หลิวเสี้ยนหยางหยุดเดิน หันตัวกลับมายืนอยู่บนขั้นบันได มองผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงที่รับผิดชอบมารับกระบี่ครั้งที่สามนี้
ดูจากร่องรอยแสงกระบี่ สตรีน่าจะมาจากภูเขาเดียวดายเล็กหนึ่งในยอดเขาคู่รัก นางสวมชุดเดินทางยามค่ำคืน ใบหน้าเย็นชา สุขุมเยือกเย็น แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน
ก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่านางชมศึกอยู่ที่ภูเขาเดียวดายเล็กอย่างละเอียด โดยเฉพาะครั้งที่สอง อวี่หลิ่นพ่ายแพ้อย่างแปลกประหลาดเกินไป แทบจะกลายเป็นว่าขอแค่เข้าใกล้หลิวเสี้ยนหยางก็จะหล่นเข้าไปในตราผนึกค่ายกลบางอย่าง ดังนั้นนางจึงไม่ได้ขี่กระบี่ตรงไปหยุดอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับยอดเขาอีเซี่ยน แต่หยุดอยู่ระหว่างภูเขาบรรพบุรุษกับยอดเขาหม่านเยว่ ขี่กระบี่หยุดลอยตัวนิ่ง นางกับหลิวเสี้ยนหยางที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมหัศจรรย์ลึกล้ำจึงเพียงแค่คุมเชิงกันอยู่ไกลๆ เท่านั้น
ถึงอย่างไรการถามกระบี่ระหว่างผู้ฝึกกระบี่ เรื่องของระยะห่างก็ไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงอยู่แล้ว
ลมบนท้องฟ้าพัดโชยมา ชุดสีดำของสตรี ลำแสงสีขาวหิมะที่ลากยาวออกมาจากกระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้า ยอดเขาหม่านเยว่ด้านหลังเป็นสีเขียวขจี ทำให้นางราวกับเทพธิดาหญิงที่ขี่กระบี่ออกมาจากภาพวาดภูเขาเขียวธารน้ำใส
หลิวเสี้ยนหยางมองสตรีที่หน้าตาไม่งดงาม ทว่าท่วงท่าของการขี่กระบี่กลับโดดเด่นอย่างถึงที่สุดแล้วก็รู้สึกว่าตนเองได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย คราวหน้าไปถามกระบี่ที่ศาลบรรพจารย์บ้านใครจะไม่ยอมฟังการจัดการจากเฉินผิงอันอีกเด็ดขาด พลิ้วกายลงหน้าประตูภูเขาอย่างโง่งม แล้วยังต้องเดินเท้าขึ้นเขาอีก ควรต้องเรียนรู้จากผู้อาวุโสท่านนี้ เหยียบอยู่บนกระบี่ยาว ทะยานร่างดุจสายรุ้ง จากนั้นพลันหยุดลอยตัวนิ่ง แก่นแท้ที่สำคัญก็คือจุดที่ปรากฏตัวจะต้องเลือกสถานที่ที่ทัศนียภาพงดงาม จะได้กลายเป็นคนในภาพวาดในสายตาของพวกคนที่ชมศึกอยู่ด้านข้าง
สตรีชุดดำใช้สองมือทำมุทรากระบี่ ปลายนิ้วก็มีพระจันทร์เสี้ยวสีทองอ่อนจางดวงหนึ่งลอยขึ้นมา ผู้ฝึกกระบี่ที่เก็บตัวอย่างสันโดษอยู่ในภูเขาเดียวดายลูกเล็กมาหลายร้อยปีคนนี้ ถือว่าได้ใช้สิ่งนี้มาแสดงตัวตน บอกว่านางมาจากยอดเขาหม่านเยว่ (จันทร์เต็มดวง) ของภูเขาตะวันเที่ยง ใช้สิ่งนี้มาบอกกล่าวสถานะแก่คนที่มาถามกระบี่ก็ถือว่ามีมารยาทอย่างยิ่งแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางรีบคารวะกลับคืนทันใด ใช้ฝ่ามือข้างเดียวทำมุทรากระบี่ แต่ไม่ได้แนะนำตัวเองว่าเป็นผู้สืบทอดจากสำนักกระบี่หลงเฉวียน เพียงแค่บอกชื่อแซ่และภูมิลำเนาของตัวเองเท่านั้น “หลิวเสี้ยนหยางแห่งอำเภอไหวหวง ถ้ำสวรรค์หลีจูเก่า”
นางพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “แบ่งเป็นตาย?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แบ่งแพ้ชนะหรือแบ่งเป็นตายก็ตามแต่ใจ อยากจะสัมผัสกับวิถีแห่งกระบี่ที่ทอดสู่ที่สูงแต่ละเส้นของภูเขาตะวันเที่ยงพวกเจ้ามานานแล้ว อยากรู้นักว่าจะสูงสักเท่าใด”
นางเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา”
ระหว่างยอดเขาอีเซี่ยนกับยอดเขาหม่านเยว่มีเมฆขาวอ่อนจางก้อนหนึ่งล่องลอยผ่าน แต่กลับเป็นฝ่ายอ้อมผ่านเรือนกายอรชรที่ขี่กระบี่นั้นไป
เห็นได้ชัดว่านางได้เรียกเวทคุ้มกันกายเพื่อป้องกันการลอบโจมตีจากกระบี่บินซึ่งไม่ทราบชื่อของหลิวเสี้ยนหยางมาไว้ก่อนนานแล้ว
จากนั้นภูเขาบรรพบุรุษก็เปิดค่ายกลใหญ่ปกป้องขุนเขา ตลอดทั้งยอดเขาอีเซี่ยน นอกจากยอดกระบี่แล้ว สี่ทิศล้วนมีเมฆหมอกลอยอวล ขั้นบันไดกลายมาเป็นเหมือนน้ำไหลที่ไร้เสียง หลิวเสี้ยนหยางก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าขั้นบันไดทั้งเส้นเหมือนถูกปูด้วยพรมสีเขียวที่เซียนซือถักทอขึ้นมาชั้นหนึ่ง เมื่อถูกแสงแดดสาดส่องก็เป็นเงาวับแวม ค่ายกลนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อเล่นงานหลิวเสี้ยนหยาง แค่ป้องกันขุนเขาสายน้ำของยอดเขาอีเซี่ยนเท่านั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้การถามกระบี่ที่รุนแรงระหว่างเซียนกระบี่บนยอดเขามาทำลายทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาอย่างกำเริบเสิบสาน
ร่างของผู้ฝึกกระบี่หญิงไม่ทราบชื่อพลันหายวับไป ขณะเดียวกันตรงจุดสูงของยอดเขาอีเซี่ยนก็มีกระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่งโผล่ออกมากลางอากาศ คือสมบัติพิทักษ์ภูเขาของยอดเขาเก่าบางแห่งที่ถูกตัดชื่อออกไปแล้วของภูเขาตะวันเที่ยง
จากนั้นตัวกระบี่ก็บิดเบือนกลายเป็นเส้นโค้งหลายเส้น แสงสายฟ้าตัดสลับคล้ายแส้ยาวสีทองที่แม่ทัพเทพกรมสายฟ้าตนหนึ่งฟาดโบยลงมายังโลกมนุษย์ บนม่านฟ้ามีเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น พริบตานั้นกระบี่โบราณที่ผิดแผกจากกระบี่ทั่วไปเล่มนี้ก็พลันสะบัดลากเส้นแสงสีทองยาวหลายร้อยจั้ง วาดวงโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยวอยู่กลางอากาศสูงแล้วฟาดเปรี้ยงลงมายังบุรุษร่างสูงใหญ่ที่อยู่บนขั้นบันไดของยอดเขาอีเซี่ยนอย่างอำมหิต
หลิวเสี้ยนหยางทำมุทรากระบี่ด้วยมือข้างเดียว ปลายนิ้วมีแสงสีทองจุดหนึ่งผุดวาบ สองนิ้วประกบกันวาดวงกลมเบาๆ แสงสีทองจุดนั้นก็ลากยาวออกไป ข้างกายหลิวเสี้ยนหยางมีเส้นวงกลมเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น พอหลิวเสี้ยนหยางดีดนิ้วหนึ่งที เส้นวงกลมก็เปลี่ยนมาเป็นลูกกลมสีทองที่ปกคลุมหลิวเสี้ยนหยางไว้ภายใน ประหนึ่งดวงตะวันที่ถูกหล่อหลอมกักเก็บเอาไว้จึงกลายมามีขนาดเล็กน่ามอง ราวกับถูกเซียนเหรินจับมาวางไว้บนขั้นบันได แสงทองเข้มข้นดุจน้ำ ส่องประกายระยิบระยับพร่าตา มีลางว่าจะบินทะยานได้ทุกเมื่อ
ผู้ฝึกกระบี่หลิวเสี้ยนหยางยืนอยู่ตรงกลาง ชายแขนเสื้อพลิ้วสะบัด
แส้ฟาดโบยลงมาบนพื้น จากเส้นทางเทพเดินขึ้นเขาไปจนถึงซุ้มหินประตูภูเขามีพรมสีเขียวที่รวมตัวกันจากริ้วคลื่นค่ายกลผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ สุดท้ายก็ถูกเส้นสายฟ้าวงโค้งเส้นนั้นเจาะทะลวงเป็นรอยแตกลึกหลายจั้ง
ภูเขาอีเซี่ยนนับจากกึ่งกลางภูเขาลงไป ท่ามกลางแส้สายฟ้าที่หนาใหญ่ราวปากบ่อน้ำมีงูยาวสายฟ้าสีทองหลายร้อยตัวกระจายออกมาแล้วพุ่งแฉลบออกไปไม่หยุด
