บทที่ 831.2 ฝึกฝน – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 831.2 ฝึกฝน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เสียงในใจที่เฉินผิงอันและเฟิงอี๋ผู้นี้พูดคุยกัน คนอื่นๆ ที่เหลืออีกหกคนต่างก็ขอบเขตไม่สูง แน่นอนว่าไม่มีทางได้ยิน จึงได้แต่ทำเหมือนนั่งดูไฟชายฝั่ง อาศัยการเปลี่ยนแปลงทางแววตาและสีหน้าของสองฝ่าย พยายามค้นหาความจริงให้ได้มากที่สุด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสใส่ร้ายกันเสียแล้ว”
จะพูดว่าเป็นการข่มขู่ได้อย่างไร ก็แค่มีอะไรก็พูดไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง
เฟิงอี๋ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือเทพซือเฟิง (เทพแห่งสายลม) หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือหนึ่งในเทพซือเฟิง
ดังนั้นถึงได้อยู่คนเดียวตัดขาดโลกภายนอก ไม่แปดเปื้อนธุลีในโลกีย์เช่นนี้ เหตุผลก็เรียบง่ายอย่างยิ่ง การหมุนเวียนของสายลมในใต้หล้าล้วนต้องฟังคำสั่งจากนาง
ส่วนพวกลมยี่สิบสี่ระลอกที่โชยมาเมื่อบุปผาผลิบาน แน่นอนว่าต้องอยู่ในขอบเขตการควบคุมของนางด้วย
เฉินผิงอันรับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน ถึงได้เห็นหัวข้อหลายข้อที่เกี่ยวพันกับ ‘เฟิงอี๋’ ซึ่งอธิบายคร่าวๆ ถึงรากฐานมหามรรคาของนาง
เฟิงอี๋ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง มีคนรักเป็นขอบเขตบินทะยาน ยามพูดจาน้ำเสียงจึงแข็งกระด้างได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มกล่าว “ลมพัดผ่านโลกมนุษย์ จุดที่ธงแดงไม่ตั้งอยู่ ต้นไม้เขียวยังคงเศร้าโศก จะทำอย่างไรได้ ไม่แข็งกระด้างเท่าผู้อาวุโสจริงๆ”
เฟิงอี๋ผู้นี้เป็นฝ่ายมาปรากฏตัวที่นี่ ความเป็นไปได้ที่ใหญ่ที่สุดก็เพื่อออกหน้าให้กับสกุลซ่งต้าหลี เท่ากับเป็นการท้าทายอย่างที่มองไม่เห็น
เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าการมาเยือนของตัวเองจะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอะไรสำหรับนาง
หากจะบอกว่าการปรากฏตัวของรองเจ้ากรมพิธีการต่งหูคือการแสดงความเป็นมิตร ถ้าอย่างนั้นการปรากฎตัวของเฟิงอี๋ก็คือลักษณะนิสัยการลงมือที่แข็งกระด้างแล้ว
คล้ายกับกำลังบอกตนว่า รากฐานของสกุลซ่งและเมืองหลวงแห่งนี้ เจ้าเฉินผิงอันไม่รู้เลยสักนิด อย่าได้คิดจะมาเดินกร่างที่นี่
แม้เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เฟิงอี๋ผู้นี้จะไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงสิบสองท่านทดแทนตำแหน่งที่ขาด แต่ในตำราโบราณของสำนักการทหารเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ไท่กงอินฝู’ ของคฤหาสน์หลบร้อนได้บันทึกเรื่องราวในอดีตของช่วงเวลานั้นเอาไว้ เพียงแต่ว่าใช้วิธี ‘บันทึกเรื่องพิสดาร’ ซึ่งหายสาบสูญไปนานแล้วมาบันทึกเรื่องราวในอดีต เล่าลือกันว่าเคยมีเสินจวินชั้นสูงเจ็ดท่านที่มีอำนาจบารมี ต่างคนต่างปกครองกรมกองแห่งหนึ่ง ช่วยเหลือเผ่ามนุษย์ในการโจมตีสวรรค์ ส่วนใหญ่ล้วนตายอยู่ในสงครามใหญ่ หลงเหลือเทพชั้นสูงแค่ไม่กี่ท่าน จึงนำกรมของตัวเองไปพักพิงอยู่ในศาลบรรพชนของสำนักการทหารแห่งไพศาล คล้ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนนางสวรรค์ที่ทำตามตำแหน่งหน้าที่ ต่างคนต่างโคจรมหามรรคาในส่วนของกรมตัวเอง
