กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 812

เจิ้งจวีจงกล่าว “ไฉ่ป๋อฝู ไม่ต้องรู้สึกว่าเวลานี้ทำตัวไม่ถูก จะรุกหรือถอยก็เสียกิริยาก็คือเสียกิริยา หากไม่มีจิตใจที่หวาดกลัวยำเกรงเสียบ้าง คนที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระต้องตายไวมาก”

ไฉ่ป๋อฝูสีหน้าทึ่มทื่อ ได้แต่พยักหน้า

เจิ้งจวีจงยิ้มถาม “หลายปีมานี้ฝึกตนอยู่ในนครจักรพรรดิขาว ลำบากหรือไม่?”

เพียงชั่วพริบตานั้น ไฉ่ป๋อฝูที่น้อยเนื้อต่ำใจก็เกือบจะน้ำตาไหลพรากราวกับสายฝน จะไม่ลำบากได้หรือ? ราวกับว่าจิตใจแหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า ขมขื่นเจ็บปวดจนพูดไม่ออก เหลือเพียงความด้านชาเท่านั้น

เพียงแต่ว่าทั้งๆ ที่รู้ว่าร้องทุกข์โอดครวญไปก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่เคยเรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนในหนึ่งทวีปผู้นี้ก็ยังได้แต่กัดฟันอดทนเท่านั้น

แต่ตอนนี้ไฉ่ป๋อฝูกลับทำเพียงแค่พยักหน้ารับ กระนั้นก็ยังไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

บอกตามตรง นั่งอยู่ตรงนี้ ไฉ่ป๋อฝูรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองพูดออกมาแค่ประโยคเดียวก็ยังเป็นการล่วงเกินอาจารย์เจิ้งอยู่ดี

เจิ้งจวีจงกล่าว “พวกหันเชี่ยวเซ่อ หลิ่วเต้าฉุน ฟู่จิ้นอาจรู้สึกว่ากู้ช่านเกิดมาก็เหมาะแก่การเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนครจักรพรรดิขาว ส่วนเจ้ากลับไม่ค่อยถูกคนเห็นอยู่ในสายตามากนัก”

ไฉ่ป๋อฝูยังคงทำเพียงแค่พยักหน้ารับ เรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรให้ต้องอาย ตนไม่อาจเปรียบเทียบกับเจ้ามารน้อยกู้ช่านนั่นได้จริงๆ เจ้าลูกกระต่ายน้อยคนนั้นเจ้าเล่ห์เจ้าอุบายมากนัก ประเด็นสำคัญคือไม่ว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรก็เป็นเร็วอย่างมาก

เจิ้งจวีจงรินน้ำชาหนึ่งถ้วย ผลักไปบนโต๊ะเบาๆ มันก็ไถลไปอยู่ริมขอบโต๊ะเบื้องหน้าไฉ่ป๋อฝูพอดี ยิ้มเอ่ยว่า “ยามคิดถึงคนให้ดื่มเหล้า ยามคิดถึงเรื่องราวให้ดื่มชา”

ไฉ่ป๋อฝูตกใจที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝัน รีบโน้มตัวไปด้านหน้า ใช้สองมือถือถ้วยชาเอาไว้ ก้มหน้าจิบหนึ่งคำด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ

เจิ้งจวีจงกล่าว “ลัทธิพุทธบอกว่าฟ้าดินแห่งนี้ก็คือสหาโลกธาตุ คนผู้หนึ่งไม่กลัวหากต้องลำบาก กลัวก็แต่ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงต้องลำบาก ก็เหมือนตลาดล่างภูเขา หาเงินมาไม่ได้ก็ได้แต่บ่นว่าโลกใบนี้ช่างเย็นชา คนข้างกายใช้สายตาสุนัขมองคนอื่นอย่างดูแคลน ชีวิตของมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาเลื่อนลอย ความสุขความทุกข์ก็แค่หกสิบปี ผู้ฝึกตนบนยอดเขาอย่างพวกเราหากไม่มีจิตแห่งมรรคาที่เป็นเช่นนี้ก็ยากที่จะพิสูจน์มหามรรคา ไม่อาจเป็นอมตะ”

