กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 824

ภูเขาตะวันเที่ยงที่จำนวนผู้ฝึกกระบี่เป็นอันดับหนึ่งในทวีปแห่งนี้ ไม่ได้เรียกตัวเองว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่น้อยแห่งแจกันสมบัติทวีปหรอกหรือ?

ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของกลุ่มยอดเขาทั้งเก่าและใหม่ของภูเขาตะวันเที่ยงต่างก็คิดเช่นนี้จากใจจริง และตระกูลเซียนจำนวนไม่น้อยนอกภูเขาตะวันเที่ยงก็เห็นด้วยเช่นกัน

อันที่จริงสำหรับกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ห่างไกลสุดขอบฟ้า รวมไปถึงนครบินทะยานที่อยู่ไกลยิ่งกว่าแห่งนั้น เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระของแจกันสมบัติทวีปต่างก็ไม่มีความทรงจำใดๆ

หากไม่เป็นเพราะการเดินทางไปหาประสบการณ์ของเว่ยจิ้น รวมไปถึงสงครามอันดุเดือดที่ลามไปทั่วทั้งใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็มีแต่จะยิ่งพูดถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่น้อยครั้ง

และค่ายกลใหญ่บนยอดกระบี่ของยอดเขาอีเซี่ยนภูเขาตะวันเที่ยงก็ไม่ใช่ว่าได้รับการขนานนามให้เป็นป๋ายอวี้จิงจำลองอีกแห่งหนึ่งที่สามารถสังหารผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเซียนเหรินได้ทุกเมื่อหรอกหรือ?

แทบจะทุกคนที่มาเข้าร่วมงานพิธีบนยอดเขาทั้งหลาย ก่อนหน้านี้ต่างก็แหงนหน้ามองไกลไปยังค่ายกลกระบี่กลางอากาศที่น่าเหลือเชื่อแห่งนั้น ภาพบรรยากาศมากมายอัศจรรย์ และความเคลื่อนไหวก็อึกทึกครึกโครมมากเหลือเกินจริงๆ ไม่ว่าใครก็ล้วนต้องหันมองภาพเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ตระการตาที่ชวนให้อกสั่นพรั่นพรึงนั้นกันทั้งสิ้น

ขอบเขตสูงเพียงใด ปราณกระบี่มากน้อยเพียงใด ต้องฝึกฝนจิตใจมากแค่ไหน ถึงจะสร้างค่ายกลกระบี่โอฬารไพศาลที่ชักนำให้ฟ้าดินร่วมกันขานรับเช่นนี้ออกมาได้?

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แจกันสมบัติทวีปของพวกเรา นอกเหนือจากเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแล้วยังมีเซียนกระบี่ที่ทั้งกระบี่บินลี้ลับมหัศจรรย์ มองใครคนนั้นก็ต้องล้มไปกองอย่างหลิวเสี้ยนหยาง ทั้งยังมีเซียนกระบี่ที่เวทกระบี่เลิศล้ำ ฝึกปรือจนเข้าขั้นเชี่ยวชาญถึงเพียงนี้?

สุดท้ายเป็นเหตุให้มีเพียงคนโชคดีที่มีน้อยเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ถึงจะมองเห็นเฉินผิงอันพลิ้วกายลงพื้นตรงตีนเขา ในมือถือกระบี่ยาว แสงกระบี่เปล่งวาบ อันดับแรกคือเส้นโค้งเส้นหนึ่งที่ปรากฎก่อน พอเปล่งวูบหายไป เซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นก็สะบั้นรากภูเขา จากนั้นเคาะด้ามกระบี่เบาๆ กระบี่หนึ่งเล่มก็ยกยอดเขาอีเซี่ยนขึ้นทั้งลูกราวกับไม่ต้องใช้แรงใดๆ

เป็นเหตุให้คนที่ได้แต่มองเห็นค่ายกลกระบี่กระแทกพื้น แต่ละคนล้วนเจ็บแค้นที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาไม่อาจหมุนย้อนกลับ มิอาจมองเห็นการถามกระบี่ที่แท้จริงของเซียนกระบี่ชุดเขียวที่อยู่ตรงตีนเขาผู้นั้นได้

ไหนบอกว่าผ่านไปหนึ่งก้านธูปถึงจะถามกระบี่ต่อภูเขาตะวันเที่ยงอย่างไรเล่า?

เหตุใดเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วคนนี้ถึงไม่รักษาคำพูดเอาเสียเลย!

ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนกระบี่บนยอดเขาท่านหนึ่ง

ก่อนที่เฉินผิงอันจะถามกระบี่อย่างไม่มีลางบอกกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ค่ายกลกระบี่ยังไม่เผยกายบนโลก โดยภาพรวมแล้วความสนใจส่วนใหญ่ของพวกแขกที่มาร่วมงานยังคงอยู่ที่บุคคลจากต่างทิศทางที่มาจากภูเขาลั่วพั่วมากกว่า

จุดที่สูงยิ่งกว่ายอดเขาของยอดเขาหม่านเยว่ จูเหลี่ยนคนดูแลเฒ่าที่เปิดปากพูดก่อนใคร แม้ว่าเรือนกายจะเล็กเตี้ย รูปโฉมธรรมดา แต่กลับเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาที่วิชาหมัดเลิศล้ำค้ำฟ้า ปณิธานหมัดขุ่นข้นทั้งร่างรวมตัวกันกลายเป็นของจริง ประหนึ่งน้ำไหลรินที่กระจายออกไปสี่ทิศ ราวกับเซียนเหรินขยี้เมฆขาวบนท้องฟ้าให้แหลกกระจาย

“คนผู้นี้อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วมีสถานะอะไร ถึงกับสามารถเผยตัวบอกกล่าวชื่อแซ่ได้เป็นคนแรก?”

“คงไม่ได้มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกยุทธของกองทัพชายแดนในท้องถิ่นต้าหลีหรอกกระมัง ทูตผู้ตรวจการเฉาถึงได้ยินดีไว้หน้าภูเขาลั่วพั่วขนาดนี้?”

“สวรรค์เท่านั้นที่รู้ ภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้มีเมฆหมอกบดบังมากเกินไป ปิดบังอำพรางไว้มากเกินไปแล้ว เรียกได้ว่าอยู่ดีๆ ก็ลุกผงาดขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ หรือว่าภูเขาลั่วพั่วคือภูเขาที่ต้าหลีแอบประคับประคองขึ้นมาอย่างลับๆ หนึ่งมืดหนึ่งสว่างคู่กับสำนักกระบี่หลงเฉวียนของอริยะหร่วน?”

“หากพูดแบบนี้ การจากไปของทูตผู้ตรวจการเฉาก่อนหน้านี้ก็มีคำอธิบายแล้วหรือไม่?”

บนยอดเขาชิงอู้ที่ตั้งอยู่ริมอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยง หญิงสาวคนหนึ่งที่มวยผมทรงกลมกลางศีรษะ ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา เผยเฉียน

นางคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนใหม่ล่าสุดของแจกันสมบัติทวีป แต่เวลานี้นางจงใจกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตเดินทางไกลชั่วคราว

ตามกฎของสำนัก ผู้ฝึกยุทธของภูเขาลั่วพั่วลงจากเขาไปหาประสบการณ์ ต้องปฏิบัติกับคนอื่นด้วยความจริงใจด้วยการลดขอบเขตไปก่อนสองถึงสามขั้น