เพียงแต่ว่าเสินจวินชั้นสูงในตำราไม่มีสถานะที่แน่ชัด ส่วนจะถือว่าเป็นเทพชั้นสูงสิบสององค์ของช่วงแรกเริ่มสุดด้วยหรือไม่ก็ยิ่งบอกได้ยากแล้ว
สมมติว่าศาลหลักของสำนักการทหารของแผ่นดินกลางคือประตูใหญ่ของเรือนหลังใหญ่หลังหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นศาลบรรพชนของสำนักการทหารในหนึ่งทวีปอย่างภูเขาเจินอู่ ศาลลมหิมะ ก็เท่ากับเป็นประตูด้านข้างที่ถูกสร้างขึ้นมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลเหล่านี้จึงสามารถเดินเข้าออกได้เช่นกัน
นอกจากนี้ในรวมบทประพันธ์โบราณเล่มหนึ่งที่คล้ายคลึงนิยายเทพเซียนปรัมปราก็มีการบันทึกถึงภัยพิบัติใหญ่เทียมฟ้า เป็นหายนะครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาไว้อย่างละเอียด ก็เป็นเพราะนางที่ถูกเทพีบุปผาของพื้นที่มงคลเรียกขานอย่างแค้นเคืองว่า ‘ไพร่ตระกูลเฟิง’ ‘นังหญิงตระกูลเฟิง’ ของพื้นที่มงคลลี่หลินผู้นี้ที่มาเป็นแขกถึงบ้าน เดินผ่านขุนเขาสายน้ำของพื้นที่มงคล ทุกที่ที่ผ่านล้วนมีลมพัดกระโชกแรง ตวาดก้องเดือดดาล สะเทือนจนร้อยบุปผาร่วงโรย ดังนั้นในตำราโบราณเล่มนั้น ตรงช่วงท้ายยังเขียนถ้อยคำฮึกเหิมเอาไว้ด้วยว่า ขอสาบานว่าจะรบกับเฟิงอี๋จนตัวตายเพื่อร้อยบุปผาในทั่วหล้า
ตอนนั้นทุกครั้งที่เฉินผิงอันมีเวลาว่างจากการศึก ยามอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนเขาจะต้องเอาเหล้ากาหนึ่งมาพร้อมกับถั่วลิสงหนึ่งจาน แล้วเอาปฏิทินเหลืองที่ถูกปิดผนึกมานานพวกนี้มาทำเป็นกับแกล้มแกล้มเหล้า
ดูเหมือนว่าในจารึกภูเขามหาสมุทรและบันทึกเสริม รวมไปถึงผลงานส่วนตัวของนักประพันธ์ที่มีมากมายราวขนวัวต่างก็ไม่เคยมีบันทึกใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเฟิงอี๋
มีเอกสารลับที่มีตัวอักษรบันทึกไว้อย่างชัดเจน นอกจากสวนกงเต๋อของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแล้ว สถานที่อื่นในใต้หล้าไพศาล ไม่ว่าจะเป็นหอเก็บตำราแห่งใด ต่อให้เป็นสำนักบนภูเขาและในตระกูลชนชั้นสูงที่มีอายุยาวนานพันปีของราชวงศ์โลกมนุษย์ก็ล้วนหาหนังสือประเภทนี้ไม่เจอแม้แต่เล่มเดียว ลูกหลานทายาทรุ่นหลังอยากจะรู้ก็ได้แต่อาศัยการบอกเล่าจากบรรพบุรุษปากต่อปาก แล้วยังต้องรับรองว่าจะไม่ถูกสถานศึกษาสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อได้ยินเข้าหู ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นเจ้าสำนักของหนึ่งสำนักหรือเจ้าประมุขของหนึ่งตระกูลก็ล้วนจำเป็นต้องไปเล่นหมากล้อม ดื่มเหล้าที่สวนกงเต๋อของศาลบุ๋นแล้ว
และในบรรดาผู้ที่ได้ครอบครองเทพแห่งสายลมอย่างสตรีผู้นี้ก็ไม่ขาดแคลนจักรพรรดิและราชาที่องอาจมากความสามารถในประวัติศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งในนั้นก็มีเจ้าเมืองท่านหนึ่งของเรือราตรี เจ้าศาลาซื่อสุ่ยที่เคยสังหารงูขาวคนนั้น
เฟิงอี๋พลันเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “เกือบจะลืมไปแล้วว่าเจ้าเคยเป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
