กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 813

หวงเหอกล่าว “หากข้าไม่กลับมา ซ่งเต้ากวง ไจ้เสียง สิงโหย่วเหิง หนันกงซิงเหยี่ยน คนพวกนี้ ต่อให้ทุกวันนี้ขอบเขตจะยังต่ำกว่าเจ้า แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นเจ้าสวนลมฟ้าได้ มีเพียงเจ้าที่เป็นไม่ได้”

“พอได้ยินข้าพูดแบบนี้ กลับกลายเป็นว่าเจ้าโล่งใจมากกว่าเดิมใช่ไหม?”

“ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าเจ้าคือเศษสวะ สายตาในการเลือกคนของอาจารย์พลาดแค่สองครั้งเท่านั้น ดังนั้นความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของหลิวป้าเฉียวก็คือทำให้อาจารย์มองคนผิด”

หวงเหอพูดแบบนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง

หลิวป้าเฉียวเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าคนแซ่หวง ข้าก็มีอารมณ์เหมือนกันนะ หากเจ้ายังไม่แล้วไม่เลิกอยู่แบบนี้…ระวังว่าข้าจะไม่สนเจ้าสวนไม่เจ้าสวนอะไร ศิษย์พี่ไม่ศิษย์พี่อะไร ข้าจะต้องด่าแสกหน้าเจ้าแน่”

มุมปากของหวงเหอกระตุกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา

ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็มีท่าทางเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่ค่อยเคยเป็นมาก่อน หวงเหอส่ายหน้า ยกมือสองข้างขึ้น ถูมือเข้าหากันเพื่อหาความอบอุ่น เอ่ยเสียงเบาว่า “ตายดีไม่สู้มีชีวิตอยู่อย่างเกียจคร้าน ชั่วชีวิตนี้เจ้าคงเป็นเช่นนี้แล้วกระมัง ป้าเฉียว เจ้ารับปากศิษย์พี่สักเรื่อง ภายในร้อยปีพยายามฝ่าทะลุขอบเขตไปอีกขั้น หลังจากนั้นไม่ว่าจะนานกี่ปี จะดีจะชั่วก็อดทนไปให้ถึงขอบเขตเซียนเหริน ข้าก็จะไม่ผิดหวังในตัวเจ้าแล้ว”

ไม่เคยเกรงใจอะไรกับหลิวป้าเฉียว เข้มงวดห่างเหิน เพราะส่วนลึกในใจของหวงเหอหวังว่าศิษย์น้องคนนี้จะสามารถเดินเคียงบ่าไปกับตน เดินขึ้นสู่ที่สูงไปยังยอดเขาของวิถีกระบี่ด้วยกัน

ตอนนี้เรียกว่าป้าเฉียว ไม่เรียกแซ่ เป็นเพราะเขามองอีกฝ่ายเป็นศิษย์น้องอย่างแท้จริง หวังว่าอีกฝ่ายจะสามารถใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าที่ไม่ใช่เจ้าสวนมามีชีวิตอยู่ให้ดีๆ

หลิวป้าเฉียวอาจจะเป็นศิษย์น้อง เป็นลูกศิษย์ เป็นบุรุษที่ดีมากคนหนึ่ง แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ผ่านเกณฑ์

หลิวป้าเฉียวไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่ฟุบตัวลงบนราวรั้ว เม้มปาก ในดวงตามีอารมณ์อันละเอียดอ่อนซุกซ่อนอยู่

ถึงท้ายที่สุดหลิวป้าเฉียวก็วางคางลงบนหลังมือ เพียงแค่เอ่ยเบาๆ ว่า “ขอโทษนะศิษย์พี่ เป็นข้าที่เป็นตัวถ่วงท่านและสวนลมฟ้า”

หวงเหอลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกมาวางบนศีรษะของหลิวป้าเฉียว “ไม่เป็นไร”

ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สำนักซานไห่

ยังคงเป็นที่ริมหน้าผาที่ได้พบเจอกับคนชุดเขียวนั้น

น่าหลันเซียนซิ่ว ผู้ฝึกกระบี่เฟยชุ่ย และยังมีแม่นางน้อยคนนั้น พวกนางยังคงชอบมาชมทัศนียภาพที่นี่

แม่นางน้อยที่ขอบเขตต่ำ ตัวก็เล็ก ตอนนั้นที่เพิ่งมาถึงสำนักซานไห่ พกร่มกระดาษน้ำมันคันเล็กติดกายมาแค่คันเดียว

