เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก มองกรอบป้ายบนซุ้มประตูตรงตีนภูเขาแล้วเอ่ยว่า “ตัวอักษรเขียนไม่สวยเท่าไร ยังไม่น่ามองเท่าดอกซิ่งข้างทางเลยด้วยซ้ำ”
สำนักแห่งนี้ชื่อว่าสั่วอวิ๋น ตั้งอยู่ในแถบภาคกลางค่อนไปทางเหนือของอุตรกุรุทวีป เชี่ยวชาญการกำราบและกักขังผี หลอมธูปภูเขาและวาดภาพเทพทวารบาล
สำนักตระกูลเซียนของอุตรกุรุทวีปคือสถานที่แห่งเดียวในบรรดาเก้าทวีปของไพศาลที่ทุกตระกูลล้วนสร้างค่ายกลให้กับศาลบรรพจารย์ของตัวเอง อีกทั้งยังไม่มีการออมแรงมากที่สุด บนภูเขาของทวีปอื่นส่วนใหญ่ล้วนให้ความสำคัญกับการรักษาประคับประคองค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขา ส่วนใหญ่แล้วจะสร้างตราผนึกขุนเขาสายน้ำให้กับศาลบรรพจารย์แค่พอเป็นพิธีมากกว่า
หลิวจิ่งหลงใช้เสียงในใจถาม “ต่อจากนี้จะเอาอย่างไร?”
เรื่องอย่างการถามกระบี่ต่อศาลบรรพจารย์นี้ หลิวจิ่งหลงเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก ความตั้งใจเดิมของเขาก็คือคนทั้งสองไม่ต้องพลิ้วกายลงที่ประตูภูเขา แต่ทะยานลมตรงไปหยุดลอยอยู่กลางอากาศโดยตรง แล้วเขากับเฉินผิงอันก็ส่งกระบี่อยู่ไกลๆ สองสามที แบ่งศาลบรรพจารย์ออกเป็นสองส่วน เท่านี้ก็เรียบร้อย สามารถกลับไปได้แล้ว
ส่วนค่ายกลของศาลบรรพจารย์ภูเขาสั่วอวิ๋นนั้น มีตราผนึกแห่งขุนเขาสายน้ำบนยอดเขาหลักกี่แห่ง ระหว่างที่เดินทางมา หลิวจิ่งหลงได้อธิบายให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียดแล้ว
แต่เฉินผิงอันกลับไม่เห็นด้วย บอกว่าทะยานลมเดินทางมาตั้งไกลขนาดนี้เป็นเพื่อนเจ้า ผลคือฟันกระบี่แค่ทีสองทีก็เผ่นหนี นี่เจ้าหลิวเซียนสุราดื่มเหล้าเมาแล้วก็เลยพูดจาเหลวไหลของคนเมาหรือ?
เฉินผิงอันกล่าว “เอาอย่างไร? ก็ขึ้นเขาไปน่ะสิ พวกเราเดินกันไปตลอดทางจนถึงหน้าประตูศาลบรรพจารย์แล้วค่อยออกกระบี่”
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิวจิ่งหลงคือหนึ่งในกระบี่บินที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เฉินผิงอันเคยเห็นกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่มา จิตแห่งมรรคาและปณิธานกระบี่คือคำว่า ‘กฎเกณฑ์’ แค่ได้ยินชื่อนี้ก็รู้แล้วว่าไม่ควรไปมีเรื่องด้วย
แล้วนับประสาอะไรกับที่ ‘กฎเกณฑ์’ เล่มหนึ่งยังสามารถสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ราวกับว่าเพียงแค่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มเดียวก็สามารถนำมาใช้เป็นกระบี่บินสองเล่มอย่างนกในกรงและจันทร์ในบ่อของเฉินผิงอันได้แล้ว คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตาย โชคดีที่เป็นเพื่อนกัน ดื่มเหล้าก็ดื่มไม่เก่งเท่า เฉินผิงอันจึงได้แต่อดทนข่มกลั้นแล้ว
หลิวจิ่งหลงเอ่ยเตือนว่า “ข้าสามารถไปที่ยอดเขาหย่างอวิ๋นเป็นเพื่อนเจ้าได้ แต่เจ้าจำไว้ว่าต้องเก็บหมัดและเท้าให้ดี”
เฉินผิงอันเหน็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงข้างเอวอีกครั้ง ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ารู้น่า”
ภูเขาบรรพบุรษของสำนักสั่วอวิ๋นเบื้องหน้าคนทั้งสองมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด ลักษณะเหมือนไม้แห้งท่อนหนึ่ง มีหน้าผาสูงชันสี่ด้าน ตรงกึ่งกลางของภูเขาพื้นที่ภูเขาครึ่งหนึ่งไม่มีทางให้เดินต่อ เหลือเพียงทางเส้นเดียวที่อ้อมวนขึ้นไปจากด้านข้าง จากนั้นก็กลายมาเป็นยอดเขาหลายแห่ง สูงต่ำต่างกัน หนึ่งในนั้นคล้ายที่วางพู่กัน สีของภูเขาเขียวขจี ราวกับว่ามีกลุ่มพืชพรรณงอกงามเติบโต พอจะมองเห็นได้รำไรว่ามีตัวอักษรแกะสลักไว้บนหน้าผาว่า ‘ภูเขาชิงจือเล็ก’ ยอดเขาสูงอีกแห่งหนึ่งสูงชันอันตรายอย่างยิ่ง ตรงยอดบนสุดเป็นช่องรู ผนังสี่ด้านลาดชัน คล้ายกับดวงจันทร์ที่ลอยอยู่ตรงขอบฟ้า และภูเขาที่ตั้งของศาลบรรพจารย์สำนักสั่วอวิ๋นก็อยู่สูงที่สุด มีชื่อว่ายอดเขาหย่างอวิ๋น
