เสียงในใจที่เฉินผิงอันและเฟิงอี๋ผู้นี้พูดคุยกัน คนอื่นๆ ที่เหลืออีกหกคนต่างก็ขอบเขตไม่สูง แน่นอนว่าไม่มีทางได้ยิน จึงได้แต่ทำเหมือนนั่งดูไฟชายฝั่ง อาศัยการเปลี่ยนแปลงทางแววตาและสีหน้าของสองฝ่าย พยายามค้นหาความจริงให้ได้มากที่สุด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสใส่ร้ายกันเสียแล้ว”
จะพูดว่าเป็นการข่มขู่ได้อย่างไร ก็แค่มีอะไรก็พูดไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง
เฟิงอี๋ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือเทพซือเฟิง (เทพแห่งสายลม) หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือหนึ่งในเทพซือเฟิง
ดังนั้นถึงได้อยู่คนเดียวตัดขาดโลกภายนอก ไม่แปดเปื้อนธุลีในโลกีย์เช่นนี้ เหตุผลก็เรียบง่ายอย่างยิ่ง การหมุนเวียนของสายลมในใต้หล้าล้วนต้องฟังคำสั่งจากนาง
ส่วนพวกลมยี่สิบสี่ระลอกที่โชยมาเมื่อบุปผาผลิบาน แน่นอนว่าต้องอยู่ในขอบเขตการควบคุมของนางด้วย
เฉินผิงอันรับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน ถึงได้เห็นหัวข้อหลายข้อที่เกี่ยวพันกับ ‘เฟิงอี๋’ ซึ่งอธิบายคร่าวๆ ถึงรากฐานมหามรรคาของนาง
เฟิงอี๋ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง มีคนรักเป็นขอบเขตบินทะยาน ยามพูดจาน้ำเสียงจึงแข็งกระด้างได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มกล่าว “ลมพัดผ่านโลกมนุษย์ จุดที่ธงแดงไม่ตั้งอยู่ ต้นไม้เขียวยังคงเศร้าโศก จะทำอย่างไรได้ ไม่แข็งกระด้างเท่าผู้อาวุโสจริงๆ”
เฟิงอี๋ผู้นี้เป็นฝ่ายมาปรากฏตัวที่นี่ ความเป็นไปได้ที่ใหญ่ที่สุดก็เพื่อออกหน้าให้กับสกุลซ่งต้าหลี เท่ากับเป็นการท้าทายอย่างที่มองไม่เห็น
เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าการมาเยือนของตัวเองจะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอะไรสำหรับนาง
หากจะบอกว่าการปรากฏตัวของรองเจ้ากรมพิธีการต่งหูคือการแสดงความเป็นมิตร ถ้าอย่างนั้นการปรากฎตัวของเฟิงอี๋ก็คือลักษณะนิสัยการลงมือที่แข็งกระด้างแล้ว
คล้ายกับกำลังบอกตนว่า รากฐานของสกุลซ่งและเมืองหลวงแห่งนี้ เจ้าเฉินผิงอันไม่รู้เลยสักนิด อย่าได้คิดจะมาเดินกร่างที่นี่
แม้เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เฟิงอี๋ผู้นี้จะไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงสิบสองท่านทดแทนตำแหน่งที่ขาด แต่ในตำราโบราณของสำนักการทหารเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ไท่กงอินฝู’ ของคฤหาสน์หลบร้อนได้บันทึกเรื่องราวในอดีตของช่วงเวลานั้นเอาไว้ เพียงแต่ว่าใช้วิธี ‘บันทึกเรื่องพิสดาร’ ซึ่งหายสาบสูญไปนานแล้วมาบันทึกเรื่องราวในอดีต เล่าลือกันว่าเคยมีเสินจวินชั้นสูงเจ็ดท่านที่มีอำนาจบารมี ต่างคนต่างปกครองกรมกองแห่งหนึ่ง ช่วยเหลือเผ่ามนุษย์ในการโจมตีสวรรค์ ส่วนใหญ่ล้วนตายอยู่ในสงครามใหญ่ หลงเหลือเทพชั้นสูงแค่ไม่กี่ท่าน จึงนำกรมของตัวเองไปพักพิงอยู่ในศาลบรรพชนของสำนักการทหารแห่งไพศาล คล้ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนนางสวรรค์ที่ทำตามตำแหน่งหน้าที่ ต่างคนต่างโคจรมหามรรคาในส่วนของกรมตัวเอง
เพียงแต่ว่าเสินจวินชั้นสูงในตำราไม่มีสถานะที่แน่ชัด ส่วนจะถือว่าเป็นเทพชั้นสูงสิบสององค์ของช่วงแรกเริ่มสุดด้วยหรือไม่ก็ยิ่งบอกได้ยากแล้ว