นางตั้งชื่อให้กับตัวเองว่าเชิงฮวา

น่าหลันเซียนซิ่วพกกระบอกยาสูบไว้ตรงเอว วันนี้ไม่ได้พ่นควันขโมงตลอดทั้งวันอย่างที่หาได้ยาก เพียงแค่นั่งขัดสมาธิ ทอดสายตามองไปไกล มองขุนเขาและมหาสมุทร

แม่นางน้อยเชิงฮวาเพิ่งจะมัดหุ่นฟางตัวจิ๋วตัวหนึ่งเสร็จ นางโยนมันไปบนเสื่อไม้ไผ่ครั้งแล้วครั้งเล่า หรือไม่ก็จะปล่อยหมัดต่อยใส่มัน จากนั้นยกสองแขนกอดอก จ้องมองหุ่นฟางจิ๋วเขม็ง แค่นเสียงพูดในลำคอ”จะต่อยเจ้าคนชั่วอย่างเจ้าให้ตายเลย”

น่าหลันเซียนซิ่วเอ่ยกับเด็กสาวผู้ฝึกตนผีที่อยู่ข้างกาย “ชอบใครไม่ชอบ ดันไปชอบบุรุษคนนั้น จะไม่เป็นทุกข์ได้อย่างไร”

รู้ดีที่สุด ดังนั้นจึงไม่รู้ที่สุดว่าความรักคืออะไร

ชอบซิ่วหู่ชุยฉานผู้นั้น อันที่จริงน่าเบื่อยิ่งกว่าชอบจั่วโย่วเสียอีก ฝ่ายหลังไม่รู้จริงๆ แต่ฝ่ายแรกกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้

เฟยชุ่ยนอนคว่ำอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ มีความงามดุจเทือกเขาที่โค้งขึ้นเว้าลง บุรุษล้วนชอบกันทั้งนั้น บางทีอาจเป็นหลักการเดียวกับคำกล่าวที่ว่ามองภูเขาไม่ชอบความราบเรียบ

เฟยชุ่ยผู้ฝึกตนผีที่มีรูปโฉมเป็นเด็กสาว อันที่จริงรูปโฉมเดิมของนางไม่ได้เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าไม่อาจฝ่าคอขวดของด่านเป็นตายได้ หลังจากที่สละศพทิ้งก็จำต้องกลายมาเป็นผู้ฝึกตนผี

แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับเรือนกายและใบหน้าของในอดีตแล้ว เนื้อหนังมังสาของเฟยชุ่ยในทุกวันนี้งดงามน่ามองกว่ามากนัก

อันที่จริงหากนางฝึกตนไปตามลำดับขั้นตอน ก็ไม่ต้องถึงขั้นมีจุดจบด้วยการต้องสละร่างทิ้ง ผ่านไปอีกสักสองร้อยสามร้อยปี อาศัยการขัดเกลาที่เหมือนน้ำเซาะก็จะเลื่อนเป็นเซียนเหรินได้

ทว่าเมื่อสงครามใหญ่เปิดฉากขึ้น ดูเหมือนว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะยึดครองใบถงทวีปไปได้ในชั่วพริบตา แล้วทำสงครามจนไปถึงนครมังกรเฒ่า

นางจึงรอไม่ไหว

ผลล่ะเป็นเช่นไร? ไม่เพียงแต่ไม่ฝ่าทะลุขอบเขต ยังไม่ทันได้พบหน้าชุยฉานสักครั้งก็เท่ากับว่าตายไปแล้วครั้งหนึ่ง

ก่อนหน้านั้นน่าหลันเซียนซิ่วได้เกลี้ยกล่อมนาง บอกว่าการชอบคนคนหนึ่งทำให้เจ้าเป็นขอบเขตหยกดิบก็ยังไม่กล้าไปหา ต่อให้เป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้วค่อยไปหาก็มีแต่จะได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน

เพียงแต่ว่าเฟยชุ่ยมีเหตุผลเป็นของตัวเอง คิดอยากจะใช้ขอบเขตเซียนเหรินไปเยือนที่นั่น ไม่ใช่เพื่อให้เขาชอบตัวเอง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแค่เพราะตนชอบคนคนหนึ่งจึงคิดอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเขาบ้าง

แล้วทำไมนางถึงได้ชอบเขาขนาดนี้?

