กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 812

“โยวโจว ปฏิบัติต่อคนอื่นและการคบหามิตรสหาย เจ้าสามารถใจกว้างได้ เพราะเจ้าคือบุตรชายของหลิวจวี้เป่า ถูกกำหนดมาแล้วว่าชีวิตนี้จะไม่มีทางขาดแคลนเงินทอง แต่จำไว้เรื่องหนึ่งว่า มีเพียงไม่อาจจ่ายเงินไปแล้ว แล้วยังถูกคนอื่นมองว่าโง่”

“ออกจากบ้าน การสร้างความสะดวกให้กับผู้อื่นในทุกหนทุกแห่งก็คือการสร้างความสะดวกให้กับตัวเอง เจอกับเรื่องเร่งด่วนต้องการความช่วยเหลือในยุทธภพก็ไม่อาจขี้เหนียวได้”

“แต่อยู่ในบ้านต้องมีกฎระเบียบ ต้องพิถีพิถันในเรื่องความใกล้ชิดความห่างเหิน ตระกูลแห่งหนึ่งยิ่งใหญ่มากเท่าไร กฎระเบียบก็ยิ่งต้องมั่นคงมากเท่านั้น แน่นอนว่าความมั่นคงไม่ได้หมายถึงความเข้มงวดอย่างเดียว ทว่าหากแม้แต่ความเข้มงวดก็ยังไม่มี ก็ย่อมไม่มั่นคงอย่างแน่นอน ดังนั้นในตระกูลหลิวของพวกเรา คนที่สามารถตีคนได้มากที่สุดไม่ใช่พ่อที่เป็นประมุขของตระกูล แล้วก็ไม่ใช่พวกตาเฒ่าที่นั่งเรียงกันสองแถวในศาลบรรพชน แต่เป็นพวกอาจารย์ทั้งหลายที่พ่อจ่ายเงินก้อนหนักเชื้อเชิญมา ตอนยังเด็ก ยามที่ต้องตั้งกฎระเบียบ ต้องจดจำกฎระเบียบกลับไม่อาจทนรับการถูกตีได้ พอเติบใหญ่ขึ้นแล้วออกจากบ้านก็ต้องเจอกับความยากลำบากแล้ว ประเด็นสำคัญคือเจอกับความยากลำบากแล้วยังคิดว่าตัวเองไม่ผิดเสียอีก”

“ดังนั้นต่อให้ในบางครั้งพวกอาจารย์จะตีอย่างไร้เหตุผล หรือตีแรงเกินไป พ่อก็ไม่สนใจเหมือนเดิม ใครกล้าห้ามใครกล้าขวาง สตรีคนใดสงสารเจ็บปวด บ่นไม่หยุด พ่อก็จะให้บุรุษของพวกนางพาอาจารย์และเด็กๆ ออกไปก่อน จากนั้นค่อยตบบ้องหูพวกนางไปทีละคน ตบเบาไปก็ตบใหม่ ต่อให้พวกอาจารย์ที่มาสอนหนังสือจะลงมือรุนแรงแค่ไหน ตีไปหนึ่งที เด็กๆ จะเจ็บปวดได้สักกี่วัน? เปลี่ยนมาเป็นหลักการเหตุผลที่ ‘ลูกหลานสกุลหลิวก็ถูกตีได้ ขนาดอยู่ในบ้านยังถูกตี’ อันที่จริงกลับเป็นเหตุผลที่ใหญ่ยิ่งกว่า เท่ากับว่าข้าช่วยพวกลูกหลานสกุลหลิวให้หากำไรเป็นเงินก้อนแรกมาได้แต่เนิ่นๆ”

“และเงินที่มองไม่เห็นก้อนนี้ก็คือหนึ่งในรากฐานการหยัดยืนของลูกหลานสกุลหลิวทุกคนในอนาคต คนที่เป็นพ่อแม่มีใครบ้างที่ไม่สงสารบุตรชายหญิงของตัวเอง? แต่วิถีทางโลกและฟ้าดินนอกบ้านกลับไม่สงสารพวกเขาแม้แต่น้อย”

หลิวโยวโจวตั้งใจฟังอย่างมาก เพียงแต่อดสงสัยไม่ได้ ทนอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเอ่ยว่า “หลักการเหตุผลพวกนี้ข้าเข้าใจมาตั้งนานแล้วนะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านพ่อเองก็รู้ว่าข้ารู้แล้ว”

หลิวจวี้เป่ารู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย นอกจากหาเงินทองแล้ว พ่อก็ไม่ใช่คนที่อธิบายหลักการเหตุผลเก่ง คำพูดพวกนี้ต้องร่างอยู่ในท้องตั้งนานกว่าจะพูดออกมาจากปากได้ จะดีจะชั่วเจ้าก็ช่วยเออออสนับสนุน แสร้งทำเป็นไม่รู้บ้างสิ

หลิวจวี้เป่าจึงได้แต่ใช้ท่าไม้ตายด้วยการยิ้มถาม “พ่อถามเจ้า เหตุใดสกุลหลิวของพวกเราถึงต้องแอบจ่ายเงินอย่างลับๆ มากมายขนาดนั้นให้กับพวกราชวงศ์ใหญ่และแคว้นใต้อาณัติล่างภูเขาไปเปล่าๆ เพื่อให้พวกเขาเอาไปก่อตั้งโรงเรียน ให้พวกอาจารย์สอนหนังสือทั้งหลายของธวัลทวีปไม่ขาดแคลนเงินทอง ชีวิตไม่ยากลำบากเกินไป?”