สมมติว่าศาลหลักของสำนักการทหารของแผ่นดินกลางคือประตูใหญ่ของเรือนหลังใหญ่หลังหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นศาลบรรพชนของสำนักการทหารในหนึ่งทวีปอย่างภูเขาเจินอู่ ศาลลมหิมะ ก็เท่ากับเป็นประตูด้านข้างที่ถูกสร้างขึ้นมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลเหล่านี้จึงสามารถเดินเข้าออกได้เช่นกัน
นอกจากนี้ในรวมบทประพันธ์โบราณเล่มหนึ่งที่คล้ายคลึงนิยายเทพเซียนปรัมปราก็มีการบันทึกถึงภัยพิบัติใหญ่เทียมฟ้า เป็นหายนะครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาไว้อย่างละเอียด ก็เป็นเพราะนางที่ถูกเทพีบุปผาของพื้นที่มงคลเรียกขานอย่างแค้นเคืองว่า ‘ไพร่ตระกูลเฟิง’ ‘นังหญิงตระกูลเฟิง’ ของพื้นที่มงคลลี่หลินผู้นี้ที่มาเป็นแขกถึงบ้าน เดินผ่านขุนเขาสายน้ำของพื้นที่มงคล ทุกที่ที่ผ่านล้วนมีลมพัดกระโชกแรง ตวาดก้องเดือดดาล สะเทือนจนร้อยบุปผาร่วงโรย ดังนั้นในตำราโบราณเล่มนั้น ตรงช่วงท้ายยังเขียนถ้อยคำฮึกเหิมเอาไว้ด้วยว่า ขอสาบานว่าจะรบกับเฟิงอี๋จนตัวตายเพื่อร้อยบุปผาในทั่วหล้า
ตอนนั้นทุกครั้งที่เฉินผิงอันมีเวลาว่างจากการศึก ยามอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนเขาจะต้องเอาเหล้ากาหนึ่งมาพร้อมกับถั่วลิสงหนึ่งจาน แล้วเอาปฏิทินเหลืองที่ถูกปิดผนึกมานานพวกนี้มาทำเป็นกับแกล้มแกล้มเหล้า
ดูเหมือนว่าในจารึกภูเขามหาสมุทรและบันทึกเสริม รวมไปถึงผลงานส่วนตัวของนักประพันธ์ที่มีมากมายราวขนวัวต่างก็ไม่เคยมีบันทึกใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเฟิงอี๋
มีเอกสารลับที่มีตัวอักษรบันทึกไว้อย่างชัดเจน นอกจากสวนกงเต๋อของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแล้ว สถานที่อื่นในใต้หล้าไพศาล ไม่ว่าจะเป็นหอเก็บตำราแห่งใด ต่อให้เป็นสำนักบนภูเขาและในตระกูลชนชั้นสูงที่มีอายุยาวนานพันปีของราชวงศ์โลกมนุษย์ก็ล้วนหาหนังสือประเภทนี้ไม่เจอแม้แต่เล่มเดียว ลูกหลานทายาทรุ่นหลังอยากจะรู้ก็ได้แต่อาศัยการบอกเล่าจากบรรพบุรุษปากต่อปาก แล้วยังต้องรับรองว่าจะไม่ถูกสถานศึกษาสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อได้ยินเข้าหู ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นเจ้าสำนักของหนึ่งสำนักหรือเจ้าประมุขของหนึ่งตระกูลก็ล้วนจำเป็นต้องไปเล่นหมากล้อม ดื่มเหล้าที่สวนกงเต๋อของศาลบุ๋นแล้ว
และในบรรดาผู้ที่ได้ครอบครองเทพแห่งสายลมอย่างสตรีผู้นี้ก็ไม่ขาดแคลนจักรพรรดิและราชาที่องอาจมากความสามารถในประวัติศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งในนั้นก็มีเจ้าเมืองท่านหนึ่งของเรือราตรี เจ้าศาลาซื่อสุ่ยที่เคยสังหารงูขาวคนนั้น
เฟิงอี๋พลันเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “เกือบจะลืมไปแล้วว่าเจ้าเคยเป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
อันที่จริงช่วงเวลาหลายสิบปีก่อนที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะปริแตกแล้วหล่นร่วงลงมายังพื้นดิน สำหรับบุคคลจากยุคบรรพกาลที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานเช่นนาง ก็เหมือนได้เจอจุดที่เป็นกุญแจสำคัญในช่วงเวลาที่ไม่สำคัญ จึงไม่ใคร่จะยินดีมองให้มากนัก บางทีอาจทำเพียงแค่กวาดตามองหนึ่งที สำหรับสรรพชีวิตที่มีสติปัญญาทุกตนในเวลานั้น แค่แน่ใจว่าในใจรู้คร่าวๆ ว่าต้องทำอย่างไรก็พอแล้ว จากนั้นอย่างมากสุดต่างคนต่างก็มีวิธีในการเดิมพัน บางทีอาจเกิดจากความสนใจ บางทีอาจเป็นการประลองด้านแววตาในการมอง หรือไม่ก็เป็นการงัดข้อกับคนอื่น
