ทางฝั่งของเรือข้ามฟาก อวี๋ฮุ่ยถิงรู้สึกเพียงความอกสั่นขวัญผวา พึมพำพูดว่า “มิน่าเล่าถึงสามารถเป็นอิ่นกวานอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้”
เว่ยจิ้นกล่าว “หยวนเจินเย่จะใช้ท่าไม้ตายแล้ว”
อวี๋ฮุ่ยถิงถามอย่างใคร่รู้ “หมายความว่าอย่างไรหรือ อาจารย์อาเว่ย?”
เว่ยจิ้นไม่ตอบอะไร คิดเองไม่เป็นหรือไร? ต่อให้คิดไปไม่ถึงความจริงข้อนั้น แค่รออีกสักพักก็จะรู้คำตอบได้เอง ถามอะไรกัน มีความหมายตรงที่ใด?
อวี๋ฮุ่ยถิงเข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์อาเว่ยกำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่จึงซักถามว่า “อาจารย์อาเว่ย หรือว่าหมัดต่อไปของผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตนนั้นจะเผด็จการอำมหิตมากกว่าเดิม คิดจะแลกชีวิตกัน?”
เว่ยจิ้นคร้านจะหันหน้าไปมองนาง วางมาดผู้อาวุโสในสำนักอย่างที่หาได้ยาก เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าไปฝึกประสบการณ์ล่างภูเขาได้ไม่เลว ชื่อเสียงในกองทัพต้าหลีดีอย่างมาก แต่ก็ยังไม่พอใจในตัวเอง ควรหลีกเลี่ยงท่าทีหยิ่งยโสและอารมณ์หุนหันพลันแล่น วันหน้าเมื่อกลับไปถึงศาลลมหิมะแล้วใช้เวลาในเรื่องการฝึกขัดเกลาจิตใจให้มาก”
ความนัยในคำพูดของเขา อันที่จริงคือกำลังเตือนนางว่าฝึกตนอยู่ในภูเขาจำเป็นต้องใช้สมองให้มาก
อวี๋ฮุ่ยถิงไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น เพียงแค่คิดว่าอาจารย์อาเว่ยที่เย็นชาไม่ใกล้ชิดกับผู้ใดมากที่สุดของหอเทพเซียนกำลังห่วงใยคนอื่นอย่างที่หาได้ยาก นางจึงพลันคลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน
เว่ยจิ้นจึงรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปนั้นเสียเปล่าแล้ว
หยวนเจินเย่เหยียบอยู่กลางอากาศว่างเปล่า เผยร่างจริงที่ใหญ่โตมโหฬารของเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาอีกครั้ง ดวงตาทั้งคู่เป็นสีทองอ่อนจางจ้องเขม็งไปยังเจ้าคนที่เคยเป็นมดตัวน้อยซึ่งอยู่บนจุดสูงผู้นั้น
บนร่างของมันมีแม่น้ำยาวแห่งโชคชะตาเส้นแล้วเส้นเล่าที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาไหลรินอยู่ท่ามกลางเส้นเลือด เส้นเอ็นและกระดูกดั่งท้องน้ำ นี่ก็คือการได้รับการปกป้องจากมหามรรคาของภูตตนหนึ่งที่ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนคนแรกในทวีป
เฉินผิงอันเองก็มีดวงตาสีทองเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าสีนั้นเข้มข้นและบริสุทธิ์กว่าของหยวนเจินเย่มากนัก เขาหัวเราะหยัน “ทำไม จะต้องให้ข้าบอกว่าตัวเองคือจูเยี่ยนให้ได้ เจ้าถึงจะได้รับบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูลอย่างนั้นหรือ?”
หยวนเจินเย่พูดหน้าเหี้ยม “เจ้าลูกสุนัขจงหัวเราะต่อไปเถอะ หมัดหนึ่งผ่านไป พินาศวอดวายกันทั้งหมด! จำไว้ว่าชาติหน้าจงไปเกิดในสถานที่ดีๆ …”
เฉินผิงอันกระดิกนิ้ว มา ขอให้เจ้าฆ่าข้าให้ตายเสียที
ครึ่งก้านธูปผ่านไปแล้ว จะมอบโอกาสให้เจ้าออกหมัดเพิ่มอีกครั้งเดียว
ชุยตงซานกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็กลั้นไม่ไหวกุมท้องหัวเราะก๊าก
เจียงซ่างเจินเองก็ให้อ่อนใจนัก หาใครมาเปรียบเทียบเรื่องการถูกผลาญโชคชะตาและถูกสยบกำราบบนมหามรรคาก็หาไปเถอะ แต่อย่ามาหาเจ้าขุนเขาหนุ่มที่ถูกใต้หล้าสองแห่งอย่างไพศาลและเปลี่ยวร้างเล่นงานอยู่ทุกหนทุกแห่งผู้นี้เลย
ส่วนถ้อยคำเหลวไหลเลื่อนเปื้อนของบรรพจารย์ย้ายภูเขาก็ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยด้วย เพราะอีกเดี๋ยวมันก็จะต้องหุบปากไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจสอบถาม “เห็นชัดๆ ว่าการสยบกำราบของใต้หล้าสองแห่งยังคงอยู่ เหตุใดถึงดูเหมือนว่าจะไม่ชัดเจนขนาดนั้น? เพราะหาวิธีคลี่คลายได้แล้วหรือ?”