ช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้แคว้นล่างภูเขาหลายแห่งของธวัลทวีปตั้งใจกับการก่อตั้งโรงเรียนมากที่สุด ก็แค่ว่าขั้นตอนการจัดการต่างๆ คล้ายคลึงกับการก่อตั้งหมู่บ้านเพื่อการกุศลอย่างลับๆ จึงไม่ได้เป็นที่ประจักษ์ชัดนัก

เพราะก่อนที่ซิ่วหู่จะกลายเป็นราชครูต้าหลีเคยมาหาหลิวจวี้เป่า บอกว่าหากแคว้นหนึ่ง อาจารย์สอนหนังสือส่วนใหญ่ล้วนมีแต่ความยากจน หรือไม่ก็เฉลียวฉลาดยิ่งกว่าพ่อค้าคนกลาง ถ้าอย่างนั้นแคว้นนี้ก็ไม่มีความหวังใดๆ แล้ว จากแข็งแกร่งก็จะไปสู่ความอ่อนแอ จากอ่อนแอก็จะอ่อนแอไปตลอดกาล

ธวัลทวีปของพวกเจ้าอยากจะชิงตัวอักษรคำว่า ‘อุตร’ มาจากกุรุทวีป ยากไหม? ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ผ่านไปอีกพันปี ธวัลทวีปก็ไม่อาจสู้สถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆแห่งนั้นได้

ยากขนาดนี้จริงๆ หรือ? อันที่จริงก็ไม่ยาก เพียงแต่ว่ามันอยู่บนโต๊ะหนังสือตัวแล้วตัวเล่า อย่างมากสุดเวลาสามร้อยห้าร้อยปีก็สามารถช่วงชิงกลับมาได้แล้ว

หากมีวันนั้นจริงๆ บัณฑิตล่างภูเขา แต่ละคนเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรี ฮึกเหิมมีชีวิตชีวา ถ้าอย่างนั้นทั้งบนและล่างภูเขาของธวัลทวีปก็จะเต็มไปด้วยความหวังในทุกหนทุกแห่ง

หลิวจวี้เป่า เจ้ามีเงิน มีเงินมาก เหตุใดถึงไม่ยินดีจะทำเล่า?

คำพูดประโยคนี้ของซิ่วหู่ชุยฉานคล้ายกำลังสอนเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวว่าควรจะอาศัยเงินหาเงินอย่างไร

หลิวโยวโจวได้ยินคำถามของบิดาก็เอ่ยว่า “ก็ไม่ใช่เพื่ออาศัยการเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมทีละเล็กทีละน้อยมาช่วยให้ธวัลทวีปช่วงชิงตัวอักษรอุตรกลับมาจากกุรุทวีปหรอกหรือ?”

หลิวจวี้เป่าพูดไม่ออกเป็นนาน ได้แต่พยักหน้ารับ แล้วแสร้งทำเป็นพูดอย่างลึกลับว่า “ถูกก็ถูกอยู่หรอก แต่ว่ายังคิดตื้นเขินไปสักหน่อย วันหน้ายังต้องใคร่ครวญเรื่องนี้ให้มากๆ”

หลิวโยวโจวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องฝึกตน แล้วก็ไม่ต้องคิดว่าควรจะหาเงินอย่างไร ทุกวันไม่มีอะไรทำก็คิดโน่นคิดนี่ส่งเดชไปเรื่อย”

หลิวจวี้เป่าปลาบปลื้มอย่างยิ่ง ลูกชายคนดี ปณิธานสูงส่งยาวไกล

ส่วนเรื่องที่ว่าท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวที่น้อยครั้งนักจะต่อยตีกับใครผู้นี้ ในอนาคตโชควาสนาในการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่จะอยู่ที่สิ่งใด

ก็คือเงินเกล็ดหิมะของใต้หล้า

……

เรือหลิวเสียลำหนึ่งใช้แสงเรืองรองของก้อนเมฆในแต่ละสถานที่มาเป็นเรือข้ามฟาก แต่ละครั้งจะปรากฎตัวในก้อนเมฆวูบวาบ คล้ายเซียนเหรินที่ร่ายวิชาอภินิหารหดย่อพื้นที่ครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังไม่สิ้นเปลืองปราณวิญญาณแม้แต่น้อย

ดังนั้นถึงแม้ว่าต้นทุนในการสร้างเรือหลิวเสียจะสูงมาก แต่กระนั้นศาลบุ๋นก็ยังเลือกเรือข้ามฟากประเภทนี้ให้อยู่ในใบรายการ อีกทั้งในการประชุม พวกผู้ฝึกตนต่างก็ไม่มีความเห็นต่างในเรื่องนี้

