หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง ซิ่วไฉเฒ่า อริยะทั้งสามท่านกลับคืนมายังศาลบุ๋น เข้าร่วมการประชุมอีกครั้ง เป็นเหตุให้บรรยากาศที่เดิมทีเริ่มผ่อนคลายได้หลายส่วนกลับมาเป็นเคร่งเครียดในชั่วพริบตา ผู้ฝึกตนบางส่วนที่คิดอยากจะออกไปดื่มเหล้าคุยเล่นกันก็ต้องอยู่ฟังประชุมตามกฎระเบียบ
ซิ่วไฉเฒ่านั่งตัวตรงอย่างสำรวม รออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินเสียงแสดงความยินดีแม้แต่ครึ่งคำ รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง ต่างก็พูดกันว่าคนจากลาน้ำชาก็เย็นชืด ทำให้เห็นความสัมพันธ์อุ่นเย็นของผู้คน เห็นท่าทีเย็นชาของคนบนโลก เหตุใดเตาเย็นถึงถูกนำมาใช้อีกครั้ง พวกคนเจ้าเล่ห์น้อยใหญ่กลุ่มนี้ไม่แสดงท่าทีกันบ้างเลยหรือ? ได้สถานะอริยะผู้มีเทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋นกลับคืนมาอีกครั้ง ตนไม่รู้สึกยินดีหรือผิดหวังเพราะสิ่งของนอกกายดีหรือร้ายก็จริง แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเจ้าจะไม่ผายลมสักครั้งนะ รังแกอาจารย์คนดี ดูแคลนคนซื่ออย่างนั้นหรือ?
อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเห็นท่าทางขมวดคิ้วมุ่นอยู่กับตัวเองของซิ่วไฉเฒ่าก็ยิ้มอธิบายให้ซิ่วไฉเฒ่าฟังถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของศาลบุ๋นก่อนหน้านี้ สำนักศึกษารวมทั้งสิ้นห้าแห่งอย่างอวิ๋นเปียน หลันไถ หูเหลี่ยน ชุนโซวและถงลี่ พวกเจ้าขุนเขาทั้งหลายล้วนสูญเสียยศตำแหน่ง จึงมีเรื่องวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่ง เจ้าขุนเขาชุนโซวที่อายุน้อยที่สุดยังแสดงความกังขาต่อหลี่เซิ่งอย่างเปิดเผย สุดท้ายถูกอาเหลียงส่งออกไปนอกประตู ดังนั้นเวลานี้ทุกคนจึงค่อนข้างระมัดระวังในเรื่องการพูดคุยกันด้วยเสียงในใจ
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยชื่นชมคำหนึ่งว่า บิดาพยัคฆ์ไม่ออกลูกเป็นสุนัข
หย่าเซิ่งหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากสมุดกองใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะ มองตำแหน่งที่เพิ่งถูกอิ่นกวานหนุ่มเข้ามานั่งแทนที่ด้วยความรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย ไม่ชอบอยู่บ้านขนาดนี้เลยหรือ?
แสงสีทองเปล่งวาบหนึ่งที จิงเซิงซีผิงที่อยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ยื่นมือออกมารับ คือหน้าหนังสือแผ่นหนึ่ง เป็นจดหมายลับที่เขียนด้วยลายมือของอริยะผู้มีเทวรูปท่านหนึ่งที่ส่งมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
หลี่เซิ่งวางตำราภูมิศาสตร์เล่มที่เพิ่งหยิบมาจากที่อื่นลง เอ่ยว่า “อาเหลียงกับชิงมี่ได้ไปถึงที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ดูจากท่าทางคนทั้งสองคงจะจับมือกันบุกเบิกเส้นทางลงใต้ไปก่อน”
พูดเรื่องนี้จบ หลี่เซิ่งก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พวกเจ้าประชุมกันต่อได้เลย”
หย่าเซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ
หลี่เซิ่งใช้เสียงในใจพูดกับหย่าเซิ่งว่า “อาเหลียงพาเฝิงเซวี่ยเทาไปที่ภูเขาใหญ่แสนลี้ก่อน ก่อกองไฟที่นั่น บอกว่าจะกินหม้อไฟแกล้มสุรา ใต้หล้ามีเพียงข้า”
หย่าเซิ่งยกมือขึ้นกุมขมับ
ลู่จือได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ถามว่า “ชิงมี่ผู้ฝึกตนอิสระที่เก็บหัวเก็บหางมิดชิดผู้นี้แค่ถูกจั่วโย่วฟันไปไม่กี่ทีก็เปลี่ยนนิสัยกลายไปเป็นวีรบุรุษผู้กล้าได้เลยหรือ?”
