กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 814

สรุปบท บทที่ 814.1 ผู้ดื่ม: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 814.1 ผู้ดื่ม – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 814.1 ผู้ดื่ม ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ผู้ฝึกกระบี่เดินทางไกลคนหนึ่งที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่

ในใจของเว่ยจิงชุ่ยเกิดความลังเลไม่แน่ใจ ไหนบอกว่าพวกผู้ฝึกกระบี่ที่รอดชีวิตมาได้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็ติดตามนครแห่งหนึ่งหนีไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้าแล้วไม่ใช่หรือ?

ชุยกงจ้วงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าตัดสินใจแล้วว่าจะมองดูเฉยๆ เท่านั้น หากยังออกหมัดอีกแม้แต่ครั้งเดียวก็ถือว่าเขาแพ้ ถือว่าเขารนหาที่ตายเอง

ความคิดของเขาเรียบง่ายกว่าเว่ยจิงชุ่ยมาก ในใจแค่แน่ใจเรื่องเดียวเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้านี้ไม่มีทางเอากำแพงเมืองปราณกระบี่มาล้อเล่นเด็ดขาด แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้างกายของคนผู้นี้ยังมีเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยคนปัจจุบันยืนอยู่ด้วย

แม้จะบอกว่าอุตรกุรุทวีปเอะอะก็ชอบไปงัดข้อกับศาลบรรพจารย์ของคนอื่น แต่ในความเป็นจริงแล้วการถามกระบี่ไม่เคยเป็นเรื่องเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอาฆาตแค้นบนภูเขาที่สองสำนักแตกหักกันอย่างสิ้นเชิงที่หากคนนอกไม่กล้าเดิมพันก็อย่าได้มามุงดูเช่นนี้

เพื่อตำแหน่งเค่อชิงอันดับหนึ่ง ชุยกงจ้วงไม่มีความจำเป็นต้องเดิมพันด้วยชีวิตและอนาคตบนเส้นทางวรยุทธของตัวเอง

หากหลิวจิ่งหลงเพียงแค่ส่งกระบี่ใส่สำนักสั่วอวิ๋นอยู่ไกลๆ ถามกระบี่เสร็จก็จากไป กับการที่เขาเดินขึ้นเขามาตลอดทางจนมาถึงยอดเขาหย่างอวิ๋นแห่งนี้แล้วยอมเปิดเผยตัวตน หนึ่งคือฟ้าหนึ่งคือดินเลยทีเดียว

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองหยางเชว่ ใช้เสียงในใจยิ้มถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่ควรมีเรื่องกับข้า? ถึงต้องซักถามความเป็นมาก่อนจะตัดสินใจว่าควรลงมือดีหรือไม่?”

ตลอดทางที่เดินขึ้นเขามานี้ เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองออมฝีมือมากแล้ว ไม่มีเหตุผลให้หยางเชว่ต้องมองตนสูงขนาดนั้น

หยางเชว่กุมหมัดคารวะ จากนั้นใช้เสียงในใจตอบว่า “มีสหายเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งอยู่ที่บ้านเกิด ในอดีตได้รู้จักกันในยุทธภพ ไม่เคยมาเป็นแขกที่สำนักสั่วอวิ๋น แค่มีความสัมพันธ์กับข้าเป็นการส่วนตัว หลังจากเขากลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังบ้านเกิดเคยได้พูดถึงคนสองสามคนให้ฟัง คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสคนเหล่านั้น”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ชื่อแซ่อะไร มาจากภูเขาลูกใด เจ้าสำนักหยางลองบอกให้ฟังหน่อย ไม่แน่ว่าข้าอาจรู้จัก”

ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่เดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม้จะมีจำนวนไม่มาก ประวัติความเป็นมาซับซ้อน มีทั้งคนในทำเนียบและผู้ฝึกตนอิสระ แต่เฉินผิงอันก็จำชื่อได้หมดทุกคนจริงๆ

หยางเชว่เอ่ยขออภัย “ไม่อาจบอกชื่อได้ สหายคนนั้นของข้ามีความลับที่ยากจะเอื้อนเอ่ย”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ทำไม สหายผู้ฝึกกระบี่คนนั้นของเจ้าเคยไปดื่มเหล้าที่จวนซุนจวี้เฉวียน หรือเคยไปดื่มชากับข้าที่ตรอกเหยียนชืออย่างนั้นหรือ?”