หากไม่เป็นเพราะมีรากภูเขาและโชคชะตาน้ำของค่ายกลใหญ่ภูเขาบรรพบุรุษคอยปกป้องอยู่ ลำพังเพียงแค่แส้นี้ที่ฟาดลงมา เส้นทางเทพขึ้นเขาก็คงพังยับไปแล้ว ซุ้มประตูก็ยิ่งต้องถูกผ่าออกเป็นสองส่วน
เพียงแต่ว่าแส้ยาวสายฟ้าที่พลานุภาพน่าครั่นคร้ามเส้นนี้กลับไม่อาจกระแทกให้ค่ายกลสีทองทรงกลมของหลิวเสี้ยนหยางแตกออกได้ ตลอดทั้งตีนเขาของยอดเขาอีเซี่ยนล้วนมีแต่สายฟ้าแส้ยาวจำนวนนับไม่ถ้วนตัดสลับถักทอกันเป็นตาข่าย ประหนึ่งมีเทพสายฟ้าที่เรือนกายผลุบโผล่อยู่กลางทะเลเมฆคอยถือแส้ฟาดสะเปะสะปะไปทั่ว
ผู้ฝึกตนที่ชมศึกอยู่บนยอดเขาทั้งหลาย ทุกคนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลขอบเขตเซียนดินต่างก็ต้องกลั้นหายใจทำสมาธิ อกสั่นขวัญผวากันอย่างยิ่ง
ปราณวิญญาณฟ้าดินของพื้นที่หนึ่งกระเพื่อมเบาๆ สตรีเผยเรือนกายล่องลอยของตัวเองออกมา ยกมือซ้ายที่ใสแวววาวขึ้น เส้นชีพจรกระดูกและเส้นเอ็นที่เซียนดินบนภูเขาเรียกขานว่า ‘กิ่งทองใบหยก’ ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
มือขวาของนางทำท่ากำหลวมๆ แล้วชักออกมาช้าๆ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้ฝึกตนผีตนนี้คล้ายกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดจากจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนชักดาบอาคมแคบยาวสีเขียวมรกตเล่มหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือซ้าย ดาบแคบเล่มนี้คล้ายเกิดจากการหล่อหลอมแม่น้ำลำคลองสีเขียวเข้มสายหนึ่ง บนตัวดาบแกะสลักอักษรโบราณสองคำว่าปิ่งเตา ตัวดาบเหมือนสายน้ำที่กระเพื่อมไหวส่ายโอน
หลิวเสี้ยนหยางชำเลืองตามองภาพเหตุการณ์ประหลาดที่สตรีชักดาบ ‘ออกจากฝัก’
จากยอดเขาอีเซี่ยนไปจนถึงยอดเขาหม่านเยว่ อยู่ดีๆ ก็มีเส้นตรงสีขาวหิมะเส้นหนึ่งถูกลากออกมาในแนวเฉียง เส้นตรงแสงกระบี่พลันแทงทะลุเรือนกายของสตรีผู้นั้น แสงกระบี่พุ่งไปอย่างดุดันไม่หยุดนิ่ง ตรงไปเจาะทะลวงหน้าผาแถบหนึ่งของยอดเขาหม่านเยว่ให้เป็นรู จากนั้นเส้นยาวแสงกระบี่ก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้า เนิ่นนานก็ยังไม่จางหาย
เรือนกายของผีหญิงหายไปกลายเป็นลมหยินสกปรกกลุ่มหนึ่ง เพียงแต่ว่าตรงหัวใจจุดที่ถูกแสงกระบี่แทงทะลุกลับมีน้ำวนปราณกระบี่ขนาดเท่ากำปั้นปรากฎอยู่
ไม่ว่าจะศีรษะ ลำตัว หรือแขนขาทั้งสี่ของผีที่ถือดาบล้วนถูกแยกออกจากกัน ทว่าปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ในร่างของนางกลับเหมือนก้านบัวที่ถูกตัดขาดแต่ยังเหลือใย จึงพอจะฝืนประคับประคองร่างมนุษย์เอาไว้ได้
กระบี่ยาวสีทองที่จิตของนางควบคุมไว้พุ่งตวัดไปมากลางอากาศไม่หยุดนิ่ง สายฟ้าสีทองจึงผุดขึ้นมาเป็นระลอก ยังคงฟาดโบยลงบนเส้นทางภูเขาของตีนเขายอดเขาอีเซี่ยนอยู่เหมือนเดิม ทุกครั้งที่แส้ยาวฟาดลงพื้นก็จะมีเสียงฟ้าร้องสะเทือนเลือนลั่น
ภูเขาบรรพบุรุษของภูเขาตะวันเที่ยงที่กว้างใหญ่คล้ายสวนกระถางใบหนึ่งที่พลันมีดอกไม้สีทองซึ่งสามารถมองเห็นเส้นสายของดอกชัดเจนผลิบานออกมา
นางใช้ดาบหนึ่งฟันผ่าอยู่ไกลๆ ไม่มีประกายแสงดาบเจิดจ้าพร่างพราวให้เห็น ระหว่างฟ้าดินมีเพียงสีเทาเล็กบางเหมือนเส้นด้ายเส้นหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!