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “ต้องเพราะถูกอาเหลียงต้อนเป็ดขึ้นชั้นไม้แน่นอน (เปรียบเปรยว่าถูกบังคับให้ทำในเรื่องที่ไร้ความสามารถ) ชิงมี่จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้”
จั่วโย่วกล่าว “ชิงมี่ผู้นี้มีเวทหลบหนีที่ไม่เลว ฝีมือด้านการต่อสู้ก็สูงกว่าจิงเฮาระดับหนึ่ง ทั้งยังมีอาเหลียงคอยนำทางให้ ยากมากที่พวกเขาจะตกอยู่ในวงล้อมของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง”
ฆ่าอาเหลียง ยุ่งยากที่สุด
นี่ได้กลายเป็นความรู้ที่มีร่วมกันของใต้หล้าไพศาลและใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแล้ว
จับคู่เข่นฆ่า สู้ไม่ได้ แต่หากจะรวมพรรครวมพวกมาไล่ล่าขวางทาง ต่อให้สุดท้ายกลายเป็นสถานการณ์ล้อมสังหารขึ้นมาจริงๆ กลับกลายเป็นว่าอาเหลียงดันชอบมาก ไม่แน่ว่าอาจถูกเขาที่ตัวคนเดียวท้าทายคนทั้งกลุ่มก็เป็นได้
แต่ว่าการเดินทางครั้งนี้ของอาเหลียงได้แสดงออกชัดเจนว่าจะพาผู้ติดตามอย่างชิงมี่ไปด้วย บุกฆ่าทะลวงไปในใต้หล้าเปลี่ยวร้างรวดเดียว ความอันตรายที่จะเจอระหว่างนี้จึงเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
เฉินผิงอันเอ่ย “อาเหลียงคิดจะอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวมาสร้างความวุ่นวายให้กับสถานการณ์บนยอดเขาของเปลี่ยวร้าง ตกปลาตัวใหญ่แท้จริงที่ซ่อนตัวอย่างลึกล้ำออกมาให้กับศาลบุ๋น”
คิดจะขัดขวางอาเหลียงให้ได้อย่างแท้จริง ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ต้องเอาผู้แข็งแกร่งที่มีฝีมือพอจะถามกระบี่กับอาเหลียงออกมา ยกตัวอย่างเช่นบุคคลบนยอดเขาสูงอย่างหลิวชา
คนที่มีสถานะเอามาเปิดแก่เผยภายนอกได้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ตอนนี้มีขอบเขตสิบสี่แค่สองคนเท่านั้น เซียวสวิ้นที่เป็นหนึ่งในนั้น ต่อให้เจอกับอาเหลียง ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีทางตีกัน มีแต่จะดื่มเหล้าด้วยกันเสียมากกว่า
เซียวสวิ้นก็ดี เซียนกระบี่สองท่านของสายอิ่นกวานเก่าอย่างจู๋อานและลั่วซานก็ช่าง บวกกับจางลู่เซียนกระบี่ใหญ่ที่เฝ้าประตูอยู่ในภูเขาห้อยหัว ล้วนีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับอาเหลียง
ส่วนผู้ฝึกตนอิสระชิงมี่นั้น ต่อให้เป็นขอบเขตบินทะยาน ครั้งนี้ถูกอาเหลียงลากให้เดินทางลงใต้ไปด้วยกัน คาดว่าต่อให้ไม่อยากจะฝึกอบรมจิตใจให้ดีก็ยังยากแล้ว
ลู่จือหัวเราะเสียงหยัน “หากเขามีชีวิตรอดกลับมา ให้เขาลูบขาสองสามทีก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร”
ฉีถิงจี้ จั่วโย่ว เฉินผิงอัน บุรุษสามคนที่รักษาเนื้อรักษาตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องในเรื่องของความรักชายหญิงต่างก็ปิดปากเงียบไม่พูดจาอย่างรู้กาลเทศะ
คู่รักบนภูเขาของฉีถิงจี้ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้มีเพียงคนเดียว หลังจากภรรยาตายจากไป ชั่วชีวิตนี้เขาก็ไม่เคยมีความคิดที่จะมีภรรยาใหม่ ในความเป็นจริงแล้วผู้ฝึกตนหญิงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่หลงรักเซียนกระบี่ผู้อาวุโสผู้มีรูปโฉมหล่อเหลาคนนี้มีจำนวนไม่น้อยเลย อีกทั้งแต่ละคนล้วนเป็นห้าขอบเขตบนทั้งสิ้น ราวกับว่าขอแค่ฉีถิงจี้พยักหน้าตอบตกลง แค่มีฐานะให้ก็พวกนาง จะให้พวกนางทรยศออกจากเปลี่ยวร้างก็ยินดี