“คือเจิ้งเฉียนผู้นั้นจริงๆ ด้วย! ก่อนหน้านี้ออกหมัดสังหารปีศาจที่เกราะทองทวีป ภายหลังยังถามหมัดกับเฉาสือแห่งต้าตวน แล้วค่อยกลับมาที่บ้านเกิดของพวกเรา ไปเยือนสมรภูมิรบที่เมืองหลวงแห่งที่สอง แต่น่าเสียดายได้ยินมาว่าออกหมัดเยอะมาก แต่คนนอกกลับยากที่จะเข้าใกล้ อย่างมากสุดก็ได้แค่เหลือบมองแวบเดียว เพราะข้ามีสหายบนภูเขาคนหนึ่งโชคดีเคยได้เห็นปรมาจารย์ใหญ่หญิงผู้นี้ออกหมัดกับตาตัวเองมาก่อน ฟังเขาเล่าว่านางออกหมัดเผด็จการยิ่ง เผ่าปีศาจที่อยู่ภายใต้หมัดของนางไม่เหลือแม้กระทั่งซากศพ อีกทั้งนางยังชอบบุกทะลวงขบวนรบเพียงลำพังมากที่สุด จะหาพื้นที่ใจกลางกองทัพใหญ่ที่มีเผ่าปีศาจรวมตัวกันแน่นหนาแล้วปล่อยหมัดออกไป ฟ้าดินของสนามรบในรัศมีหลายสิบจั้งรอบด้านพลันเปลี่ยนเป็นสว่างไสว สุดท้ายก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ามีเพียงเจิ้งเฉียนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ดังนั้นข่าวลือจึงบอกว่าทุกวันนี้ในบรรดาผู้ฝึกตนบนยอดเขา นางมีฉายาสองอย่างว่า ‘เจิ้งชิงหมิง’ (ชิงหมิงหมายถึงสว่างไสว/สะอาดสะอ้าน หรือเทศกาลเชงเม้ง) ‘เจิ้งซาเฉียน’ (เจิ้งโปรยเงิน) ความหมายคร่าวๆ ก็หนีไม่พ้นว่าทุกหนทุกแห่งที่นางผ่านก็เหมือนการโปรยกระดาษเงินในเทศกาลชิงหมิง รอบด้านล้วนมีแต่คนตาย ทุกท่าน ลองคิดดูสิ หากเจ้าและข้าเป็นศัตรูกับนางจะเป็นเช่นไร?”

“จุดจบไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ได้ วันนี้ถือว่าภูเขาตะวันเที่ยงเตะชนกระดานเหล็กแล้ว มีเรื่องกับใครดันไม่มี ดันไปมีเรื่องกับปรมาจารย์ใหญ่อย่างเจิ้งเฉียนผู้นี้”

“แต่นางบอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว แสดงว่าเป็นลูกศิษย์ที่สืบทอดวรยุทธมาจากเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วงั้นรึ? แต่เจ้าขุนเขาคนนั้นเป็นเซียนกระบี่ไม่ใช่หรือ? แล้วจะสอนวิชาหมัดให้นางได้อย่างไร?”

“เกินครึ่งภูเขาลั่วพั่วคงมียอดฝีมืออีกคนที่สอนหมัดให้นาง นางแค่ติดตามเจ้าขุนเขาหนุ่มขึ้นเขามาฝึกตนเท่านั้น อันที่จริงมีแค่สถานะที่ว่างเปล่า?”

“นั่นสิๆ ไม่อย่างนั้นเจ้าขุนเขาที่ดูแล้วยังหนุ่มอยู่มากผู้นี้จะเป็นทั้งเซียนกระบี่พสุธา เป็นทั้งผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า ก็ออกจะไร้เหตุผลเกินไปหน่อยแล้ว”

กลางอากาศของยอดเขาสุ่ยหลง ชุยตงซานที่บอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเจ้าขุนเขา เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้มีใฝแดงหนึ่งเม็ดอยู่กลางหว่างคิ้ว รูปงามราวกับหยกสลัก วันนี้เขาเองก็ลดขอบเขตลงมาหนึ่งขั้น แค่เผยภาพบรรยากาศของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบเท่านั้น

โจวหมี่ลี่ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแห่งภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ข้างกายเขา แม่นางน้อยชุดดำที่มองดูแล้วขอบเขตไม่สูงผู้นี้ ขอบเขตของนางยิ่งลึกล้ำเกินกว่าจะคาดเดา คือแขกผู้ร่วมงานพิธีเพียงคนเดียวที่มีตบะขอบเขตถ้ำสถิต

