กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 824

อวี๋ฮุ่ยถิงยืนอยู่ข้างกายเว่ยจิ้น ใช้เสียงในใจสอบถาม “อาจารย์อาเว่ย? เขาคือหมี่ผ่าเอวของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้นจริงๆ หรือ?”

เจ้าหมอนั่น นางรู้จัก ครั้งแรกสุดได้เจอกันท่ามกลางขุนเขาสายน้ำ ตอนนั้นคนผู้นี้อยู่กับสตรีจากตำหนักฉางชุน แล้วยังบอกว่าตัวเองรู้จักอาจารย์อาเว่ย ตอนนั้นนางเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือพวกเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก ภายหลังคนผู้นี้แอบไปเยือนหอเทพเซียนของอาจารย์อาเว่ย ไปขโมยกิ่งไม้ของต้นสนหมื่นปีต้นนั้น ทั้งๆ ที่เจ้าขุนเขาจับได้ แต่กลับไม่ได้ขัดขวาง อีกทั้งฟังจากคำพูดของเขาแล้วยังคล้ายจะกริ่งเกรงผู้ฝึกกระบี่คนนี้อย่างมาก มั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งแน่นอน ตอนนี้อวี๋ฮุ่ยถิงยังกึ่งเชื่อกึ่งกังขา ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจจะรู้จักอาจารย์อาเว่ยจริงๆ ก็ได้

เว่ยจิ้นพยักหน้า “ใช่แล้ว หมี่อวี้ที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ คุณสมบัติด้านการฝึกตนล้วนถือว่าโดดเด่นอย่างมาก เพียงแต่ว่าการออกกระบี่ในอดีตของหมี่อวี้ล้วนชอบหาเรื่องใส่ตัว หมี่อวี้ตอนที่อยู่สองขอบเขตของเซียนดินกับหมี่อวี้ตอนอยู่ขอบเขตหยกดิบ หนึ่งคือฟ้าหนึ่งคือดิน”

อวี๋ถิงฮุ่ยอดไม่ไหวมองไปยังสตรีที่อยู่ตรงท่าเรือป๋ายลู่ “อาจารย์อาเว่ย นางคือ?”

เว่ยจิ้นกล่าวอย่างเฉยเมย “หากไม่เชื่อก็ไปถามเอาเอง”

อวี๋ฮุ่ยถิงทำท่าจะทะยานลมจากไป อาจารย์อาเว่ยไม่สะทกสะท้าน นางจึงได้แต่เก็บริ้วคลื่นลมปราณส่วนนั้นมาอย่างขลาดๆ

นางได้แต่ถามเสียงเบา “อาจารย์อาเว่ยจะออกกระบี่ด้วยหรือ?”

เว่ยจิ้นกล่าวอย่างจนใจ “จำเป็นด้วยหรือ?”

อวี๋ฮุ่ยถิงถามอย่างกังขา “ถึงอย่างไรที่ยอดกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงก็ยังมีเซียนเหรินที่เกิดจากการรวมตัวกันของวิถีกระบี่มากมายอยู่ด้วย”

เว่ยจิ้นส่ายหน้า “ขอแค่หนิงเหยาออกกระบี่ แค่ดีดนิ้วก็แหลกสลาย”

เว่ยจิ้นที่ไม่ค่อยชอบพูดคุยเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้เท้าอิ่นกวานที่ไม่เคยดื่มเหล้าแพ้ใครคนนี้ก็ไม่มีทางมอบโอกาสนี้ให้ภูเขาตะวันเที่ยง”

จิตใจอวี๋ฮุ่ยถิงสั่นสะท้าน “อิ่นกวาน?!”

เว่ยจิ้นกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้หรือ?”

ใบหน้าของอวี๋ฮุ่ยถิงเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ จะไปรู้ได้อย่างไร

เว่ยจิ้นไม่พูดอะไรอีก เพราะรู้สึกรำคาญมากแล้วจริงๆ ควรไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้เร็วหน่อยดีกว่า ไปขอให้อาจารย์จั่วช่วยสอนเวทกระบี่ให้ แบบนั้นถึงจะได้หายหงุดหงิด

ก่อนหน้านี้อู๋ถีจิงซ่อนตัวอยู่ในมุมลับ ออกกระบี่อย่างเด็ดเดี่ยว พอหลิวเสี้ยนหยางไปถึงหอถิงเจี้ยน อู๋ถีจิงก็แทบจะออกกระบี่พร้อมกับเซี่ยหย่วนชุ่ยที่เป็นขอบเขตหยกดิบ

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ตอนนี้ขอบเขตยังเป็นแค่โอสถทองไม่เพียงแต่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มีชื่อว่ายวนยางออกมา ยังเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สองที่ได้ครอบครองวิชาอภินิหารสองอย่างออกมาพร้อมกันด้วย

วิชาอภินิหารสองอย่างล้วนไร้เหตุผล ทั้งสามารถช่วยให้ตนฝ่าทะลุขอบเขตได้ชั่วคราว แล้วยังสามารถสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะที่ลี้ลับมหัศจรรย์แห่งหนึ่งขึ้นมาได้ด้วย

ก่อนหน้านี้เท่ากับว่าอู๋ถีจิงได้สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะที่เป็นภาพมายาล่องลอยแห่งหนึ่งขึ้นมาระหว่างตัวเองกับเถาแยนโปและเยี่ยนฉู่สองคน ดังนั้นหากใครก็ตามเจอการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิตก็สามารถเฉลี่ยบาดแผลไปให้ผู้อื่นได้ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต สำหรับการถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ที่ความเป็นและความตายมีเพียงเส้นบางๆ กางกั้นแล้ว นี่เรียกว่าเป็นการลงมืออย่างไร้เหตุผลที่สามารถสับเปลี่ยนแพ้ชนะและเป็นตายได้เลย

คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ยังคงทำไม่สำเร็จ หลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นยังคงเดินขึ้นเขาต่อไปได้

อู๋ถีจิงเช็ดใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือด นี่เป็นบาดแผลที่เกิดจากการสะท้อนกลับของกระบี่บินยวนยาง บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่ทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคา อู๋ถีจิงจึงไม่เก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาเป็นกังวลอย่างแท้จริงก็คือเขาอาศัยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ทำให้มองเห็นสตรีสองคนนั้น

ชั่วพริบตานั้นราวกับว่าอู๋ถีจิงถูกดึงวิญญาณออกจากร่าง คนหนึ่งเรือนกายอยู่ท่ามกลางทะเมฆ แหงนหน้ามองไป เผชิญกับดวงตาสีทองคู่นั้นของมังกรที่แท้จริง ต่อให้จะหรี่ตา ทว่าปราณแห่งมหามรรคาที่อยู่บนร่างซึ่งมีโชควาสนาลึกล้ำของมัน หรือควรจะเรียกว่านาง ก็ยังคงทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออกได้อยู่ดี

ตนอีกคนหนึ่งราวกับอยู่ในดวงจันทร์บนท้องฟ้า ใต้ฝ่าเท้าคือใต้หล้าที่ไม่คุ้นเคย คนที่มองเห็นคือสตรีหน้ากลมที่ทั้งใบหน้าและเรือนกายล้วนเห็นได้อย่างชัดเจน นางไม่ได้ขุ่นเคือง ก็แค่รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง กะพริบตาปริบๆ คล้ายกำลังถามว่าเจ้าคือใคร

ดังนั้นวินาทีที่อู๋ถีจิงออกกระบี่จึงเก็บกระบี่กลับมาแทบจะในทันที

การออกกระบี่ครั้งนี้เดิมทีก็ผิดต่อเจตจำนงเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในฐานะผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ ทำให้เขาจำต้องออกกระบี่เพื่อสำนักสองครั้ง รอกระทั่งจู๋หวงป่าวประกาศอยู่บนยอดกระบี่ว่าจะตัดชื่อวานรเฒ่าชุดขาวออกจากทำเนียบวงศ์ตระกูล อู๋ถีจิงก็รู้สึกผิดหวังอย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นเช่นนี้ไม่คู่ควรจะเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาของตน

ไปยังยอดเขาจูอวี๋ อู๋ถีจิงกลับไม่เจอกับเถียนหว่านที่พาตนขึ้นเขา เขาจึงทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ เอ่ยขอบคุณนาง ถือเป็นการขอบคุณที่เถียนหว่านพาตนขึ้นเขามาฝึกตน

จากนั้นจึงไปที่ยอดเขาเดียวดายเล็ก ไปพบซูเจี้ยครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่านางคุ้นเคยกับตนยิ่งนัก แม้ว่านิสัยของอู๋ถีจิงจะรักสันโดษ แต่กับเรื่องการฝึกตน เขากลับมีพรสวรรค์อย่างยิ่ง ราวกับว่าเกิดมาก็ได้ครอบครองมันอยู่แล้ว รู้ว่านี่คือความปรารถนาและโชควาสนาอย่างหนึ่งบนภูเขา มีความเกี่ยวข้องกับภพชาติก่อน แต่อู๋ถีจิงกลับไม่รู้สึกว่าสตรีคนหนึ่งจะทำให้การฝึกกระบี่ของตนถูกถ่วงเวลาให้ล่าช้าได้

สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่มากพรสวรรค์ที่เพิ่งจะอายุยี่สิบปีคนนี้จึงถือโอกาสนี้ออกไปจากภูเขาตะวันเที่ยงอย่างเงียบเชียบ คิดว่าจะไปเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มีชีวิตเสรี

ฝึกกระบี่อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน จู๋หวงถ่ายทอดเวทกระบี่ เดิมทีอู๋ถีจิงก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความสูงส่งลี้ลับตรงไหน แค่เรียนรู้ก็เป็นแล้ว เรียนเป็นก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีประโยชน์ใหญ่หลวงใดๆ

ส่วนเรื่องที่ว่าจู๋หวงจะเก็บงำความรู้ มีเวทกระบี่ชั้นสูงที่เป็นวิชาก้นกรุแต่ไม่ยอมถ่ายทอดให้เขาหรือไม่ อู๋ถีจิงไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด ไม่ได้เรียนก็ไม่เห็นจะเป็นไร

เรือนกายของอู๋ถีจิงกลายเป็นแสงกระบี่เล็กบางเส้นหนึ่งที่จากไปอย่างเงียบเชียบ

แต่จู่ๆ เขาก็ต้องหยุดชะงัก เพราะอู๋ถีจิงสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่าท่ามกลางเงาต้นไม้จุดหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้ามีแสงผิดปกติจุดหนึ่งโผล่ขึ้นมา คือแสงจันทร์ที่ไม่สมควรจะโผล่มาเวลานี้เด็ดขาด

ทางฝั่งของท่าเรือป๋ายลู่ แม่นางหน้ากลมคนหนึ่งที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงใช้ต้นอ้อวักน้ำพลางถามชวนคุยไปด้วย “เจ้าคือใคร? จะไปที่ไหน?”

อู๋ถีจิงปรากฏกาย ตอบรับฉับไว “อู๋ถีจิง เตรียมจะออกจากภูเขาไปหาประสบการณ์”

สตรีผู้นั้นร้องอ้อแค่หนึ่งทีแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!