“แน่นอนว่ายามที่กำลังของมนุษย์เราหมดลงก็จะค้นพบเองว่าเงินบางอย่างไม่อาจหามาได้จริงๆ เรื่องบางเรื่องไม่อาจทำได้จริงๆ แต่ว่าขอแค่มาถึงนาทีนี้ เจ้าถึงจะมีคุณสมบัติเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ชะตาชีวิตกำหนดไว้แล้ว ธรรมชาตินำพาให้เป็นไป ข้าพูดแบบนี้ เจ้าฟังเข้าใจหรือไม่?”

พูดร่ายยาว

ผู้ฝึกตนแห่งวิถีมารอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่มีนามว่า ‘ไหวเซียน’ ผู้นี้เหมือนอาจารย์ในโรงเรียนที่นิสัยดีอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งซึ่งกำลังถ่ายทอดวิชาความรู้ไขข้อข้องใจให้กับนักเรียน

ไฉ่ป๋อฝูพยักหน้ารับ ก่อนจะส่ายหน้า ในที่สุดก็เปิดปากพูดประโยคแรกอย่างจริงใจว่า “ผู้เยาว์ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจเป็นเพราะเจ้านครต้องการให้ข้าเข้าใจหรือไม่”

เหตุผลนั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง บุคคลประดุจเทพอย่างเจิ้งจวีจงนี้ ไม่ว่าจะพูดจา การกระทำหรือการฝึกตน จะเรียบง่ายได้หรือ? ไม่ว่าคำที่เขาพูดจะเป็นถ้อยคำที่ย้อนกลับสู่ความเป็นจริงอย่างไร ไฉ่ป๋อฝูก็เชื่อมั่นอยู่ตลอดว่าเจ้านครจะไม่ถึงขั้นพูดถ้อยคำที่ตัวเองฟังเข้าใจทั้งหมดแน่นอน

ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ที่ฝึกตนอยู่ในนครจักรพรรดิขาว ไฉ่ป๋อฝูเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่งอย่างแท้จริงแล้ว

คนที่โชคดีง่ายที่จะเรียนรู้เอาอย่างคนที่โชคดี ราวกับว่าไม่ว่าเรียนรู้เรื่องอะไรไปก็ล้วนถูกต้องทั้งหมด แต่คนโง่กลับยากที่จะเรียนรู้ได้อย่างคนฉลาด

เจิ้งจวีจงใช้สองนิ้วทิ่มไปตรงหว่างคิ้วของไฉ่ป๋อฝูอยู่ไกลๆ ไฉ่ป๋อฝูก็คล้ายคนโง่ที่สติปัญญาพลันเปิดกว้าง พริบตาเดียวก็หวนคืนสู่ขอบเขตก่อกำเนิด เป็นไปตามธรรมชาติดุจน้ำมาคลองสำเร็จ

ในสายตาของหันเชี่ยวเซ่อที่อยู่อีกมุมหนึ่งในห้อง ภาพที่นางมองเห็นก็คือกู้ช่านเคาะประตูแล้วเปิดออก ยืนอยู่ข้างนอก เบี่ยงตัวหลีกทางให้ จากนั้นศิษย์พี่ก็ให้กู้ช่านและไฉ่ป๋อฝูเข้ามาในห้องด้วยกัน สอบถามถึงปมของโรคจากด่านการฝึกตนของไฉ่ป๋อฝู แล้วช่วยไขข้อข้องใจไปทีละข้อ ดังนั้นหันเชี่ยวเซ่อจึงประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดศิษย์พี่ถึงยินดีเปลืองน้ำลายพูดคุยกับเศษสวะผู้นี้ ไม่ถูกสิ ไฉ่ป๋อฝูคือเศษสวะที่ไม่หักไม่ลบจริงๆ แต่ศิษย์พี่กลับไม่เคยเปลืองน้ำลายพูดจาเหลวไหล หรือว่าเขาคิดจะใช้หินของภูเขาลูกอื่นมาขัดเกลาหยกของตัวเอง อันที่จริงกำลังอาศัยโอกาสนี้ชี้แนะมรรคกถาให้แก่ลูกศิษย์อย่างกู้ช่าน