ขนาดคนโง่ยังรู้ว่าไม่อาจดูแคลนผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาผู้นี้ได้เด็ดขาด เพราะถึงอย่างไรแม่นางน้อยที่คล้ายว่าจะมีชาติกำเนิดมาจากเผ่าน้ำตนนี้ หากดูตามสถานะของนางก็เป็นถึงผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว จวนเซียนและภูเขาที่มีชื่อเสียงในใต้หล้า บุคคลที่สามารถรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาได้นั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเหมือนกับบรรพจารย์ผู้คุมกฎ ต้องเป็นคนที่ต่อสู้เก่งที่สุดในสำนัก เพียงแต่ว่าคนหนึ่งต้านทานศัตรูภายนอก อีกคนหนึ่งจัดการกับกฎระเบียบภายในศาลบรรพจารย์

เกินครึ่งคงเป็นเพราะวันนี้นางดูแคลนที่จะใช้ขอบเขตที่แท้จริงมาร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยงกระมัง?

ทางฝั่งของยอดเขาเพียนเซียน โจวเฝยที่บอกว่าตัวเองคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว สวมรองเท้าผ้า ลักษณะเหมือนบัณฑิตที่ทัศนาจรอยู่ล่างภูเขา แม้ว่าจอนผมสองข้างของเขาจะเป็นสีดอกเลา ทว่ากลับยังมีเสน่ห์ นอกจากจะสะพายกระบี่แล้วยังเหยียบอยู่บนกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง เปี่ยมไปด้วยมาดของเซียนกระบี่

กระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังมีชื่อว่าเจี่ยอู่เซิง เป็นกระบี่ที่โจวอันดับหนึ่งยืมมาจากน้องชุย ส่วนกระบี่เล่มที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ในอดีตเจียงซ่างเจินได้มาจากจวนลับแห่งหนึ่งของอุตรกุรุทวีป มีชื่อว่าเทียนโจ่ว

ยืมกระบี่จากชุยตงซาน ถ้าอย่างนั้นตอนที่คืนกระบี่ก็ต้องมอบเทียนโจ่วเล่มนั้นไปให้ด้วย แน่นอนว่าเจียงซ่างเจินไม่มีความเห็นต่างสำหรับเรื่องนี้ หากพูดตามคำกล่าวของน้องชุยก็คือข้ากับโจวอันดับหนึ่งคือสหายรักที่ตายแทนกันได้ จึงไม่เกรงใจโจวอันดับหนึ่งแล้ว ตอนที่โจวอันดับหนึ่งเกรงใจข้า นั่นก็ยิ่งไม่ต้องเกรงใจแล้ว

หลิวเหล่าเฉิง หลิวจื้อเม่า หลี่ฝูฉวี หนึ่งเจ้าสำนักสองผู้ถวายงานของสำนักเจินจิ้ง อันที่จริงต่างก็ไม่ได้ออกห่างมาจากภูเขาตะวันเที่ยงไกลนัก ยังคงจับตามองสถานการณ์ของทางฝั่งภูเขาตะวันเที่ยงอยู่ตลอด พอมองไกลๆ มาเห็นคนผู้นี้ คนทั้งสามก็ทำได้เพียงยิ้มจืดเจื่อน เจ้าสำนักคนแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักเจินจิ้ง อดีตเจ้าสำนักคนก่อนของสำนักกุยหยก ทำอะไรมักผิดหลักการปกติทั่วไปแบบนี้เสมอ ต่อให้จะเป็นคนที่ดุร้ายพยศยากกำราบอย่างหลิวเหล่าเฉิงและหลิวจื้อเม่าซึ่งมีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ อีกทั้งยังทยอยกันเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจียงซ่างเจินก็ยังคงไม่กล้ามีความคิดเหลวไหลแม้เพียงนิด หากประลองกันด้วยกำลัง สู้ไม่ได้ และหากจะพูดถึงการประลองปัญญางัดอุบายมาใช้ก็ยิ่งอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!