สรุปตอน บทที่ 825.4 เทพอยู่บนฟ้า แสงกระบี่ร่วงหล่นลงมา – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 825.4 เทพอยู่บนฟ้า แสงกระบี่ร่วงหล่นลงมา ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ทางฝั่งของเรือข้ามฟาก อวี๋ฮุ่ยถิงรู้สึกเพียงความอกสั่นขวัญผวา พึมพำพูดว่า “มิน่าเล่าถึงสามารถเป็นอิ่นกวานอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้”
เว่ยจิ้นกล่าว “หยวนเจินเย่จะใช้ท่าไม้ตายแล้ว”
อวี๋ฮุ่ยถิงถามอย่างใคร่รู้ “หมายความว่าอย่างไรหรือ อาจารย์อาเว่ย?”
เว่ยจิ้นไม่ตอบอะไร คิดเองไม่เป็นหรือไร? ต่อให้คิดไปไม่ถึงความจริงข้อนั้น แค่รออีกสักพักก็จะรู้คำตอบได้เอง ถามอะไรกัน มีความหมายตรงที่ใด?
อวี๋ฮุ่ยถิงเข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์อาเว่ยกำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่จึงซักถามว่า “อาจารย์อาเว่ย หรือว่าหมัดต่อไปของผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตนนั้นจะเผด็จการอำมหิตมากกว่าเดิม คิดจะแลกชีวิตกัน?”
เว่ยจิ้นคร้านจะหันหน้าไปมองนาง วางมาดผู้อาวุโสในสำนักอย่างที่หาได้ยาก เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าไปฝึกประสบการณ์ล่างภูเขาได้ไม่เลว ชื่อเสียงในกองทัพต้าหลีดีอย่างมาก แต่ก็ยังไม่พอใจในตัวเอง ควรหลีกเลี่ยงท่าทีหยิ่งยโสและอารมณ์หุนหันพลันแล่น วันหน้าเมื่อกลับไปถึงศาลลมหิมะแล้วใช้เวลาในเรื่องการฝึกขัดเกลาจิตใจให้มาก”
ความนัยในคำพูดของเขา อันที่จริงคือกำลังเตือนนางว่าฝึกตนอยู่ในภูเขาจำเป็นต้องใช้สมองให้มาก
อวี๋ฮุ่ยถิงไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น เพียงแค่คิดว่าอาจารย์อาเว่ยที่เย็นชาไม่ใกล้ชิดกับผู้ใดมากที่สุดของหอเทพเซียนกำลังห่วงใยคนอื่นอย่างที่หาได้ยาก นางจึงพลันคลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน
เว่ยจิ้นจึงรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปนั้นเสียเปล่าแล้ว
หยวนเจินเย่เหยียบอยู่กลางอากาศว่างเปล่า เผยร่างจริงที่ใหญ่โตมโหฬารของเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาอีกครั้ง ดวงตาทั้งคู่เป็นสีทองอ่อนจางจ้องเขม็งไปยังเจ้าคนที่เคยเป็นมดตัวน้อยซึ่งอยู่บนจุดสูงผู้นั้น
บนร่างของมันมีแม่น้ำยาวแห่งโชคชะตาเส้นแล้วเส้นเล่าที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาไหลรินอยู่ท่ามกลางเส้นเลือด เส้นเอ็นและกระดูกดั่งท้องน้ำ นี่ก็คือการได้รับการปกป้องจากมหามรรคาของภูตตนหนึ่งที่ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนคนแรกในทวีป
เฉินผิงอันเองก็มีดวงตาสีทองเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าสีนั้นเข้มข้นและบริสุทธิ์กว่าของหยวนเจินเย่มากนัก เขาหัวเราะหยัน “ทำไม จะต้องให้ข้าบอกว่าตัวเองคือจูเยี่ยนให้ได้ เจ้าถึงจะได้รับบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูลอย่างนั้นหรือ?”