ตอนนั้นหลังจากที่กู้ช่านเปิดประตูแล้ว เขาก็เห็นว่าในห้องมีแค่อาจารย์อย่างเจิ้งจวีจงที่กำลังเล่นหมากล้อมกับตัวเอง ไม่มีอาจารย์อาหญิงอย่างหันเชี่ยวเซ่ออยู่ หลังจากที่ตนเองปิดประตูลง เห็นไฉ่ป๋อฝูเพิ่งจะข้ามธรณีประตูเข้าไป สองขาก็อ่อนยวบ คุกเข่าลงบนพื้น ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มหมอบกราบร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลไม่ยอมลุกขึ้นมา

ส่วนเจิ้งจวีจงตัวจริงนั้นยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ปล่อยให้ ‘เจิ้งจวีจง’ ที่นั่งอยู่ช่วยถ่ายทอดวิชาให้กับไฉ่ป๋อฝู ในความเป็นจริงแล้วบทสนทนาทำนองนี้ระหว่างไฉ่ป๋อฝูกับ ‘เจิ้งจวีจง’ เกิดขึ้นหลายสิบครั้งแล้ว เพียงแต่ว่าเจิ้งจวีจงไม่ค่อยพอใจผลลัพธ์บางอย่างสักเท่าไร เพราะยังไม่เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้จึงถอนความทรงจำเหล่านั้นของไฉ่ป๋อฝูทิ้งไป หยกดิบจำเป็นต้องขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำล่าถึงจะกลายเป็นหยกงามได้

แสงจันทร์นอกหน้าต่างของเรือข้ามฟากส่องประกายสว่างไสว

เจิ้งจวีจงตัวจริงเอาสองมือไพล่หลัง ในมือถ้วนตำราม้วนหนึ่ง

ในบรรดาศิษย์น้องชายหญิงทั้งหลาย เจิ้งจวีจงไม่เหลือความสนใจที่จะปลูกฝังอบรมพวกเขาเท่าใดนัก สำหรับผู้ฝึกตนของนครจักรพรรดิขาวที่มีฟู่จิ้นเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว เจิ้งจวีจงเจ้านครไม่ค่อยเผยโฉม น้อยครั้งนักที่จะตั้งใจถ่ายทอดมรรคาให้กับใคร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้จะเป็นแค่ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลที่คุณสมบัติแย่ที่สุดของนครจักรพรรดิขาว ยามที่เจิ้งจวีจงอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็มักจะขัดเกลาพวกเขาด้วยมือตัวเอง แต่ส่วนใหญ่กลับถูกเจิ้งจวีจงลบความทรงจำทิ้งไป หรือหากรู้สึกพอใจแล้วก็จะทิ้งเส้นสายในหัวใจที่พวกผู้ฝึกตนเหล่านั้นไม่รู้ตัวเอาไว้ ทั้งช่วยปูเส้นทางสร้างสะพานให้ มองดูเหมือนเป็นทางเส้นเล็กไส้แกะ แต่แท้จริงแล้วกลับมีหวังที่จะเดินขึ้นสู่ที่สูงทีละน้อย และเส้นทางกว้างใหญ่บางอย่างแท้จริงแล้วกลับกลายเป็นทางหัวขาด จึงต้องถูกสะบั้นเสียแต่เนิ่นๆ เอาปลามาให้ไม่สู้สอนวิธีตกปลา เจิ้งจวีจงรู้สึกมาโดยตลอดว่าเส้นทางการเดินขึ้นเขาของผู้ฝึกตนไม่ได้อยู่แค่ใต้ฝ่าเท้าเท่านั้น แต่ควรอยู่ในใจ

แต่เพราะวิธีการของเจิ้งจวีจงผีไม่รู้เทพไม่เห็นเกินไป ถึงได้ทำให้เจ้านครเหมือนเทวดาที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเมฆหลากสี ยากที่จะพบเจอ