เจ้าของเรือคือคนที่รักอิสระเสรีคนหนึ่งบนภูเขาที่ไม่ได้เข้าร่วมการประชุม หนึ่งในบรรพจารย์ของภูเขาเจ๋อเซียนสำนักชั้นสูงของแผ่นดินกลาง เซียนกระบี่ใหญ่หลิ่วโจว

ในห้องไม่มีทั้งเก้าอี้โต๊ะหรือเตียง บนผนังแขวนเทียบอักษรของซิ่วหู่ไว้ภาพหนึ่ง ไม่ใช่ฉบับสำเนาอะไร แต่เป็นลายมือที่แท้จริงของชุยฉานเอง

บนโต๊ะตัวเล็กตรงมุมกำแพงวางสวนกระถางตระกูลเซียนไว้ใบหนึ่ง บรรจุขุนเขาสายน้ำเล็กจิ๋ว เมฆขาวก้อนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ มีสายฟ้าแลบปลาบพร้อมเสียงฟ้าคำรณ แสงสีทองส่องประกายระยิบระยับ เสียงดังครืนครั่น พอจะมองเห็นเส้นเล็กบางสีทองสีขาวหลายเส้นพุ่งชนอยู่ในก้อนเมฆอุตลุด เพียงไม่นานก็มีฝนกระหน่ำตกลงมา คือเจียวหลงโปรยพิรุณอย่างสมชื่อที่แท้จริง

ผู้ฝึกตนหลิ่วโจวปักปิ่นหยกสีหมึกชิ้นหนึ่ง สวมชุดคลุมสีม่วง นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งสีเขียวมรกต

เซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็นที่รู้จักว่ามีนิสัยแปลกประหลาดท่านนี้ใบหน้างามประดุจหยก เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่ที่มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานคนนี้ทิ้งเวทกระบี่ดีๆ ไม่ยอมฝึกฝน ถึงกับหันไปฝึกการวางหมาก นี่เป็นเรื่องที่ครึกโครมอย่างถึงที่สุดของใต้หล้าไพศาลในเวลานั้น รายงานขุนเขาสายน้ำของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางตลอดหลายปีนั้นพากันวิพากษ์วิจารณ์หนาหู หากไม่เป็นเพราะติดที่ชื่อเสียงบารมีของภูเขาเจ๋อเซียนและเซียนกระบี่หลิ่ว คาดว่าคงพูดกันตรงๆ ไปแล้วว่าหลิ่วโจวเป็นบ้าเสียสติไปแล้วหรือไม่

เวลานี้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาคือผู้ฝึกกระบี่หญิงอ่อนเยาว์คนหนึ่ง ตรงเอวห้อยแท่นฝนหมึกหนึ่งชิ้น เป็นหลิ่วโจวที่มอบให้ในอดีต เซียนกระบี่ท่านนี้ยังแกะสลักบทกวีบรรยายกระบี่ไว้บทหนึ่งด้วยตัวเอง ถือเป็นการแสดงความคาดหวังต่อลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างหนึ่ง

สตรีก็คือสวี่ซินย่วนแห่งสำนักกระบี่เหมยซาน และนางก็เป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของหลิ่วโจว ทุกๆ สิบปี สวี่ซินย่วนจะมีโอกาสได้ไปเยือนภูเขาเจ๋อเซียนหนึ่งครั้งเพื่อขอความรู้วิชากระบี่จากหลิ่วโจว

ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่อายุไม่ถึงร้อยปี อันที่จริงคุณสมบัติบนวิถีกระบี่ถือว่าไม่เลวอย่างมากแล้ว อีกทั้งนางยังได้ครอบครองกระบี่บินสามเล่มที่หาได้ยากยิ่ง การหลอมกระบี่จึงสิ้นเปลืองเวลามากกว่าผู้ฝึกกระบี่ทั่วไป จึงถ่วงรั้งการเลื่อนขั้นของขอบเขตนาง

สวี่ซินย่วนเล่าประสบการณ์ที่พบเจอมาในการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ให้หลิ่วโจวฟัง

บางครั้งหลิ่วโจวก็เอ่ยถามบ้างสองสามประโยค ล้วนเป็นเรื่องราวและผู้คนที่ตอนนั้นสวี่ซินย่วนไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าใดนัก

ไม่รู้ว่าเหตุใด ต่อให้จะเป็นอิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาบนโลกคนนั้น ก็ดูเหมือนว่าหลิ่วโจวจะไม่ได้สนใจมากนัก ส่วนใหญ่จะถามนางในเรื่องของฟู่จิ้นจักรพรรดิขาวน้อยมากกว่า

สวี่ซินย่วนเหลือบตามองเทียบอักษรชิ้นนั้นแล้วก็อดไม่ไหวถามคำถามหนึ่งที่สงสัยใคร่รู้มาหลายสิบปีแล้ว “อาจารย์หลิ่ว ในอดีตกระบี่บินจินสุ้ยเล่มนั้นของท่านต้องมอบให้ซิ่วหู่เพราะแพ้หมากล้อมจริงหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!