หยวนเจินเย่พูดหน้าเหี้ยม “เจ้าลูกสุนัขจงหัวเราะต่อไปเถอะ หมัดหนึ่งผ่านไป พินาศวอดวายกันทั้งหมด! จำไว้ว่าชาติหน้าจงไปเกิดในสถานที่ดีๆ …”
เฉินผิงอันกระดิกนิ้ว มา ขอให้เจ้าฆ่าข้าให้ตายเสียที
ครึ่งก้านธูปผ่านไปแล้ว จะมอบโอกาสให้เจ้าออกหมัดเพิ่มอีกครั้งเดียว
ชุยตงซานกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็กลั้นไม่ไหวกุมท้องหัวเราะก๊าก
เจียงซ่างเจินเองก็ให้อ่อนใจนัก หาใครมาเปรียบเทียบเรื่องการถูกผลาญโชคชะตาและถูกสยบกำราบบนมหามรรคาก็หาไปเถอะ แต่อย่ามาหาเจ้าขุนเขาหนุ่มที่ถูกใต้หล้าสองแห่งอย่างไพศาลและเปลี่ยวร้างเล่นงานอยู่ทุกหนทุกแห่งผู้นี้เลย
ส่วนถ้อยคำเหลวไหลเลื่อนเปื้อนของบรรพจารย์ย้ายภูเขาก็ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยด้วย เพราะอีกเดี๋ยวมันก็จะต้องหุบปากไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจสอบถาม “เห็นชัดๆ ว่าการสยบกำราบของใต้หล้าสองแห่งยังคงอยู่ เหตุใดถึงดูเหมือนว่าจะไม่ชัดเจนขนาดนั้น? เพราะหาวิธีคลี่คลายได้แล้วหรือ?”
ชุยตงซานเปิดโปงความลับสวรรค์ในคำพูดประโยคเดียว “อาจารย์ก็แค่เข้าใจคำพูดประโยคหนึ่งของลัทธิพุทธอย่างแท้จริง หมายช่วยให้เวไนยหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ แท้จริงแล้วเป็นการชี้นำสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นด้วยตนเอง ดังนั้นถึงได้ถือโอกาสนี้เลื่อนสู่ขอบเขตบางอย่าง มีความสับสนอยู่ทุกเวลา มีโอกาสที่ไร้อุปสรรคอยู่ทุกหนทุกแห่ง อาจารย์มีใจเช่นนี้ก่อนแล้วค่อยมีขอบเขตนี้”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “ร้ายกาจ ร้ายกาจ”
แต่เจียงซ่างเจินเองก็รู้ชัดเจนดีว่า ชุยตงซานเพียงแค่พูดแล้วฟังดูง่ายเท่านั้น เฉินผิงอันลงมือทำจริงๆ ย่อมต้องเป็นความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
ชุยตงซานกลอกตามองบน “พูดจาไร้สาระ”
ทางฝั่งของยอดกระบี่ หลิวเสี้ยนหยางแกว่งกาเหล้าว่างเปล่าที่อยู่ในมือแล้วโยนมันออกไปนอกราวรั้วหยกขาว สองมือของเขาสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย ความแค้นในอดีตล้วนผ่านพ้นไปแล้ว
นอกเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วไม่มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาตะวันเที่ยงอีกแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร ยังมีวิธีการของโจวอันดับหนึ่งอยู่
กลุ่มคนที่มีเฉาฉิงหล่างเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ถือเมล็ดแตงไว้คนละหนึ่งฝ่ามือ ล้วนเป็นเมล็ดแตงที่หมี่ลี่น้อยทิ้งเอาไว้ก่อนจะลงไปจากภูเขา รบกวนพี่หญิงหน่วนซู่ให้ช่วยนำมามอบต่อ ทุกคนต่างก็มีส่วน
เว่ยป้อออกมาจากยอดเขาพีอวิ๋น มาเผยกายอยู่ที่นี่อย่างเงียบเชียบ ชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อำพรางร่องรอยก็ปรากฎตัวตามมาด้วย เอ่ยทักทายเสียงเบาว่า “เว่ยซานจวิน”
