หากไม่เป็นเพราะมีการค้าที่ต้องพูดคุยปรึกษา เฉินผิงอันก็ไม่มีทางไปท่าเรือดอกท้อรบกวนผู้ฝึกตนของจวนไช่เฉวี่ย ถ่วงรั้งการหลอมชุดคลุมอาคมของพวกนางก็คือถ่วงรั้งการหาเงินของภูเขาลั่วพั่ว มีเรื่องกับใครก็ไม่ควรมีเรื่องกับเงิน
จวนไฉ่เชวี่ยตั้งอยู่ในอาณาเขตของแคว้นสุ่ยเซียวซึ่งเป็นแคว้นของสายน้ำ แคว้นสุ่ยเซียวที่แม้กระทั่งเมืองหลวง นคร เมืองแห่งต่างๆ ล้วนสร้างอยู่บนเกาะ จวนไฉ่เชวี่ยตั้งอยู่บนจุดตัดของลำธารใหญ่และมหาสมุทรยักษ์ ชื่อของธารน้ำก็คือน้ำดอกท้อ บนท่าเรือดอกท้อมักจะมีเมฆขาวหยุดลอยอ้อยอิ่งอยู่ตลอดทั้งปี อ้อมผ่านภูเขาเขียวที่ตั้งของจวนไฉ่เชวี่ย ประหนึ่งสวมมงกุฎหิมะขาวไว้บนศีรษะ ภูเขาสายน้ำอิงแอบเคียงคู่ เมฆขาวล้อมอบอวล ดอกท้อผลิบานสะพรั่ง ทัศนียภาพงดงามถึงขีดสุด
หมี่อวี้เคยมา ‘ฝึกตน’ อยู่ที่นี่นานหลายปี ได้ยินว่ายังเคยสร้างหนี้รักไว้อีกบานเบอะ นี่ถือว่าเป็นการทำลายขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วหรือไม่?
เฉินผิงอันแอบจดบัญชีไว้เงียบๆ กลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วจะต้องพูดคุยกับเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ให้ดีๆ เสียหน่อย
ตรงตีนเขามีร้านน้ำชาที่เป็นกิจการของจวนไฉ่เชวี่ยอยู่แห่งหนึ่ง อันที่จริงการค้าซบเซามาโดยตลอด เพราะราคาน้ำชาแพงเกินไป ผู้ฝึกตนที่ผ่านทางมาที่ท่าเรือของท่าเรือดอกท้อ ส่วนใหญ่จะเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวป่าท้อมากกว่า
พวกเฉินผิงอันมานั่งลงแล้ว เขาก็บอกชื่อแซ่กับผู้ฝึกตนหญิงของจวนไฉ่เชวี่ย ผู้ฝึกตนหญิงได้ยินว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วมาเยือนท่าเรือดอกท้อด้วยตัวเอง ไหนเลยจะกล้าเพิกเฉย รีบส่งว่าวแจ้งข่าวไปยังศาลบรรพจารย์ทันที เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนหญิงของจวนไฉ่เชวี่ยต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่าภูเขาลั่วพั่วของแจกันสมบัติทวีป แม้จะบอกว่าก่อตั้งสำนักมาได้ไม่กี่ปี แต่กลับเป็นเศรษฐีบ้านนอกคนหนึ่ง อีกทั้งทุกวันนี้ยังได้กลายเป็นสำนักอักษรจงแล้วด้วย
