หวงเหอกล่าว “หากข้าไม่กลับมา ซ่งเต้ากวง ไจ้เสียง สิงโหย่วเหิง หนันกงซิงเหยี่ยน คนพวกนี้ ต่อให้ทุกวันนี้ขอบเขตจะยังต่ำกว่าเจ้า แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นเจ้าสวนลมฟ้าได้ มีเพียงเจ้าที่เป็นไม่ได้”
“พอได้ยินข้าพูดแบบนี้ กลับกลายเป็นว่าเจ้าโล่งใจมากกว่าเดิมใช่ไหม?”
“ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าเจ้าคือเศษสวะ สายตาในการเลือกคนของอาจารย์พลาดแค่สองครั้งเท่านั้น ดังนั้นความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของหลิวป้าเฉียวก็คือทำให้อาจารย์มองคนผิด”
หวงเหอพูดแบบนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง
หลิวป้าเฉียวเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าคนแซ่หวง ข้าก็มีอารมณ์เหมือนกันนะ หากเจ้ายังไม่แล้วไม่เลิกอยู่แบบนี้…ระวังว่าข้าจะไม่สนเจ้าสวนไม่เจ้าสวนอะไร ศิษย์พี่ไม่ศิษย์พี่อะไร ข้าจะต้องด่าแสกหน้าเจ้าแน่”
มุมปากของหวงเหอกระตุกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็มีท่าทางเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่ค่อยเคยเป็นมาก่อน หวงเหอส่ายหน้า ยกมือสองข้างขึ้น ถูมือเข้าหากันเพื่อหาความอบอุ่น เอ่ยเสียงเบาว่า “ตายดีไม่สู้มีชีวิตอยู่อย่างเกียจคร้าน ชั่วชีวิตนี้เจ้าคงเป็นเช่นนี้แล้วกระมัง ป้าเฉียว เจ้ารับปากศิษย์พี่สักเรื่อง ภายในร้อยปีพยายามฝ่าทะลุขอบเขตไปอีกขั้น หลังจากนั้นไม่ว่าจะนานกี่ปี จะดีจะชั่วก็อดทนไปให้ถึงขอบเขตเซียนเหริน ข้าก็จะไม่ผิดหวังในตัวเจ้าแล้ว”
ไม่เคยเกรงใจอะไรกับหลิวป้าเฉียว เข้มงวดห่างเหิน เพราะส่วนลึกในใจของหวงเหอหวังว่าศิษย์น้องคนนี้จะสามารถเดินเคียงบ่าไปกับตน เดินขึ้นสู่ที่สูงไปยังยอดเขาของวิถีกระบี่ด้วยกัน
ตอนนี้เรียกว่าป้าเฉียว ไม่เรียกแซ่ เป็นเพราะเขามองอีกฝ่ายเป็นศิษย์น้องอย่างแท้จริง หวังว่าอีกฝ่ายจะสามารถใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าที่ไม่ใช่เจ้าสวนมามีชีวิตอยู่ให้ดีๆ
หลิวป้าเฉียวอาจจะเป็นศิษย์น้อง เป็นลูกศิษย์ เป็นบุรุษที่ดีมากคนหนึ่ง แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ผ่านเกณฑ์
หลิวป้าเฉียวไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่ฟุบตัวลงบนราวรั้ว เม้มปาก ในดวงตามีอารมณ์อันละเอียดอ่อนซุกซ่อนอยู่
ถึงท้ายที่สุดหลิวป้าเฉียวก็วางคางลงบนหลังมือ เพียงแค่เอ่ยเบาๆ ว่า “ขอโทษนะศิษย์พี่ เป็นข้าที่เป็นตัวถ่วงท่านและสวนลมฟ้า”
หวงเหอลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกมาวางบนศีรษะของหลิวป้าเฉียว “ไม่เป็นไร”
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สำนักซานไห่
ยังคงเป็นที่ริมหน้าผาที่ได้พบเจอกับคนชุดเขียวนั้น
น่าหลันเซียนซิ่ว ผู้ฝึกกระบี่เฟยชุ่ย และยังมีแม่นางน้อยคนนั้น พวกนางยังคงชอบมาชมทัศนียภาพที่นี่
แม่นางน้อยที่ขอบเขตต่ำ ตัวก็เล็ก ตอนนั้นที่เพิ่งมาถึงสำนักซานไห่ พกร่มกระดาษน้ำมันคันเล็กติดกายมาแค่คันเดียว
นางตั้งชื่อให้กับตัวเองว่าเชิงฮวา
น่าหลันเซียนซิ่วพกกระบอกยาสูบไว้ตรงเอว วันนี้ไม่ได้พ่นควันขโมงตลอดทั้งวันอย่างที่หาได้ยาก เพียงแค่นั่งขัดสมาธิ ทอดสายตามองไปไกล มองขุนเขาและมหาสมุทร
แม่นางน้อยเชิงฮวาเพิ่งจะมัดหุ่นฟางตัวจิ๋วตัวหนึ่งเสร็จ นางโยนมันไปบนเสื่อไม้ไผ่ครั้งแล้วครั้งเล่า หรือไม่ก็จะปล่อยหมัดต่อยใส่มัน จากนั้นยกสองแขนกอดอก จ้องมองหุ่นฟางจิ๋วเขม็ง แค่นเสียงพูดในลำคอ”จะต่อยเจ้าคนชั่วอย่างเจ้าให้ตายเลย”
น่าหลันเซียนซิ่วเอ่ยกับเด็กสาวผู้ฝึกตนผีที่อยู่ข้างกาย “ชอบใครไม่ชอบ ดันไปชอบบุรุษคนนั้น จะไม่เป็นทุกข์ได้อย่างไร”