เว่ยป้อพยักหน้ายิ้มรับ “ลำบากแล้ว”
ชุยเหวยพลันไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้เช่นไร
ข้าคือผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ จับตามองภูเขาบ้านตัวเอง จะลำบากอะไร
เว่ยป้อเองก็คล้ายรู้สึกว่าตนพูดแบบนี้ค่อนข้างจะผิดปกติ จึงเอ่ยเยาะเย้ยตัวเองว่า “ความเคยชินเช่นนี้ควรต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อยแล้ว”
ก่อนหน้านี้ไปเดินลาดตระเวนเมืองหงจู๋ซึ่งเป็นสถานที่ที่แม่น้ำสามสายมารวมตัวกัน อยู่ในร้านขายหนังสือแห่งนั้น เทพวารีหลี่จิ่นยังเอ่ยสัพยอกว่าตนคือซานจวินของแจกันสมบัติทวีป คือเทพภูเขาของยอดเขาจี้เซ่อ
เว่ยป้อรู้สึกว่ามีเหตุผลมาก คำพูดของเทพวารีหลี่ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ใครคือหัวหน้าในวงการขุนนาง ใครคือลูกน้องใต้อาณัติกันแน่? ดังนั้นจึงได้ตำราหลายสิบเล่มมาจากที่ร้านหนังสือเปล่าๆ
บนโต๊ะ คนจิ๋วควันธูปแห่งศาลเทพอภิบาลเมืองที่วันนี้มาขานชื่อที่ภูเขาลั่วพั่วพอดี รับผิดชอบช่วยรวบรวมเปลือกเมล็ดแตงมากองกันไว้เป็นภูเขาอย่างมานะยิ่ง
เห็นเว่ยซานจวิน อีกทั้งข้างกายยังไม่มีเฉินหลิงจวินคอยปกป้อง เจ้าตัวน้อยที่เคยช่วยเอาฉายาของเว่ยซานจวินไปป่าวประกาศทั่วสี่ทิศก็รีบนั่งยองอยู่ด้านหลัง ‘ภูเขาลูกเล็ก’ ขอแค่ข้ามองไม่เห็นเว่ยท่องราตรี เว่ยท่องราตรีก็มองไม่เห็นข้า
ภูเขาสายน้ำส่วนตัวในรัศมีพันลี้รอบภูเขาตะวันเที่ยง เมื่อหยวนเจินเย่เผยร่างจริง ต่อให้เป็นพวกชาวบ้านในตลาด ทุกคนแค่เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นเรือนกายใหญ่โตมโหฬารของผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตนนั้นได้แล้ว
ส่วนพวกผู้ฝึกตนที่มาเข้าร่วมงานพิธีคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ สรุปแล้วเซียนกระบี่ชุดเขียวที่มาจากภูเขาลั่วพั่วสามารถรับหมัดแล้วหมัดเล่าจากน้ำมือของวานรเฒ่าตัวนี้ได้อย่างไร
บรรพจารย์เซี่ยหย่วนชุ่ยพลันใช้เสียงในใจพูดว่า “ศิษย์หลาน การเลือกของเจ้า มองดูเหมือนไร้น้ำใจ แต่แท้จริงแล้วปราดเปรื่องยิ่ง หากเปลี่ยนให้ข้ามาเป็นคนตัดสินใจก็ไม่แน่ว่าจะเด็ดขาดได้อย่างเจ้า”
เฉินผิงอันพยักหน้าให้มัน
ไม่รู้ว่าเหตุใด ดูเหมือนหยวนเจินเย่จะเข้าใจความคิดของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงในอดีต มันจึงผงกศีรษะเบาๆ จากนั้นหลับตาลง เลือกทำแบบเดียวกับซือถูเหวินอิงผู้ฝึกตนผีหญิงของยอดเขาหม่านเยว่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เลือกที่จะทิ้งท่วงทำนองแห่งมรรคาของขอบเขตหยกดิบและโชคชะตาที่เหลืออยู่เอาไว้ มอบให้แก่ภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนี้ทั้งหมด
วานรเฒ่าที่ก่อนหน้านี้สามารถเลือกที่จะระเบิดโอสถทองและก่อกำเนิดได้ ความคิดสุดท้ายที่เหลืออยู่ในชีวิตคล้ายต้องการบอกกับคนบนยอดเขาว่า ถือว่าข้าขอร้องเจ้า อย่าฆ่าเถาจื่อ!