หยางเชว่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “ร้านเหล้า ตราประทับ เจ้ามือ มากกว่านี้เซียนกระบี่เฉินก็อย่าหยั่งเชิงอีกเลย”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เห็นแก่หน้าของสหายที่ไม่ทราบชื่อของเจ้า เจ้าสามารถหลีกทางได้แล้ว การถามกระบี่ในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ถึงอย่างไรสำนักสั่วอวิ๋นแห่งนี้ ตำแหน่งเจ้าสำนักของหยางเชว่ก็เป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น บุญคุณความแค้นที่มีต่อสำนักกระบี่ไท่ฮุย หลักๆ แล้วก็เป็นเพราะอาจารย์ลุงเฟยชิงของเจ้าควบคุมปากไม่อยู่เท่านั้น”

หยางเชว่ถอยหลังไปก้าวหนึ่งจริงๆ ดูจากท่าทางแล้วคงไม่คิดจะสนใจชื่อเสียงของสำนักแล้ว หมายจะวางตัวอยู่นอกสถานการณ์ไปพร้อมกับคนนอกครึ่งตัวอย่างชุยกงจ้วงแล้ว

เว่ยจิงชุ่ยที่อยู่ในถิ่นของบ้านตัวเองแต่กลับต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย อดไม่ไหวหันไปผรุสวาทใส่ดังลั่น “หยางเชว่! เจอกับศัตรูมาถามกระบี่ เจ้าไม่ต่อสู้แล้วยังถอยหนี ถึงกับเลือกจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ หน้าตาของสำนักสั่วอวิ๋นถูกเจ้าทำให้อับอายหมดสิ้นแล้ว! วันหน้าเจ้าหยางเชว่จะยังมีหน้าใช้สถานะของเจ้าสำนักส่งธูปให้คนอื่นในศาลบรรพจารย์เพื่อเคารพกราบไหว้บรรพบุรุษแต่ละรุ่นได้อย่างไร?!”

เสียงของบรรพจารย์เซียนเหรินดังมาก คาดว่าคืนนี้กลุ่มยอดเขาทั้งหลายบนภูเขาบรรพบุรุษคงได้ยินกันถ้วนทั่ว

หยางเชว่เอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าเฉยชา “ถึงอย่างไรก็ดีกว่าสำนักสั่วอวิ๋นต้องควันธูปขาดสะบั้นด้วยน้ำมือของข้าในคืนนี้ วันหน้าตำแหน่งเจ้าสำนักนี่ อาจารย์ลุงเว่ยมานั่งเอง หรือจะมอบให้กับศิษย์หลานยอดเขาโล่วเยว่คู่นั้น ศิษย์หลานล้วนไม่มีปัญหา แล้วก็จะไม่ตำหนิติเตียนท่านแม้แต่ครึ่งคำ”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ส่ายหน้าเอ่ย “เลิกทะเลาะกันได้แล้ว รีบหลีกทางไปเร็วเข้า รอให้พวกเราจากไปแล้ว คืนนี้เมื่อพวกเจ้าต้องซ่อมศาลบรรพจารย์กันทั้งคืนก็ยังมีเวลาให้คุยกันอีกมาก ถือเสียว่าเป็นการเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านก็แล้วกัน หรือจะคิดว่าเป็นผู้เยาว์ที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนก็แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ”

จากนั้นจึงหันไปถลึงตาใส่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าอย่างขุ่นเคือง “เจ้านี่ก็อายุยังไม่มากแท้ๆ แต่กลับไม่มีคุณธรรมของผู้ฝึกยุทธแม้แต่น้อย เป็นคนเรียนวรยุทธแต่กลับใจร้อนวู่วาม ระงับสติข่มอารมณ์ไม่ได้ แบบนี้จะได้อย่างไร ในบรรดาคนทั้งสาม ข้าผู้อาวุโสขัดหูขัดตาเจ้าที่สุด อีกเดี๋ยวจะจับเจ้ามัดกับก้อนหินแล้วโยนลงน้ำเอาไว้ปลูกดอกไม้”

ชุยกงจ้วงฟังด้วยอาการชาไปทั้งหนังศีรษะ รีบรวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยขออภัยเซียนกระบี่ท่านนี้อย่างลับๆ “เซียนกระบี่เฉินโปรดอย่าโกรธเคือง ก่อนหน้านี้เป็นชุยกงจ้วงที่ตาถั่ว ทั้งยังถูกสถานะของเค่อเชิงที่เป็นภาระนี้ทำร้าย ไม่ทันระวังล่วงเกินผู้อาวุโสเซียนกระบี่เข้า โทษตายนั้นเลี่ยงได้ แต่โทษเป็นมิอาจหลบเลี่ยง สรุปแล้วควรจะลงโทษอย่างไร ผู้อาวุโสเซียนกระบี่เชิญกล่าวมาได้เลย ชุยกงจ้วงจะไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ยิ่งไม่มีคำบ่น”

ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า ในด้านหมัดเท้าซึ่งเป็นฝีมือติดตัว ตนยังเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ผู้บรรลุมรรคาที่ความอ่อนเยาว์คงที่ผู้นี้ไม่ได้ จนจำต้องสวมเสื้อเกราะหลิงเป่าของศาลซานหลางและเสื้อเกราะจินอูของสำนักการทหาร

ชุยกงจ้วงถึงขั้นสงสัยว่าผู้ฝึกกระบี่ ‘หนุ่ม’ ที่อยู่ตรงหน้าจะใช่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าฉีถิงจี้ที่ก่อตั้งสำนักอยู่ในทักษินาตยทวีปหรือไม่

แต่เท่าที่เคยได้ยินมาฉีถิงจี้รูปโฉมหล่อเหลา ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะหน้าตาไม่สอดคล้องกับคำเล่าลือ ชุยกงจ้วงจึงเริ่มไม่แน่ใจ แต่หากนอกจากสวมหน้ากากไว้บนใบหน้าแล้วเซียนกระบี่ผู้เฒ่ายังร่ายเวทอำพรางตาหลอกผู้ฝึกตนของสำนักสั่วอวิ๋นอีกเล่า?

เฉินผิงอันหัวเราะหยัน “จะโทษเป็นหรือโทษตาย เจ้าเป็นคนตัดสินใจงั้นรึ?”

ชุยกงจ้วงขนลุกขนชันอยู่ในใจ โอดครวญกับตัวเองไม่หยุด สี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขามีผู้ฝึกกระบี่เป็นผู้นำ ถ้าอย่างนั้นคนที่ตอแยยากที่สุดก็แน่นอนว่าต้องเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนกลุ่มที่ขอบเขตสูงที่สุดในบรรดาผู้ฝึกกระบี่แล้ว

เซียนเหรินผู้เฒ่าอย่างเว่ยจิงชุ่ยสะบัดชายแขนเสื้อ หมุนตัวได้ก็เดินจากไปทันที ทิ้งไว้ประโยคเดียวว่า “หยางเชว่ คืนนี้เจ้าไม่แสดงฝีมือ เป็นฝ่ายหลีกทางให้ศัตรู ปล่อยให้คนนอกมาเหยียบย่ำศาลบรรพจารย์ แล้วยังขัดขวางไม่ให้ข้าลงมือ เดือดร้อนให้ชื่อเสียงบารมีของสำนักสั่วอวิ๋นที่สั่งสมมาต้องพังพินาศลงในวันเดียว”

บนยอดเขาหย่างอวิ๋นมีเส้นสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนถักทอกันเป็นตายข่าย บรรพจารย์เฟยชิงทะยานลมจากไปไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเซียนเหรินผู้มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ท่านนี้ เขาจึงใช้นิ้วทำมุทรา แสงเรืองรองเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ใช้เวทลับบทหนึ่งของสำนักก็ถึงกับกลายร่างเป็นนกตัวเท่าฝ่ามือที่บินหลบเลี่ยงเวทกระบี่สีทองที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวดพวกนั้นไปอย่างระมัดระวัง นกกระจอกสีขาวปลอดพุ่งไปราวสายฟ้าแลบ ขณะเดียวกันก็มีแสงสว่างเปล่งวูบขึ้นมาตรงช่องรูเหนือยอดเขาโล่วเยว่ที่มีแสงจันทร์เข้มข้น คล้ายมีสะพานเซียนพาดผ่าน หมายจะนำพาบรรพจารย์ผู้เฒ่าให้กลับไปยังสถานที่ฝึกตน

กฎเกณฑ์ในยุทธภพน้อยนิดแค่นี้ ชุยกงจ้วงยังเข้าใจอยู่บ้าง คืนนี้เสื้อเกราะของสำนักการทหารบนร่างชิ้นนี้จากไปอย่างไร ตอนนั้นเขาก็ได้มันมาเช่นนั้นเหมือนกัน

ดังนั้นชุยกงจ้วงจึงทำสีหน้าเด็ดเดี่ยว ไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย เสื้อเกราะจินอูที่เป็นสีทองมลังเมลืองพลันรวมตัวกันกลายเป็นเม็ดเสื้อเกราะหนึ่งเม็ดทันที เขาค้อมตัวก้มหน้าลง สองมือประคองส่งมอบมันให้เซียนกระบี่เฉิน

เฉินผิงอันเก็บมาไว้ในชายแขนเสื้อ “ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน วันหน้าก็มาบ่อยๆ นะ หนึ่งมาสองไป เดี๋ยวก็กลายเป็นเพื่อนกันได้เอง”

ชุยกงจ้วงยิ้มขื่น

เฉินผิงอันมองเขาไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่หางตาเหลือบมองไปยังเสื้อเกราะหลิงเป่าของศาลซานหลางชิ้นนั้น

ชุยกงจ้วงกังขาไม่แน่ใจ ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ คิดแล้วก็รู้สึกว่าเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่กำแพงเมืองปราณกระบี่คนหนึ่ง คงไม่หน้าหนาถึงขั้นนี้ ยืมเอาเสื้อเกราะจินอูไปตัวหนึ่งแล้ว ยังจะมีความคิดต่อเสื้อเกราะหลิงเป่าของศาลซานหลางอีก ทุกคนต่างก็ออกจากบ้านมาท่องยุทธภพ เป็นคนก็ควรเหลือที่ว่างไว้สักเสี้ยวไม่ใช่หรือ?