จวนไฉ่เชวี่ยมีบรรยากาศเฉกเช่นทุกวันนี้ได้ล้วนต้องยกคุณความชอบให้กับชุดคลุม ‘บรรพบุรุษ’ ที่ภูเขาลั่วพั่วนำมามอบให้ตัวนั้น เพราะมีมันจวนไช่เฉวี่ยถึงสามารถแตกกิ่งก้านสาขา มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง อาศัยอ่างเก็บสมบัติใบนี้ ถึงกับสามารถสานสัมพันธ์ทำการค้ากับราชวงศ์ต้าหลีได้ เป็นเหตุให้ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ยี่สิบปี จวนไฉ่เชวี่ยลุกผงาดอย่างรวดเร็ว เลื่อนเป็นภูเขาอันดับหนึ่งของอุตรกุรุทวีป หากไม่เป็นเพราะจวนไฉ่เชวี่ยทำตามกฎของบรรพบุรุษจึงรับแต่ผู้ฝึกตนหญิงมาโดยตลอด ทำให้จำนวนลูกศิษย์มีไม่มาก ไม่อย่างนั้นสำนักอักษรจงก็สามารถลองช่วงชิงมาได้
เพียงไม่นานอู่ชวินผู้คุมกฎก็ทะยานลมมาถึง เจอหน้าเฉินผิงอันก็เอ่ยขออภัยก่อนหนึ่งคำ เพราะซุนชิงเจ้าจวนได้พาลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างหลิ่วกุ้ยเป่าออกจากสำนักไปหาประสบการณ์การณ์ ซุนชิงพูดจาน่าฟังว่าไปปกป้องมรรคาให้กับลูกศิษย์ ก็แค่ให้มีเหตุผลพอที่จะไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยเท่านั้น
ตามกฎบนภูเขา เจ้าสำนักอย่างเฉินผิงอันมาเยือนถึงที่ อีกทั้งยังเป็นเจ้าของทรัพย์สินเบื้องหลังจวนไฉ่เชวี่ย ซุนชิงก็ควรจะอยู่ที่นี่ด้วย
ต่อให้ก่อนจะมาทางภูเขาลั่วพั่วจะไม่ได้ส่งกระบี่บินมาแจ้งข่าว ถึงอย่างไรก็ยังเป็นจวนไฉ่เชวี่ยที่เสียมารยาท
รากฐานของภูเขาลั่วพั่วเป็นอย่างไร จวนไฉ่เชวี่ยรู้ชัดเจนดี สองคำ ไร้เหตุผล
ซุนชิงพาหลิ่วกุ้ยเป่าไปเข้าร่วมงานพิธีเสร็จก็กลับมาที่ภูเขาบ้านตน นางได้พูดคุยหยอกล้อกับอู่ชวินเป็นการส่วนตัวสองสามประโยค บอกว่าสถานที่แห่งนี้ของพวกเราเบิกตากว้างก็ยังหาเซียนดินไม่เจอ อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ดีนักนะ ดูเหมือนว่าพวกขอบเขตก่อกำเนิดต่างก็ไม่กล้าพูดเสียงดัง ราวกับว่าขอแค่ไม่ใช่เซียนดินก็ไม่กล้าออกจากบ้านไปทักทายกับคนอื่นแล้ว
ตอนนั้นอู่ชวินแค่ฟังรายชื่อผู้เข้าร่วมงานพิธีเปิดสำนักอย่างเป็นทางการจากซุนชิงก็อึ้งค้างไปนาน เป็นความอึ้งที่ไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้เลย
อู่ชวินมองสตรีที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะสะพายกล่องกระบี่
หนิงเหยายังคงเอ่ยแนะนำตัวเองด้วยประโยคเดิม “หนิงเหยา ผู้ฝึกกระบี่”
อู่ชวินกุมหมัดคารวะ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ผู้คุมกฎศาลบรรพจารย์จวนไฉ่เชวี่ย อู่ชวิน อู่ที่ประกอบจากอักษรจื่อและอักษรเกอ ชวินคืออักษรซานและอักษรจวิน”
เดี๋ยวนะ!
ผู้ฝึกกระบี่? หนิงเหยา?
คงไม่ใช่หนิงเหยาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่หรอกกระมัง!?