ส่วนคนชุดเขียวที่คล้ายล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ความหมายที่เขาพยักหน้าในเวลานั้นคือกำลังพูดว่า ข้าไม่ใช่เจ้า
จิตวิญญาณของหยวนเจินเย่แหลกสลาย ยังคงมองเห็นผู้เฒ่าชุดขาวที่เรือนกายล่องลอย แผ่นหลังงองุ้มยืนอยู่ข้างศีรษะที่อยู่ตีนเขา มันเงยหน้าขึ้นมองคนหนุ่ม ใช้เสียงในใจสอบถามเป็นประโยคสุดท้ายในชีวิตนี้ “คนที่ข้าฆ่าคือใครกันแน่?”
เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบ เพียงแค่โบกชายแขนเสื้อสลายจิตวิญญาณของอีกฝ่ายทิ้งไป
เย่โหยวกลับคืนสู่ฝัก ถูกเขาสะพายไว้ด้านหลัง
ยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบแรงๆ ภูเขาใต้ฝ่าเท้าก็แหลกออกเป็นชิ้นๆ
บนโลกนี้ไม่มียอดเขาสะพายกระบี่อีกต่อไป มีเพียงคนชุดเขียวที่สะพายกระบี่เดินทางไกล
เดินท่องอยู่บนมหามรรคา ผู้ที่ถือเทียนเดินทางยามค่ำคืน ไม่กลัวว่าจะเจอผี ผีต้องกลัวคนถึงจะถูก
นอกจากทุกคนของภูเขาลั่วพั่วที่มาเข้าร่วมงานพิธีแล้ว
เซียนกระบี่และลูกศิษย์ทุกคนของภูเขาตะวันเที่ยง รวมไปถึงแขกทั้งหมดที่อยู่บนยอดเขาเก่าใหม่ทั้งหลาย นาทีนี้ต่างก็รู้สึกหายใจไม่ออกอย่างน่าประหลาดใจ
ราวกับว่าเวลานี้ข้างกายของทุกคนมีเซียนกระบี่ชุดเขียวที่มาจากภูเขาลั่วพั่วคนหนึ่งยืนอยู่
คนชุดเขียวผู้นั้นทะยานลมไปที่ยอดกระบี่ซึ่งสูญเสียศาลบรรพจารย์ไปแล้ว
จู๋หวงที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่งรีบกุมหมัดเอ่ยอย่างนอบน้อม “จู๋หวงแห่งภูเขาตะวันเที่ยงคารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
หลิวเสี้ยนหยางกลอกตามองบน สบตากับเฉินผิงอันทีหนึ่ง หลิวเสี้ยนหยางก็ทะยานลมจากไปก่อน เหลียวซ้ายแลขวา เห็นแม่นางหน้ากลมที่ยืนอยู่กลางกอต้นอ้อต้นกกก็รีบวิ่งตุปัดตุเป๋ไปที่ท่าเรือป๋ายลู่ทันที
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน ไม่ได้พูดอะไรมาก ทะยานลมจากไปพร้อมกับหลิวเสี้ยนหยาง ระหว่างนั้นยังหันไปยิ้มกว้างให้ทางท่าเรือป๋ายลู่ แล้วจึงมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มชุดขาวและแม่นางน้อยชุดดำ ลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “กลับบ้านกันเถอะ”
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!