อันที่จริงช่วงเวลาหลายสิบปีก่อนที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะปริแตกแล้วหล่นร่วงลงมายังพื้นดิน สำหรับบุคคลจากยุคบรรพกาลที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานเช่นนาง ก็เหมือนได้เจอจุดที่เป็นกุญแจสำคัญในช่วงเวลาที่ไม่สำคัญ จึงไม่ใคร่จะยินดีมองให้มากนัก บางทีอาจทำเพียงแค่กวาดตามองหนึ่งที สำหรับสรรพชีวิตที่มีสติปัญญาทุกตนในเวลานั้น แค่แน่ใจว่าในใจรู้คร่าวๆ ว่าต้องทำอย่างไรก็พอแล้ว จากนั้นอย่างมากสุดต่างคนต่างก็มีวิธีในการเดิมพัน บางทีอาจเกิดจากความสนใจ บางทีอาจเป็นการประลองด้านแววตาในการมอง หรือไม่ก็เป็นการงัดข้อกับคนอื่น
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เหมือนแกล้งเลอะเลือน บางทีอาจเป็นเพราะยังดื่มเหล้าได้ไม่ถึงระดับมากพอ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถเชิญผู้อาวุโสเฟิงอี๋ไปดื่มเหล้ารำลึกความหลังที่โรงเตี๊ยมด้วยกันได้
เฟิงอี๋นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงคล้ายจะรู้สึกประหลาดใจต่อความมีน้ำอดน้ำทนของเฉินผิงอันอยู่บ้าง “ไม่อยากถามบ้างหรือว่าพวกตาแก่หนังเหนียวคนที่เหลือที่เปิดปากพูดในปีนั้น ต่างคนต่างมีที่มาอย่างไร และแต่ละคนต้องการสิ่งใด?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “หากผู้อาวุโสยินดีพูด แน่นอนว่าผู้เยาว์ย่อมต้องซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด หากผู้อาวุโสไม่ยินดีจะพูด ผู้เยาว์ย่อมไม่บังคับฝืนใจ”
นางยื่นนิ้วสองนิ้วที่ประกบกันออกมาเคาะข้างแก้มเบาๆ ยิ้มตาหยี คล้ายกำลังลังเลว่าควรจะเปิดเผยความลับสวรรค์ดหรือไม่
หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา ซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิง จ้าวเหยาแห่งถนนฝูลู่ เซี่ยหลิงแห่งตรอกเถาเย่…นี่เป็นแค่คนรุ่นที่อายุน้อยที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจู หากขยับขึ้นไปอีก อันที่จริงยังมีการเดิมพันอีกบางอย่าง บางส่วนเกิดจากความเบื่อหน่ายอย่างเดียวเท่านั้น เจอกับใครที่ถูกชะตาตรงใจก็แค่ถือโอกาสประคับประคอง บ้างก็มีเป้าหมายบางอย่างจึงฝังเส้นสายไกลพันลี้ ยกตัวอย่างเช่นมีตาเฒ่าคนหนึ่งที่เป็นบรรพจารย์ของสายคนเลี้ยงมังกรบนโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน บรรพบุรุษของตระกูลมีคุณความชอบในการเลี้ยงมังกร ปีนั้นคนผู้นี้จึงปิดบังสถานะ เดินทางจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาถึงแจกันสมบัติทวีป สกัดกั้นฟ้าดิน ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกลมปราณที่พิฆาตมังกรกลุ่มนั้น
เฟิงอี๋พลันกลั้นยิ้ม อยู่ดีๆ ก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “แบกสตรีที่รักไว้บนหลัง ต่อให้ต้องเดินไกลแค่ไหนก็ไม่ทำให้คนรู้สึกเหนื่อยจริงๆ ตอนนั้นใจกล้าไม่เบา ทำไมทุกวันนี้ขอบเขตสูงแล้วกลับกลายเป็นว่าขี้ขลาดเสียแล้วล่ะ ข้ายังรู้สึกร้อนใจแทนเจ้าเลยนะ”
เฉินผิงอันหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
เฟิงอี๋เห็นว่ามือกระบี่ชุดเขียวในเวลานี้ ในที่สุดก็พอจะมีความรู้สึกที่คุ้นเคยอยู่บ้าง มีลักษณะเหมือนเด็กหนุ่มขี้อายในปีนั้นบ้างแล้ว
โอ้ หน้าแดงด้วยหรือนี่
ประหลาดนัก ไหนพูดกันว่าเฉินอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ อาศัยแค่หนังหน้าก็สามารถเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองได้นานหนึ่งหมื่นปีแล้วอย่างไรเล่า?