เพราะกระทั่งวันที่เจ้าจวนซุนชิงเข้าร่วมงานพิธีครั้งนั้นก็ถึงเพิ่งจะได้รู้ว่า ‘อวี๋หมี่’ ที่เล่นสนุกอยู่ในจวนไฉ่เชวี่ยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงกับเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง อีกทั้งอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ชื่อจริงคือหมี่อวี้ มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่! หมี่ฮู่ผู้เป็นพี่ชายก็ยิ่งเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ที่ผลงานทางการสู้รบเกริกก้อง
ใต้หล้ามีเรื่องที่บังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือ? เฉินผิงอันร้ายกาจก็จริง เพียงแต่อู่ชวินก็ยังไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่าเขาจะทำให้หนิงเหยาติดตามอยู่ข้างกายได้
อีกอย่างหนิงเหยาติดตามนครบินทะยานไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้า มีกฎของศาลบุ๋นวางอยู่ตรงนั้นแล้วจะมาที่ใต้หล้าไพศาลได้อย่างไร?
พกกระบี่บินทะยานหรือ?
นี่ก็คือความต่างระหว่างสำนักบนยอดเขากับกองกำลังตระกูลเซียนลำดับรองของไพศาลแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่จวนไฉ่เชวี่ยเองก็ไม่มีผู้ฝึกกระบี่ที่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน บวกกับที่ไพศาลสั่งห้ามรายงานขุนเขาสายน้ำมานานหลายปี ดังนั้นจนถึงตอนนี้อู่ชวินก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วที่นั่งดื่มชาอยู่ตรงหน้าผู้นี้เคยมีบารมียิ่งใหญ่ในวงการขุนนางที่เรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวแค่ไหน
เพียงแต่อู่ชวินก็อดรู้สึกโชคดีไม่ได้ หากเป็นจริงขึ้นมาล่ะ จึงถามหยั่งเชิงว่า “บ้านเกิดของแม่นางหนิงคือ?”
หนิงเหยากล่าว “กำแพงเมืองปราณกระบี่”
อู่ชวินพลันหน้าแดงก่ำ
อุตรกุรุทวีปคือสถานที่ที่มีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุดในบรรดาเก้าทวีปของใต้หล้าไพศาล ไม่มีหนึ่งใน
ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณของที่นี่ ต่อให้จะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยังเข้าใจกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นอย่างดี
อู่ชวินต้มชารับรองแขกด้วยตัวเอง อารมณ์ตื่นเต้นดีใจ เนิ่นนานก็ไม่อาจสงบอารมณ์ได้ สองมือถึงกับสั่นสะท้านเบาๆ อย่างที่ไม่อาจควบคุม
ใบชาเป็นผลผลิตมาจากภูเขาด้านหลังของจวนไฉ่เชวี่ย มีชื่อว่าเสี่ยวเสวียนปี้ ต้นชาเก่าแก่มีแค่ยี่สิบต้น มีนกไฉ่เชวี่ยที่ล้ำค่าหากยากมาคาบเด็ดใบ แล้วใช้กลวิธีลับทำให้เป็นก้อน จึงเป็นเหตุให้มีชื่อเสียงและราคาแพงมาก
อู่ชวินอดไม่ไหวเหลือบตามองหนิงเหยาบ่อยๆ
หนิงเหยา เป็นหนิงเหยาในตำนานผู้นั้นจริงๆ!
ทุกวันนี้ระหว่างภูเขาใหญ่ของอุตรกุรุทวีปล้วนมีการคาดเดาและคำกล่าวบางอย่าง ล้วนเชื่อมั่นเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้นว่าหนิงเหยาคือบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งนั้น
ประเด็นสำคัญคือหนิงเหยาคือสตรีนะ เวลาปกติยามที่อู่ชวินดื่มชากับเจ้าจวนและพวกกุ้ยเป่า มีหรือจะไม่เคยคุยกันถึงหนิงเหยาเลย? โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิ่วกุ้ยเป่าที่หยิ่งทระนงที่ยิ่งเลื่อมใสในตัวหนิงเหยา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!