เขาหล่อ

ไม่เพียงแค่รูปโฉมของชุยฉานตอนเป็นหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาเท่านั้น ยังมีตอนที่เล่นหมากกระดานเมฆหลากสี ความคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหลยามที่คีบเม็ดหมากขึ้นมาแล้ววางลงบนกระดานหมากอีกครั้ง และยิ่งความมีชีวิตชีวาสดใสทำนองว่า ‘เมื่อข้านั่งลงเจ้าจะต้องแพ้’ อย่างยามที่ถกปัญหากับคนอื่นในสำนักศึกษานั่นอีก

นางเคยโชคดีได้พบเห็นมาก่อน

และยังมียามที่อากาศหนาวเหน็บเกล็ดหิมะโปรยปราย บัณฑิตหนุ่มเดินทางมาเที่ยวที่สำนักซานไห่พร้อมกับอาเหลียง อาเหลียงกำลังก่อเรื่อง แต่เขาที่อยู่ริมหน้าผาเพียงลำพังกลับกำลังเอ่ยขออภัยคนอื่น

เคยยืนอยู่ในสถานที่ที่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าว ใบหน้าประดับรอยยิ้มอบอุ่น มองนางเอ่ยว่าสวัสดี ข้าชื่อชุยฉาน เป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง

ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

หนันกวงจ้าวผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหวนกลับไปยังสำนักเพียงลำพัง เขาขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะพบว่าตรงหน้าประตูมีคนแปลกหน้านั่งอยู่ตรงนั้น กระบี่ยาวถูกชักออกจากฝักวางพาดขวางไว้บนหัวเข่า ปลายนิ้วลูบตัวกระบี่เบาๆ

คล้ายกำลังรอคน

หนันกวงจ้าวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพลิ้วกายลงที่หน้าประตูภูเขา ถามว่า “เจ้าคือใคร?”

มืออีกข้างหนึ่งของชุยกงจ้วงต่อยเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย พายุหมัดของผู้ฝึกยุทธดุจสายรุ้งยิ่งใหญ่ หนึ่งหมัดปล่อยไปอย่างว่องไวราวกระบี่บิน ทว่าคนผู้นั้นกลับแค่ยื่นฝ่ามือออกมาบังหมัดนั้นของชุยกงจ้วงแล้วผลักออกเบาๆ มองสบตากับอีกฝ่าย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต่อยคนต่อยเข้าหน้าไม่มีคุณธรรมเลยนะ ยังรู้จักหลักคุณธรรมของชาวยุทธอยู่หรือไม่”

ชุยกงจ้วงยกเข่าขึ้นตี คนผู้นั้นก็ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลง ร่างของชุยกงจ้วงจึงกระโจนหน้าคว่ำลงพื้นอย่างเลี่ยงไม่ไหว ทว่าก็ฉวยโอกาสนี้ปล่อยสองหมัดออกมา

เฉินผิงอันเบี่ยงตัว ยกเท้ากวาดไปในแนวขวาง เตะจนชุยกงจ้วงลอยหวือขึ้น ร่างงองุ้มลงในเสี้ยววินาที ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแดงฉาน เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักอีกเล็กน้อย เปลี่ยนทิศทางอีกนิดหน่อย ชุยกงจ้วงที่ถูกเตะก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้น

ตอนที่ชุยกงจวงล้มไปกองกับพื้น เขาได้หยิบเม็ดเสื้อเกราะเม็ดหนึ่งออกมาสวมไว้บนร่างในทันทีทันใด นอกจากเสื้อเกราะจินอูชิ้นนี้แล้ว ด้านในยังสวมเสื้อเกราะหลิงเป่าชุดคลุมอาคมของผู้ฝึกตนที่ค่อนข้างอ่อนนุ่มจากศาลซานหลางไว้ด้วย

เฉินผิงอันจงใจไม่ขัดขวาง

ออกจากบ้านเก็บของได้รายทางก็มาจากเรื่องแบบนี้แหละ

ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์ มัลละเกราะหลากสีสูงร้อยจั้งตนหนึ่งยืนตระหง่าน บนเสื้อเกราะเต็มไปด้วยอักขระยันต์ลายเมฆมากมายนับไม่ถ้วน เป็นบรรพจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัยของสำนักสั่วอวิ๋นที่ช่วยกันปลุกเสกขึ้นมา ยันต์แม่ทัพเทพเบิกตาสีทองอ่อนคู่นั้นขึ้นมา ในมือถือแท่งเหล็กหมายจะฟาดลงไป เพียงแต่ว่าตอนที่มันปรากฎตัวกลับถูกปราณกระบี่สีทองทั้งหลายของหลิวจิ่งหลงพันธนาการเอาไว้ พริบตาเดียวเสื้อเกราะหลากสีจึงเหมือนกลายมาเป็นเสื้อเกราะสีทอง