เฉินผิงอันไม่จงใจทำให้เรือนกายงองุ้มอีกต่อไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที กุมหมัดคารวะ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ผู้อาวุโสช่วยดูแลปกป้องมรรคาให้”
เฟิงอี๋พยักหน้ารับ พูดแค่นิดหน่อยก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง เป็นคนฉลาดที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมจริงๆ อีกทั้งออกจากบ้านตอนอายุยังน้อยมานานหลายปี ยังสามารถรักษาสติปัญญาความเฉลียวฉลาดก่อนวัยส่วนนั้นเอาไว้ได้ ฉีจิ้งชุนช่างสายตาดีจริงๆ
ในถ้ำสวรรค์หลีจู มีทัศนียภาพและม้วนภาพแห่งกาลเวลาบางอย่าง หลังจากที่ฉีจิ้งชุนตัดสินใจไปแล้ว นั่นก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่ใช่ว่าใครอยากเห็นก็เห็นได้
ก็เหมือนอย่างที่นางพูดเองกับปากก่อนหน้านี้ นิสัยของฉีจิ้งชุนไม่ถือว่าดีเท่าไรเลยจริงๆ
หลังจากที่ฉีจิ้งชุนพาเด็กหนุ่มเดินข้ามสะพานแบบคานนั้นไป ก็ได้ตั้งกฎข้อหนึ่งกับทุกคน ควบคุมดวงตาของตัวเองให้ดี ไม่อนุญาตให้มองเด็กหนุ่มแห่งตรอกหนีผิงอีกแม้แต่ครั้งเดียว
ตาเฒ่าคนหนึ่งทำผิดกฎ จึงถูกฉีจิ้งชุนจัดการจนเกือบจะเป็นฝ่ายยอมสละร่างไปเกิดใหม่
มีเพียงนางที่เป็นข้อยกเว้น
ไม่ใช่ว่านางเห็นดีในตัวเฉินผิงอันจึงมีการเดิมพันอะไร แต่เป็นเพราะเรื่อง ‘ใช้หญ้าอ้ายฉ่าวเผาหน้าผากมังกรหญิง’ ในอดีตนั้น เพราะนางเคยให้การปกป้องมังกรที่แท้จริงของใต้หล้ามาก่อน
เฟิงอี๋พยักหน้า ไม่ใช่เสียงในใจพูดคุยอีกต่อไป เอ่ยเสียงเบาว่า “ในเมืองหลวงแห่งนี้ ข้ามีที่พักแห่งหนึ่งอยู่ที่ศาลเทพอัคคี”
แต่ขอแค่ไม่ใช่คนโง่ ต่อให้จะรู้สึกตัวช้าแค่ไหนก็ควรจะเข้าใจเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ทุกคนต้องประเมินขอบเขตและสถานะของเฟิงอี๋ผู้นั้นต่ำเกินไปเป็นแน่
เฉินผิงอันเตรียมจะจากไป เขาไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุยกับพวกผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนเหล่านี้ ก็แค่หนีไม่พ้นว่าต่างคนต่างเดินบนทางไม้คับแคบหรือไม่ก็เส้นทางกว้างขวางของตัวเองกันไป
ขอแค่สกุลซ่งต้าหลีไม่เสียสติก็ไม่มีทางให้ผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยที่มีความหวังบนมหามรรคากลุ่มนี้มาหาเรื่องตนเป็นแน่
คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกกระบี่คนนั้นจะกุมหมัดเอ่ยว่า “คนของเมืองหลวง ผู้ฝึกกระบี่ซ่งซวี่คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
เฉินผิงอันจึงได้แต่หยุดเดิน ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอายุไม่ถึงยี่สิบปี เด็กรุ่นหลังช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
สีหน้าของซ่งซวี่อึดอัดใจอยู่บ้าง
ในเมื่อพี่ใหญ่ซ่งซวี่ที่เป็นผู้นำของทุกคนยังแนะนำตัวเองแล้ว คนที่เหลืออีกห้าคนจึงเอาอย่าง เพราะถึงอย่างไรโอกาสนี้ก็หาได้ยาก ได้พูดคุยกับใต้เท้าอิ่นกวานที่ชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้สองสามประโยคก็ถือว่าได้กำไรแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณลัทธิขงจื๊อเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์เฉิน บอกว่าตัวเองคือบัณฑิตจากสำนักศึกษาซานหยาเก่าของต้าหลี ไม่ได้ไปศึกษาต่อที่ต้าสุย เคยรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอยู่สองสามปี
