หนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่เชียวนะ อันที่จริงเซอเยว่ชื่นชมเลื่อมใสนางมานานมากแล้ว
เพียงแต่ว่าเมื่อเซอเยว่ปรากฎตัวในแสงจันทร์ก็ให้เสียใจภายหลังทันที
เพราะหนิงเหยาลืมตาขึ้น กล่องกระบี่ที่อยู่ด้านหลังของนาง ต่อให้กระบี่ยาวไม่ได้ออกจากฝัก ลำพังเพียงแค่ปณิธานกระบี่ที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นก็ทำให้เซอเยว่รู้สึกแล้วว่าหากตนปรากฎตัวแล้วต้องตาย
แต่เพียงไม่นานหนิงเหยาก็เก็บปราณกระบี่มา ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ขอโทษด้วย ลืมไปว่าเป็นเจ้า”
เซอเยว่รีบเผยกายทันใด นางรู้สึกดีใจอยู่บ้าง หนิงเหยาบอกว่าลืมไป นั่นแสดงว่าเมื่อก่อนหนิงเหยาต้องเคยได้ยินเรื่องของตนสินะ
แต่หลังจากที่คนทั้งสองนั่งลงตรงนั้นก็ไม่มีอะไรให้พูดคุยกันอีก แค่ต่างคนต่างนั่งเหม่อเท่านั้น
คนหนึ่งคิดว่าหม้อไฟเป็ดผัดหน่อไม้แห้งของหลิวเสี้ยนหยางอร่อยยิ่งนัก แต่ไม่อาจกินได้ เพราะถึงอย่างไรก็ได้ยินหลิวเสี้ยนหยางเล่าให้ฟังว่าดูเหมือนบรรพจารย์ย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงจะฝ่าทะลุขอบเขตอีกแล้ว นั่นคือขอบเขตบินทะยานที่ดูแคลนไม่ได้เชียวนะ
อันที่จริงหนิงเหยาเองก็ไม่ได้ตั้งใจบำรุงปณิธานกระบี่สักเท่าไร นางกำลังคิดถึงบทสนทนากับเจ้าหมอนั่นก่อนหน้านี้
‘เจ้าว่าลู่จือชอบอาเหลียงหรือไม่?’
‘ไม่สักหน่อย’
นางรู้สึกไม่เชื่อสักเท่าไร
เขาจึงอธิบายว่า ‘หากลู่จือชอบอาเหลียง อาเหลียงก็ไม่มีทางพูดแบบนั้นกับนาง มีแต่จะหนีไปให้ไกล’
นางพยักหน้า ฟังดูแล้วก็เหมือนว่าจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง
นางหันหน้ามาเหมือนกำลังพูดว่า เจ้าช่างเข้าใจได้ดีจริงๆ
ตอนนั้นคนผู้นั้นทำอะไรไม่ได้เลยได้แต่แสร้งโง่งมอีกครั้ง
เซอเยว่ที่เวลานี้เค้นสมองครุ่นคิด ในที่สุดก็หาเรื่องคุยได้ จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่ที่ร้านริมลำคลอง การหลอมกระบี่หลายครั้งของหลิวเสี้ยนหยางล้วนค่อนข้างอันตราย ต้องให้ข้าคอยปกป้องมรรคาให้ ตอนที่ตื่นขึ้นมา ใบหน้าหลิวเสี้ยนหยางอาบไปด้วยเลือด บาดเจ็บไม่เบา ดังนั้นอันที่จริงขอบเขตหยกดิบนี้ของเขาได้มาไม่ง่ายเลย”
หนิงเหยากล่าว “เพราะหลิวเสี้ยนหยางรู้สึกว่าตัวเองต้องดูแลเฉินผิงอัน”
เซอเยว่กึ่งเชื่อกึ่งกังขา เหลือบตามองหนิงเหยาอย่างระมัดระวัง เอ่ยเสียงแผ่ว “ใต้เท้าอิ่นกวานหรือจะต้องการให้คนอื่นมาดูแล”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “อันที่จริงใต้หล้านี้ก็มีแต่หลิวเสี้ยนหยางเท่านั้นแหละที่คิดเช่นนี้ และเฉินผิงอันเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เอาเป็นว่าพวกเขาสองคนต่างก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินอย่างมาก ไม่ต้องใช้เหตุผลใดๆ เลยด้วยซ้ำ เจ้ามาถึงเมืองเล็กตอนหลังแล้ว เลยไม่รู้เรื่องนี้”
เซอเยว่ร้องอ้อหนึ่งที เจ้าคือหนิงเหยา เพราะฉะนั้นเจ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้นเถอะ
หนิงเหยาพลันหันหน้ามาเอ่ยสัพยอก “วันหน้าควรต้องเรียกเจ้าว่าพี่สะใภ้หรือไม่?”