ลูกศิษย์เปิดขุนเขา ฟู่จิ้นฝึกกระบี่ เวทกระบี่ยิ่งนานก็ยิ่งใกล้ชิดกับอาจารย์ปู่ผู้พิฆาตมังกรของเขา

ลูกศิษย์คนสุดท้าย การฝึกตนของกู้ช่าน คือการเคารพฟ้าดินและเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามของเฉินผิงอัน แล้วก็เป็นการ ‘แยกหมื่นสรรพสิ่งมาหล่อหลอมให้ตัวเองใช้’ ที่เชี่ยวชาญเข้าขั้นสุดยอดของอู๋ซวงเจี้ยง ทั้งยังเป็น ‘หนอนหนังสือเฒ่าล้านเล่ม กลืนกินตัวอักษรเทพเซียน’

แสงจันทร์ยามราตรี

เปิดหน้าต่างใต้แสงจันทร์ เป็นเจ้าที่อ่านหนังสือหรือหนังสือที่อ่านเจ้า หรือดวงจันทร์ให้เจ้ายืมแสงอ่านตำรา?

หนึ่งในร่างแยกของเจิ้งจวีจงเคยถามมรรคาถกความรู้กับชุยฉานที่รู้รากฐานของเขาครั้งหนึ่งในถ้ำสวรรค์ฉานเจวียน

ตอนนั้นชุยฉานถามคำถามหนึ่งที่ดีมาก แสงจันทร์สว่างไสวกระจกใสเรืองรอง เงยหน้าเห็นดวงจันทร์ ใครเป็นใคร คนในกระจกยังคงเป็นข้าหรือไม่?

เจิ้งจวีจงชอบพูดคุยกับคนฉลาด ไม่เปลืองแรง ถึงขั้นที่ว่าต่อให้แค่ได้คุยเล่นกันไม่กี่ประโยคก็ยังสร้างประโยชน์ให้กับมหามรรคาของตนได้หลายส่วน

เขาเคยหาเส้นทางสามเส้นในการเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ให้กับตัวเอง ล้วนสามารถทำได้ เพียงแต่ว่ายากง่ายต่างกัน มีความต่างบ้างเล็กน้อย ความกังวลใหญ่สุดของเจิ้งจวีจงก็คือหลังจากเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วควรจะเดินขึ้นฟ้าอย่างไร สุดท้ายแล้วเส้นทางไหนถึงจะทำให้ความสำเร็จบนมหามรรคาสูงยิ่งกว่า จำเป็นต้องมีการอนุมานอย่างต่อเนื่อง

ปีนั้นอยู่ในถ้ำสวรรค์ฉานเจวียน ชุยฉานมองหนึ่งในร่างแยกของเจิ้งจวีจงออก ถือเป็นการพบเจอกันอีกครั้งหลังจากการเล่นหมากล้อมเมฆหลากสีของทั้งคู่ในปีนั้น ชุยฉานเสนอความคิดเรื่องการแบ่งจิตวิญญาณเป็นสองส่วนให้เขาฟังอย่างเปิดเผย พยายามเปลี่ยนออกมาเป็นสอง เป็นสามหรือมากกว่านั้นให้ได้ก่อน แล้วค่อยพยายามหวนกลับมารวมเป็นคนคนเดียว ไม่เพียงแต่อธิบายขั้นตอนอย่างละเอียดทั้งหมด ชุยฉานยังยินดีให้เจิ้งจวีจงอาศัยโอกาสนี้พิศมรรคาหนึ่งครั้ง

อันที่จริงภายหลังชื่อของชุยตงซานนั้นก็เป็นเจิ้งจวีจงที่ช่วยตั้งให้ในเวลานั้น บอกว่าให้เป็นนิมิตหมายที่ดี

คาดว่านี่ก็คงเป็นความเห็นที่ตรงกันโดยบังเอิญ เพราะแบ่งหนึ่งออกเป็นสอง อันที่จริงนี่ก็คือหนึ่งในสามเส้นทางที่เจิ้งจวีจงต้องเดินผ่าน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!