ชุยตงซานเปิดโปงความลับสวรรค์ในคำพูดประโยคเดียว “อาจารย์ก็แค่เข้าใจคำพูดประโยคหนึ่งของลัทธิพุทธอย่างแท้จริง หมายช่วยให้เวไนยหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ แท้จริงแล้วเป็นการชี้นำสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นด้วยตนเอง ดังนั้นถึงได้ถือโอกาสนี้เลื่อนสู่ขอบเขตบางอย่าง มีความสับสนอยู่ทุกเวลา มีโอกาสที่ไร้อุปสรรคอยู่ทุกหนทุกแห่ง อาจารย์มีใจเช่นนี้ก่อนแล้วค่อยมีขอบเขตนี้”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “ร้ายกาจ ร้ายกาจ”
แต่เจียงซ่างเจินเองก็รู้ชัดเจนดีว่า ชุยตงซานเพียงแค่พูดแล้วฟังดูง่ายเท่านั้น เฉินผิงอันลงมือทำจริงๆ ย่อมต้องเป็นความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
ชุยตงซานกลอกตามองบน “พูดจาไร้สาระ”
ทางฝั่งของยอดกระบี่ หลิวเสี้ยนหยางแกว่งกาเหล้าว่างเปล่าที่อยู่ในมือแล้วโยนมันออกไปนอกราวรั้วหยกขาว สองมือของเขาสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย ความแค้นในอดีตล้วนผ่านพ้นไปแล้ว
นอกเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วไม่มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาตะวันเที่ยงอีกแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร ยังมีวิธีการของโจวอันดับหนึ่งอยู่
กลุ่มคนที่มีเฉาฉิงหล่างเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ถือเมล็ดแตงไว้คนละหนึ่งฝ่ามือ ล้วนเป็นเมล็ดแตงที่หมี่ลี่น้อยทิ้งเอาไว้ก่อนจะลงไปจากภูเขา รบกวนพี่หญิงหน่วนซู่ให้ช่วยนำมามอบต่อ ทุกคนต่างก็มีส่วน
เว่ยป้อออกมาจากยอดเขาพีอวิ๋น มาเผยกายอยู่ที่นี่อย่างเงียบเชียบ ชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อำพรางร่องรอยก็ปรากฎตัวตามมาด้วย เอ่ยทักทายเสียงเบาว่า “เว่ยซานจวิน”
เว่ยป้อพยักหน้ายิ้มรับ “ลำบากแล้ว”
ชุยเหวยพลันไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้เช่นไร
ข้าคือผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ จับตามองภูเขาบ้านตัวเอง จะลำบากอะไร
เว่ยป้อเองก็คล้ายรู้สึกว่าตนพูดแบบนี้ค่อนข้างจะผิดปกติ จึงเอ่ยเยาะเย้ยตัวเองว่า “ความเคยชินเช่นนี้ควรต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อยแล้ว”
ก่อนหน้านี้ไปเดินลาดตระเวนเมืองหงจู๋ซึ่งเป็นสถานที่ที่แม่น้ำสามสายมารวมตัวกัน อยู่ในร้านขายหนังสือแห่งนั้น เทพวารีหลี่จิ่นยังเอ่ยสัพยอกว่าตนคือซานจวินของแจกันสมบัติทวีป คือเทพภูเขาของยอดเขาจี้เซ่อ
เว่ยป้อรู้สึกว่ามีเหตุผลมาก คำพูดของเทพวารีหลี่ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ใครคือหัวหน้าในวงการขุนนาง ใครคือลูกน้องใต้อาณัติกันแน่? ดังนั้นจึงได้ตำราหลายสิบเล่มมาจากที่ร้านหนังสือเปล่าๆ
บนโต๊ะ คนจิ๋วควันธูปแห่งศาลเทพอภิบาลเมืองที่วันนี้มาขานชื่อที่ภูเขาลั่วพั่วพอดี รับผิดชอบช่วยรวบรวมเปลือกเมล็ดแตงมากองกันไว้เป็นภูเขาอย่างมานะยิ่ง
เห็นเว่ยซานจวิน อีกทั้งข้างกายยังไม่มีเฉินหลิงจวินคอยปกป้อง เจ้าตัวน้อยที่เคยช่วยเอาฉายาของเว่ยซานจวินไปป่าวประกาศทั่วสี่ทิศก็รีบนั่งยองอยู่ด้านหลัง ‘ภูเขาลูกเล็ก’ ขอแค่ข้ามองไม่เห็นเว่ยท่องราตรี เว่ยท่องราตรีก็มองไม่เห็นข้า
ภูเขาสายน้ำส่วนตัวในรัศมีพันลี้รอบภูเขาตะวันเที่ยง เมื่อหยวนเจินเย่เผยร่างจริง ต่อให้เป็นพวกชาวบ้านในตลาด ทุกคนแค่เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นเรือนกายใหญ่โตมโหฬารของผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตนนั้นได้แล้ว
ส่วนพวกผู้ฝึกตนที่มาเข้าร่วมงานพิธีคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ สรุปแล้วเซียนกระบี่ชุดเขียวที่มาจากภูเขาลั่วพั่วสามารถรับหมัดแล้วหมัดเล่าจากน้ำมือของวานรเฒ่าตัวนี้ได้อย่างไร
บรรพจารย์เซี่ยหย่วนชุ่ยพลันใช้เสียงในใจพูดว่า “ศิษย์หลาน การเลือกของเจ้า มองดูเหมือนไร้น้ำใจ แต่แท้จริงแล้วปราดเปรื่องยิ่ง หากเปลี่ยนให้ข้ามาเป็นคนตัดสินใจก็ไม่แน่ว่าจะเด็ดขาดได้อย่างเจ้า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!