ส่วนหลิวจิ่งหลงกลับยืนนิ่งไม่ขยับ

นาทีถัดมา มัลละแม่ทัพเทพสูงร้อยจั้งตนนี้ก็ถูกเส้นสีทองกรีดเฉือนออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย แม้ว่าปณิธานของอักขระลายเมฆจำนวนมากจะเชื่อมต่อติดกันเหมือนสายบัวที่ถูกตัดขาดแต่ยังเหลือใย ทว่าเรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารนั้นก็ง่อนแง่นจะล้มมิล้มแหล่อยู่ดี

หยางเชว่เอ่ยเสียงหนัก “ถามกระบี่ครั้งนี้ เป็นพวกเราที่แพ้แล้ว”

เว่ยจิงชุ่ยอึ้งตะลึง เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “หยางเชว่ เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!”

หยางเชว่กลับไม่สนใจความเดือดดาลของอาจารย์ลุงแม้แต่น้อย เพียงแค่มองไปยัง ‘นักพรตเฒ่า’ ที่สวมหน้ากาก ถามอีกครั้งว่า “ขอถามว่าเจ้าคือใคร?”

คนที่ป่าวประกาศไปว่าสำนักกระบี่ไท่ฮุยเป็นแค่ชั้นวางที่ว่างเปล่าก็คืออาจารย์ลุงข้างกายท่านนี้ อันที่จริงส่วนลึกในใจของหยางเชว่กลับไม่เห็นด้วย จะไปหาเรื่องสำนักกระบี่ไท่ฮุยทำไม เพราะว่าในอดีตอาจารย์ลุงท่านเคยมีความแค้นส่วนตัวน้อยนิดกับหวงถงผู้คุมกฎคนก่อนของพวกเขาเท่านั้นหรือ? เพียงแต่ว่าทั้งตบะและความอาวุโสของอาจารย์ลุงล้วนวางอยู่ตรงนั้น อีกทั้งฝ่ายที่เป็นชั้นวางที่ว่างเปล่าอย่างแท้จริงใช่สำนักกระบี่ไท่ฮุยเสียที่ไหน? คือเจ้าสำนักในนามของสำนักสั่วอวิ๋นอย่างตนต่างหาก ยอดเขาต่างๆ ของภูเขาบรรพบุรุษ มีใครที่ฟังคำสั่งจากตนบ้าง หากไม่เป็นเพราะลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายของเว่ยจิงชุ่ยยังไม่อาจเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้ ตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ก็ไม่มีทางวนมาให้หยางเชว่ที่มาจากสายอื่นได้นั่งแน่นอน

หลิวจิ่งหลงใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน “ไม่ต้องสนใจ”

เฉินผิงอันส่ายหน้า สลายเวทอำพรางตาที่เป็นชุดนักพรตเต๋าและกวานดอกบัวทิ้งไป ยื่นมือมาดึงหน้ากากออก เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า “เฉินผิงอันแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่”

แน่นอนว่าคนทั้งสามของสำนักสั่วอวิ๋นต้องรู้จักกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงแต่ชื่อเฉินผิงอันนี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

ทว่าพอได้ยินว่าคนผู้นี้มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้เป็นเซียนเหรินผู้เฒ่าก็ยังขนลุกชัน ชุยกงจ้วงที่สวมเสื้อเกราะก็ยิ่งลุกพรวดขึ้นมา ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

ก็เหมือนอย่างที่หลิวจิ่งหลงบอก ยามที่ผู้ฝึกตนของสำนักสั่วอวิ๋นลงจากภูเขามักจะลงมือทำเรื่องต่างๆ อย่างมั่นคง ภูเขาลูกนี้ก็ยิ่งเป็นภูเขาที่ไม่ชอบการเดินทางไกลจำนวนไม่มากของอุตรกุรุทวีป

หลิวจิ่งหลงอดไม่ไหวยิ้มกล่าว “กระอักกระอ่วนแล้วล่ะสิ?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “แค่รู้ว่าข้ามาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็พอแล้ว”

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!