รู้ดีที่สุด ดังนั้นจึงไม่รู้ที่สุดว่าความรักคืออะไร
ชอบซิ่วหู่ชุยฉานผู้นั้น อันที่จริงน่าเบื่อยิ่งกว่าชอบจั่วโย่วเสียอีก ฝ่ายหลังไม่รู้จริงๆ แต่ฝ่ายแรกกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้
เฟยชุ่ยนอนคว่ำอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ มีความงามดุจเทือกเขาที่โค้งขึ้นเว้าลง บุรุษล้วนชอบกันทั้งนั้น บางทีอาจเป็นหลักการเดียวกับคำกล่าวที่ว่ามองภูเขาไม่ชอบความราบเรียบ
เฟยชุ่ยผู้ฝึกตนผีที่มีรูปโฉมเป็นเด็กสาว อันที่จริงรูปโฉมเดิมของนางไม่ได้เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าไม่อาจฝ่าคอขวดของด่านเป็นตายได้ หลังจากที่สละศพทิ้งก็จำต้องกลายมาเป็นผู้ฝึกตนผี
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับเรือนกายและใบหน้าของในอดีตแล้ว เนื้อหนังมังสาของเฟยชุ่ยในทุกวันนี้งดงามน่ามองกว่ามากนัก
อันที่จริงหากนางฝึกตนไปตามลำดับขั้นตอน ก็ไม่ต้องถึงขั้นมีจุดจบด้วยการต้องสละร่างทิ้ง ผ่านไปอีกสักสองร้อยสามร้อยปี อาศัยการขัดเกลาที่เหมือนน้ำเซาะก็จะเลื่อนเป็นเซียนเหรินได้
ทว่าเมื่อสงครามใหญ่เปิดฉากขึ้น ดูเหมือนว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะยึดครองใบถงทวีปไปได้ในชั่วพริบตา แล้วทำสงครามจนไปถึงนครมังกรเฒ่า
นางจึงรอไม่ไหว
ผลล่ะเป็นเช่นไร? ไม่เพียงแต่ไม่ฝ่าทะลุขอบเขต ยังไม่ทันได้พบหน้าชุยฉานสักครั้งก็เท่ากับว่าตายไปแล้วครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้านั้นน่าหลันเซียนซิ่วได้เกลี้ยกล่อมนาง บอกว่าการชอบคนคนหนึ่งทำให้เจ้าเป็นขอบเขตหยกดิบก็ยังไม่กล้าไปหา ต่อให้เป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้วค่อยไปหาก็มีแต่จะได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน
เพียงแต่ว่าเฟยชุ่ยมีเหตุผลเป็นของตัวเอง คิดอยากจะใช้ขอบเขตเซียนเหรินไปเยือนที่นั่น ไม่ใช่เพื่อให้เขาชอบตัวเอง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแค่เพราะตนชอบคนคนหนึ่งจึงคิดอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเขาบ้าง
แล้วทำไมนางถึงได้ชอบเขาขนาดนี้?
เขาหล่อ
ไม่เพียงแค่รูปโฉมของชุยฉานตอนเป็นหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาเท่านั้น ยังมีตอนที่เล่นหมากกระดานเมฆหลากสี ความคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหลยามที่คีบเม็ดหมากขึ้นมาแล้ววางลงบนกระดานหมากอีกครั้ง และยิ่งความมีชีวิตชีวาสดใสทำนองว่า ‘เมื่อข้านั่งลงเจ้าจะต้องแพ้’ อย่างยามที่ถกปัญหากับคนอื่นในสำนักศึกษานั่นอีก
นางเคยโชคดีได้พบเห็นมาก่อน
และยังมียามที่อากาศหนาวเหน็บเกล็ดหิมะโปรยปราย บัณฑิตหนุ่มเดินทางมาเที่ยวที่สำนักซานไห่พร้อมกับอาเหลียง อาเหลียงกำลังก่อเรื่อง แต่เขาที่อยู่ริมหน้าผาเพียงลำพังกลับกำลังเอ่ยขออภัยคนอื่น
เคยยืนอยู่ในสถานที่ที่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าว ใบหน้าประดับรอยยิ้มอบอุ่น มองนางเอ่ยว่าสวัสดี ข้าชื่อชุยฉาน เป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
หนันกวงจ้าวผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหวนกลับไปยังสำนักเพียงลำพัง เขาขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะพบว่าตรงหน้าประตูมีคนแปลกหน้านั่งอยู่ตรงนั้น กระบี่ยาวถูกชักออกจากฝักวางพาดขวางไว้บนหัวเข่า ปลายนิ้วลูบตัวกระบี่เบาๆ
คล้ายกำลังรอคน
หนันกวงจ้าวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพลิ้วกายลงที่หน้าประตูภูเขา ถามว่า “เจ้าคือใคร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!