บรรพจารย์ในสำนักที่มีลำดับอาวุโสสูงที่สุดเป็นขอบเขตเซียนเหริน มีชื่อว่าเว่ยจิงชุ่ย ฉายาเฟยชิง
หยางเชว่เจ้าสำนักคนปัจจุบันขอบเขตหยกดิบ ฉายาคือกวานเหมย และยังมีเค่อชิงอันดับหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าอยู่อีกคน ชุยกงจ้วง ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่บนภูเขาหรือไม่
เป็นสำนักใหญ่แห่งหนึ่ง
นอกจากมีห้าขอบเขตบนสองคนเฝ้าพิทักษ์แล้ว ยอดเขาแต่ละแห่งยังมีผู้ฝึกตนเซียนดินที่มีชื่อเสียงมานานแล้วอยู่อีกหลายคน
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิงว่า “ศัตรูผู้แข็งแกร่งบนภูเขามากมายดุจก้อนเมฆ เจ้าไม่ต้องดื่มเหล้าระงับความตกใจก่อนจริงๆ หรือ?”
หลิวจิ่งหลงหัวเราะหึหึ “หนี้เก่ากองเป็นพะเนิน ปกติแล้วข้าไม่ด่าคนหรอกนะ”
เว่ยท่องราตรีแห่งบุรพแจกันสมบัติทวีป หลิวเซียนสุราแห่งอุตรกุรุทวีป
สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ล้วนเป็นใครที่มอบให้?
เฉินผิงอันตบไหล่หลิวจิ่งหลง “ใช่ อย่าด่าคนส่งเดช พวกเราล้วนเป็นบัณฑิต ด่าคนยามเมาคือข้อห้ามใหญ่สุดบนโต๊ะสุรา ง่ายที่จะกลายเป็นชายโสดขึ้นคาน”
ครั้งนี้เฉินผิงอันมาเยี่ยมเยือนสำนักสั่นอวิ๋นได้สวมหน้ากากของผู้เฒ่าคนหนึ่ง ระหว่างทางได้เปลี่ยนมาสวมชุดนักพรตเต๋าที่ไม่รู้ไปหามาจากไหนอยู่นานแล้ว แล้วยังสวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะ พอเจอกับคนเฝ้าประตูก็ก้มหัวคารวะ พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “นั่งไม่เปลี่ยนชื่อเดินไม่เปลี่ยนแซ่ ข้าชื่อเฉินคนดี ฉายาอู๋ตี๋ (ไร้ศัตรูทัดทาน) ลูกศิษย์ข้างกายชื่อว่าหลิวเต้าหลี่ ตอนนี้ยังไม่มีฉายา สองอาจารย์และศิษย์อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงเดินทางท่องเที่ยวจนมาถึงที่แห่งนี้ เคยชินกับการเดินเท้า ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักสั่วอวิ๋นพวกเจ้ามาขวางทางของพวกข้าโดยไม่ทันระวัง จึงเป็นเหตุให้ผินเต้ากับลูกศิษย์ที่ไม่ได้ความคนนี้ต้องรื้อศาลบรรพจารย์ของพวกเจ้า รบกวนไปแจ้งสักคำ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเสียมารยาท”
คนเฝ้าประตูตรงตีนเขาของสำนักสั่วอวิ๋นคือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่มีโฉมหน้าอ่อนเยาว์คนหนึ่ง อันที่จริงอายุกลับไม่น้อยแล้ว แล้วก็เห็นคลื่นลมมรสุมมาจนเคยชิน แต่กระนั้นพอได้ยินประโยคนี้ก็ยังปากอ้าตาค้าง เนิ่นนานก็ยังไม่คืนสติกลับมา
นักพรตเฒ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้พูดภาษากลางของอุตรกุรุทวีปด้วยสำเนียงที่ถูกต้องเหมือนคนท้องถิ่น แน่นอนว่าเขาย่อมฟังคำพูดของอีกฝ่ายเข้าใจแจ่มแจ้ง ทว่าแต่ละคำแต่ละประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาคล้ายว่าจะผิดปกติไปทุกอย่าง คนเฝ้าประตูผู้นี้จึงไม่ทันเกิดอารมณ์โมโหขับไล่คน จากนั้นคนเฝ้าประตูก็หัวเราะอย่างอดไม่อยู่ ไม่รู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย กลับกันยังรู้สึกแค่ว่าน่าตลก อยู่ดีๆ ตรงหน้าก็มีเจ้าโง่สองคนโผล่มาให้ดูเสียอย่างนั้น
หลิวจิ่งหลงเสียใจภายหลังแล้วที่มาถามกระบี่กับเฉินผิงอัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!