เซอเยว่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน อดกลั้นอยู่นาน ก่อนย้อนถามว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าเรียกเจ้าว่าน้องสะใภ้?”
หนิงเหยาไร้คำพูดตอบโต้
แม่นางหน้ากลมพลันรู้สึกว่าตัวเองช่างฉลาดเสียจริง
หนิงเหยาลุกขึ้นยืน หันหน้าไปมองร่องรอยการถามกระบี่ที่อยู่ใกล้กับยอดเขาอีเซี่ยนแล้วถามว่า “เซอเยว่ เจ้าไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของหลิวเสี้ยนหยางบ้างหรือ?”
เซอเยว่ยังคงนั่งอยู่ ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ห่วงหรอก เขาบอกแล้วว่าหากสู้ไม่ได้ก็จะหนี ใครไล่ตามเขามาคนนั้นก็ต้องกินอาจม”
หนิงเหยายิ้มบางๆ “เจ้าก็ยังเป็นห่วงอยู่ไม่มากก็น้อยนั่นแหละ”
เซอเยว่อึ้งตะลึง จากนั้นก็เห็นว่าสตรีขอบเขตบินทะยานผู้นี้เบนหน้าไปทางทิศเหนือเล็กน้อย
เซอเยว่เข้าใจได้ทันที ที่แท้เจ้าก็เป็นห่วงอิ่นกวานหนุ่มที่ใจดำอำมหิตผู้นั้นนี่เอง
ดังนั้นพวกนางจึงทะยานลมไปทางทิศเหนือด้วยกัน หนิงเหยาบอกว่าแค่จะไปรอที่ท่าเรือป๋ายลู่เท่านั้น
เซอเยว่พยักหน้ารับอย่างแรง พูดอย่างเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี “ก็บุรุษนี่นะ ล้วนมีหน้าตาให้ต้องรักษา ไม่ค่อยเต็มใจอยากให้สตรีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้สักเท่าไร”
หนิงเหยาเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “แต่คนบางคนกลับหน้าไม่อาย”
เซอเยว่พูดเบาๆ “เจ้าแค่ด่าเฉินผิงอันก็พอแล้ว ไยต้องด่าหลิวเสี้ยนหยางด้วย”
หนิงเหยาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้ด่าหลิวเสี้ยนหยาง”
เซอเยว่หัวเราะแห้งๆ สองสามที หันมาแอบมองหนิงเหยา เวลานี้สตรีที่อยู่ข้างกายช่างเหมือนสตรียิ่งนัก
เรือข้ามฟากลำหนึ่งจอดอยู่ใกล้ด้านหลังภูเขาบรรพบุรุษ แต่ไม่ได้จอดเทียบท่า ไม่ได้รับกระบี่บินแจ้งข่าวที่มาจากยอดเขา
แต่เฉาจวิ้นกลับยังเปิดจดหมายลับตามเวลาที่ตกลงกันไว้ เนื้อหาในจดหมายทำให้เฉาจวิ้นหัวเราะหึหึ ดีเยี่ยม
‘ศิษย์พี่ให้ข้านำความมาบอก หากเจ้ายินดีไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไป ก่อนจะลงจากเรือให้ส่งกระบี่ไปทางยอดเขาฉงจือสองสามทีให้พอเป็นพิธี’
เฉาจวิ้นรู้สึกว่าจำเป็นต้องมอบของขวัญกลับคืน ภายหลังจึงออกจากเรือข้ามฟากไปเพียงลำพัง ทูตผู้ตรวจการอะไรนั่น หากอิงตามลำดับศักดิ์แล้วเล็กจะตายไป ไม่จำเป็นต้องไปทักทาย เพียงแค่เอ่ยประโยคหนึ่งกับหลิวสวินเหม่ยว่าวันหน้าค่อยเจอกัน หากไม่ใช่ในยุทธภพล่างภูเขาก็คงต้องเป็นสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
หลังที่เฉาจวิ้นออกไปจากเรือข้ามฟากก็ไปที่ยอดเขาฉงจือ บอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเอง “นายท่านใหญ่อย่างข้าแซ่เฉานามจวิ้น ภูมิลำเนาคือตรอกหนีผิงอำเภอไหวหวง เป็นคนบ้านเดียวกันกับหลิวเสี้ยนหยาง!”
จากนั้นก็ออกกระบี่ใส่ยอดเขาฉงจือติดกันสามครั้ง
เซียนกระบี่ก่อกำเนิดอีกคนหนึ่งแล้ว?
ถามกระบี่เสร็จสิ้นก็ถือว่าเรียบร้อย เฉาจวิ้นจึงขี่กระบี่ออกเดินทางไกล ข้ามมหาสมุทรกว้างใหญ่ตรงไปยังซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!