เฉินผิงอันกล่าว “ฟังไม่เข้าใจภาษาคนหรือ? หนึ่งมาสองไป ความหมายตามตัวอักษร เอาแต่ฝึกหมัดไม่อ่านหนังสือจะได้อย่างไร วันนี้ข้ามาที่ยอดเขาหย่างอวิ๋นคือหนึ่งมา ถูกหรือไม่? เม็ดเสื้อเกราะชิ้นนี้ก็คือหนึ่งไป ใช่หรือไม่?”

ตอนที่เซียนกระบี่ต่างถิ่นที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่เอ่ยประโยคเหล่านี้ สองนิ้วก็วางลงบนไหล่ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าเบาๆ แล้วพูดเจื้อยแจ้วต่ออย่างคนหวังดี “อีกอย่างเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แล้วยังเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตเก้าที่หนึ่งหมัดกดทับเท้ากระทืบขุนเขาสายน้ำของหลายแคว้นได้แล้ว มีโชคชะตาบู๊อยู่ติดตัวก็เท่ากับว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องคุ้มครอง จะต้องการของนอกกายมากมายขนาดนั้นไปทำไม ไม่เพียงแต่เหมือนซี่โครงไก่ ยังเป็นภาระ ถ่วงรั้งปณิธานหมัดด้วย กลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี”

ชุยกงจ้วงข่มกลั้นความสะท้านสะเทือนในใจและความเจ็บปวดตรงหัวไหล่ ยื่นมือไปจับปลายชุดคลุมอาคมกระตุกเบาๆ เสื้อเกราะศาลซานหลางหดตัวกลายเป็นยันต์ผ้าแพรที่ทำจากวัสดุสีทอง พยักหน้าเอ่ยกับเซียนกระบี่แซ่เฉินว่า “ผู้อาวุโสกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เป็นผู้เยาว์ที่โง่เขลาเอง”

เฉินผิงอันรับยันต์เสื้อเกราะที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นมา เปลี่ยนจากนิ้วเป็นฝ่ามือที่ตบลงบนไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ “ข้าคนนี้หากไม่เจอกับคนที่ถูกชะตาด้วย โดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีทางมอบหลักการเหตุผลให้เปล่าๆ คืนนี้มาพบเจอกัน ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน จึงขอมอบคำพูดเก่าแก่ในยุทธภพประโยคหนึ่งให้กับเจ้า ในชีวิตอย่าทำเรื่องละอายใจจนต้องขมวดคิ้ว ไม่เชื่อก็ลองย้อนกลับไปทบทวนตัวเองดู”

ชุยกงจ้วงโอดครวญในใจไม่หยุด ไม่จบไม่สิ้นเสียที เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดกันเล่า?

หรือว่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนมีนิสัยชอบใช้วาจาดุจกระบี่บินแทงใจคนแบบนี้เสมอ?

ห้านิ้วของฝ่ามือข้างนั้นของเฉินผิงอันพลันงอเป็นตะขอกุมลำคอของชุยกงจ้วงเอาไว้ จากนั้นก็ยกอีกฝ่ายขึ้นสูงได้อย่างง่ายดาย ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าคิดผิดแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีใครนิสัยดีอย่างข้า เป็นเจ้าที่โชคดี วันนี้ถึงได้มาพบข้า ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนเป็นพวกเซียนกระบี่ผู้เฒ่าฉี เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ เวลานี้เจ้าคงได้เดินไปบนเส้นทางของการไปเกิดใหม่แล้ว จ่ายเงินฟาดเคราะห์ ผิดแล้ว เป็นเงินซื้อชีวิตเจ้าต่างหาก วันหน้าภายในเวลาร้อยปี ข้าจะขอให้เจ้าสำนักหยางช่วยจับตามองเจ้า หากยังทำเรื่องที่ขาดแคลนคุณธรรมอย่างวันนี้อีก ข้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะไปหาปรมาจารย์ใหญ่ชุยที่แคว้นอวิ๋นเยี่ยนเอง”

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!