ่ยชื่นชมจากใจจริงว่า “พี่หญิงเจวี้ยนฟู่ อ้อ ไม่ถูก ต้องเป็นพี่สะใภ้ ก็ไม่ถูกเหมือนกัน ต้องบอกว่าพี่สะใภ้เล็กสายตาดียิ่งนัก”

อวี้พ่านสุ่ยตบเจ้าลูกกระต่ายจนหัวหมุนตาลาย

……

ทางฝั่งของอำเภอพ่านสุ่ย

บัณฑิตหนุ่มที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของความยากจนไปพบผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่กำลังพักรักษาตัว

ชิงกงไท่เป่า จิงเฮา ต่อให้ได้รับบาดเจ็บไม่เบามาจากฝีมือจั่วโย่ว แต่ก็ยังไม่ได้จากไป ราวกับกำลังรอจะทวงความยุติธรรมจากศาลบุ๋น

เจ้าคนที่ก่อนหน้านั้นขัดขวางจั่วโย่ว จากนั้นจึงหลบหนีแล้วค่อยมาขอโทษ คือผู้ฝึกตนคนแรกที่วิ่งกลับเรือนมาทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาล

เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบ ช่วยเฝ้าบ้านให้กับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ไม่น่าอาย

พวกลูกสมุนบนภูเขาคนอื่นๆ ส่วนใหญ่เหมือนนกที่บินแตกฮือ พูดจาไพเราะน่าฟังว่ามิกล้าถ่วงเวลาการพักรักษาตัวของบรรพจารย์จิง

เพียงแต่เบื้องหน้าผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบผู้นั้นพลันพร่าลาย ล้มตึงแล้วลุกไม่ขึ้นอีก ก่อนจะหมดสติไปก็เห็นแค่ว่ามีชุดสีเขียวเดินสวนไหล่ผ่านตนไปอย่างเลือนรางเท่านั้น

เรือนพักแห่งนี้เงียบสงบ กอกล้วยสีเขียวมรกตลำต้นอวบอิ่มราวกับหยดน้ำ

จิงเฮาเดินออกมาจากห้อง มองบัณฑิตหนุ่มที่ยืนอยู่ในลานบ้าน ในเมื่อมองไม่ออกว่าตบะของอีกฝ่ายตื้นหรือลึก ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าต้องขอบเขตสูงมาก

แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้นคล้ายคนว่างงานไม่มีอะไรทำ จึงเขย่งปลายเท้าตวัดเตะใบกล้วยแถบหนึ่ง แล้วปล่อยให้มันดีดตัวเด้งกลับเบาๆ

มีบทเรียนจากการถามหมัดของจั่วโย่วก่อนหน้านี้ จิงเฮาจึงไม่ได้รีบร้อนโกรธเคือง ยิ้มถามด้วยสีหน้าอ่อนโยน “สหายมาเยือนถึงบ้าน ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับแต่ไกล”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!