ส่วนจั่วโย่วก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว
ฝ่ายเฉินผิงอัน ตอนที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งขึ้นชื่อว่าสายตาไม่แลใคร ราวกับว่าสตรีในใต้หล้านี้มีเพียงหนิงเหยาคนเดียว
เฉินผิงอันเปิดอ่านตำราที่ด้านบนรวบรวมผลลัพธ์จากห้องของอาจารย์ลี่ พลางสอบถามจิงเซิงซีผิง ขอความรู้เกี่ยวกับโพ่จื่อลิ่งอย่างนอบน้อมไปด้วย
บนเรือราตรีลำนั้น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าโพ่จื่อลิ่งก็คือวิธีการในการลงจากเรือ อีกทั้งยังอาจจะกลายเป็นเหมือนเอกสารผ่านด่านอย่างหนึ่ง ในอนาคตหากมีโอกาสได้ขึ้นเรืออีกครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่เปิดทางฝืนลงจากเรือ
เฉินผิงอันมีแผนการที่ลึกล้ำยาวไกลต่อเรือข้ามฟากที่ร่องรอยไม่แน่นอนลำนี้ หากแน่ใจได้แล้วว่าภัยแฝงที่จะตามมามีไม่มาก เฉินผิงอันก็ถึงขั้นอยากจะเสนอตัวเป็นเจ้านครแห่งหนึ่งบนเรือราตรีด้วยซ้ำ
ซีผิงบอกว่าเดี๋ยวจะไปเอาหนังสือของศาลบุ๋นมาให้เฉินผิงอันสองสามเล่ม เพียงแต่ว่าหนังสือพวกนี้ล้วนเอาออกไปจากสวนกงเต๋อไม่ได้ จำเป็นต้องอ่านให้จบแล้วส่งคืน เพราะหนังสือพวกนี้ตามกฎแล้วมีเพียงอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปและเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาเท่านั้นที่ถึงจะเปิดอ่านได้ แต่ในเมื่อหลี่เซิ่งอนุญาตด้วยตัวเอง แน่นอนว่าสามารถพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ แต่ก็ไม่อาจละเมิดกฎได้เกินไปนัก ในใจเฉินผิงอันมีข้อสงสัย แต่กลับไม่ได้ถามมาก
ดูเหมือนว่าซีผิงจะคาดเดาความคิดของเฉินผิงอันออก จึงเป็นฝ่ายอธิบายว่าหากคิดจะฝึกฝนวิชาอภินิหารของลัทธิขงจื๊ออย่างโพ่จื่อลิ่งนี้ให้สำเร็จ ก็จำเป็นต้องศึกษาวิชายืมคำของนักปราชญ์และวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาให้เป็นเสียก่อน
พอเฉินผิงอันได้ฟังก็เอ่ยขอบคุณจิงเซิงซีผิง จากนั้นจึงทำหน้าหนาขอคัมภีร์ฉบับสำเนาอีกชุดหนึ่งจากเขา บอกว่าขอไปให้เฉาฉิงหล่างลูกศิษย์ของตน เพราะพลาดพิธีสวมกวานของลูกศิษย์คนนี้ หากสามารถชดเชยด้วยตำราเนื้อหาคัมภีร์ที่คัดจากศิลาแกะสลัก เฉาฉิงหล่างจะต้องทะนุถนอมเห็นค่าเป็นอย่างมากแน่นอน
ซีผิงยิ้มกล่าว “ที่ข้ามีคัมภีร์ฉบับสำเนาที่เก็บรักษาไว้อยู่สองชุดจริง อายุค่อนข้างมากแล้ว ระดับขั้นนับว่าไม่ธรรมดา บัณฑิตคัดตำราไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
เฉินผิงอันรีบพูดทันใด “อิงตามราคาการคัดคัมภีร์ของพวกบัณฑิตในสายบุ๋นได้เลย เอาราคาที่แพงที่สุดแล้วเพิ่มไปอีกหนึ่งเท่าตัว”
ซีผิงที่อยู่ตรงหน้าประตูใหญ่หันหน้ามามองอิ่นกวานหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ คลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด ทั้งไม่พยักหน้าตอบตกลง แล้วก็ไม่ส่ายหน้าปฏิเสธ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!