อาจารย์ค่ายกลอายุน้อย สตรีมีนามว่าหันโจ้วจิ่น นางบอกว่าตัวเองมาจากพื้นที่มงคลชิงถานที่อยู่ใต้การปกครองของสำนักโองการเทพ
แม่นางน้อยสำนักการทหารแซ่อวี๋ หากไม่ผิดไปจากที่คาด หอเทียนลู่แห่งนี้ก็น่าจะเป็นถิ่นของบ้านนางแล้ว
นักพรตเต๋ามีสถานะที่เป็นทางการ รับหน้าที่เป็นเต้าลู่ (ชื่อตำแหน่งขุนนางที่ดูแลกิจธุระของลัทธิเต๋า) คือคนสกุลจวี้หรงทางเขตทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป มีชื่อว่าเก๋อหลิ่ง
ภิกษุน้อยที่สวมชุดคลุมผ้าโปร่งสีพื้น บอกว่าตัวเองคือเณรน้อยที่มาจากหน่วยแปลคัมภีร์
แม่นางน้อยดูเหมือนจะอารมณ์ลิงโลดจึงหัวเราะร่าเอ่ยเพิ่มมาสองสามประโยคว่า “ปรมาจารย์ใหญ่เฉิน ได้ยินว่าท่านผู้อาวุโสต่อสู้กับเฉาสือในสวนกงเต๋อไปรอบหนึ่ง สะเทือนฟ้าสะเทือนดินมากเลย ต่อยจนเฉาสือที่ได้ยินมาว่ารูปลักษณ์หล่อเหลา ออกหมัดสง่างามหน้าปูดบวม ท่านถือว่าแพ้อย่างสมเกียรติหรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่เคยเจอกับแม่นางน้อยที่ไม่รู้จักพูดคุยกับคนอื่นเช่นนี้มาก่อน ด่าทีด่าถึงสองคน? เจ้าคิดว่าตัวเองคือกู้เจี้ยนหลงหรือ?
อีกอย่างก่อนหน้านี้ตอนที่คนพวกนี้คุยเล่นกันก่อนจะเริ่มเดิมพัน คำพูดคำจาก็ไม่ค่อยเกรงใจกันสักเท่าไร หากจำไม่ผิดก็เป็นแม่นางน้อยที่มองดูแล้วเป็นคนโผงผางผู้นี้นี่แหละที่ป่าวประกาศว่าจะมาพบตน เดินผ่านทางได้แต่ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้เด็ดขาด! พอได้ยินประโยคนี้ของเก๋อหลิ่งก็ดูเหมือนว่านางเคยถามหมัดกับเผยเฉียนที่เมืองหลวงแห่งที่สองมาก่อน ผลคือหลังจบเรื่อง ทุกวันนางจะต้องโหวกเหวกว่าเจ็บว่าปวดนานถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ รอกระทั่งหันโจ้วจิ่นเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมบอกว่า ‘อิ่นกวานของพวกเราท่านนี้ รูปโฉมไม่เลวเลยนี่นา’ แม่นางน้อยก็เริ่มโต้เถียงขึ้นมาอีก บอกว่าพี่หญิงหันสายตาท่านนี่มันธรรมดาสามัญจริงๆ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนในยุทธภพ ภัยออกจากปาก พูดมากย่อมเกิดความผิดพลาด”
นี่ยังเป็นเพราะไม่สนิทกัน ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเจอลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนล่ะก็ นางมักจะจับปากของสุนัขตัวหนึ่งกดลงกับพื้นอยู่นอกร้านตรอกฉีหลง สั่งสอนผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลง บอกมันว่าวันหน้าให้รู้จักไปเยี่ยมเยือนกันบ้าง อย่าเอาแต่โหวกเหวกส่งเดช พูดจาหัดระวังปาก ข้ารู้จักสหายในยุทธภพที่ฆ่าหมาเปิดร้านขายเนื้ออยู่หลายคน หนึ่งมีดฟันลงไปก็ต้องนอนนิ่งอยู่บนเขียงแล้ว หา เจ้าพูดมาสิ แม้แต่ผายลมก็ยังไม่กล้าปล่อยออกมา ไม่ยินยอมใช่ไหม…
ส่วนเหตุใดเฉินผิงอันถึงได้รู้บทสนทนาของฝ่ายนี้ราวกับเส้นลายมือของตัวเอง แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะวิชาอภินิหารของกระบี่บินจันทร์ในบ่อเล่มนั้น
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้สามารถจำแลงออกมาเป็นกระบี่ได้มากมาย จำนวนมากหรือน้อยก็ต้องดูที่ขอบเขตของเฉินผิงอันว่าสูงหรือต่ำ
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!