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เหมือนแกล้งเลอะเลือน บางทีอาจเป็นเพราะยังดื่มเหล้าได้ไม่ถึงระดับมากพอ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถเชิญผู้อาวุโสเฟิงอี๋ไปดื่มเหล้ารำลึกความหลังที่โรงเตี๊ยมด้วยกันได้
เฟิงอี๋นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงคล้ายจะรู้สึกประหลาดใจต่อความมีน้ำอดน้ำทนของเฉินผิงอันอยู่บ้าง “ไม่อยากถามบ้างหรือว่าพวกตาแก่หนังเหนียวคนที่เหลือที่เปิดปากพูดในปีนั้น ต่างคนต่างมีที่มาอย่างไร และแต่ละคนต้องการสิ่งใด?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “หากผู้อาวุโสยินดีพูด แน่นอนว่าผู้เยาว์ย่อมต้องซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด หากผู้อาวุโสไม่ยินดีจะพูด ผู้เยาว์ย่อมไม่บังคับฝืนใจ”
นางยื่นนิ้วสองนิ้วที่ประกบกันออกมาเคาะข้างแก้มเบาๆ ยิ้มตาหยี คล้ายกำลังลังเลว่าควรจะเปิดเผยความลับสวรรค์ดหรือไม่
หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา ซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิง จ้าวเหยาแห่งถนนฝูลู่ เซี่ยหลิงแห่งตรอกเถาเย่…นี่เป็นแค่คนรุ่นที่อายุน้อยที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจู หากขยับขึ้นไปอีก อันที่จริงยังมีการเดิมพันอีกบางอย่าง บางส่วนเกิดจากความเบื่อหน่ายอย่างเดียวเท่านั้น เจอกับใครที่ถูกชะตาตรงใจก็แค่ถือโอกาสประคับประคอง บ้างก็มีเป้าหมายบางอย่างจึงฝังเส้นสายไกลพันลี้ ยกตัวอย่างเช่นมีตาเฒ่าคนหนึ่งที่เป็นบรรพจารย์ของสายคนเลี้ยงมังกรบนโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน บรรพบุรุษของตระกูลมีคุณความชอบในการเลี้ยงมังกร ปีนั้นคนผู้นี้จึงปิดบังสถานะ เดินทางจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาถึงแจกันสมบัติทวีป สกัดกั้นฟ้าดิน ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกลมปราณที่พิฆาตมังกรกลุ่มนั้น
เฟิงอี๋พลันกลั้นยิ้ม อยู่ดีๆ ก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “แบกสตรีที่รักไว้บนหลัง ต่อให้ต้องเดินไกลแค่ไหนก็ไม่ทำให้คนรู้สึกเหนื่อยจริงๆ ตอนนั้นใจกล้าไม่เบา ทำไมทุกวันนี้ขอบเขตสูงแล้วกลับกลายเป็นว่าขี้ขลาดเสียแล้วล่ะ ข้ายังรู้สึกร้อนใจแทนเจ้าเลยนะ”
เฉินผิงอันหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
เฟิงอี๋เห็นว่ามือกระบี่ชุดเขียวในเวลานี้ ในที่สุดก็พอจะมีความรู้สึกที่คุ้นเคยอยู่บ้าง มีลักษณะเหมือนเด็กหนุ่มขี้อายในปีนั้นบ้างแล้ว
โอ้ หน้าแดงด้วยหรือนี่
ประหลาดนัก ไหนพูดกันว่าเฉินอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ อาศัยแค่หนังหน้าก็สามารถเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองได้นานหนึ่งหมื่นปีแล้วอย่างไรเล่า?
เฉินผิงอันไม่จงใจทำให้เรือนกายงองุ้มอีกต่อไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที กุมหมัดคารวะ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ผู้อาวุโสช่วยดูแลปกป้องมรรคาให้”
เฟิงอี๋พยักหน้ารับ พูดแค่นิดหน่อยก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง เป็นคนฉลาดที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมจริงๆ อีกทั้งออกจากบ้านตอนอายุยังน้อยมานานหลายปี ยังสามารถรักษาสติปัญญาความเฉลียวฉลาดก่อนวัยส่วนนั้นเอาไว้ได้ ฉีจิ้งชุนช่างสายตาดีจริงๆ
ในถ้ำสวรรค์หลีจู มีทัศนียภาพและม้วนภาพแห่งกาลเวลาบางอย่าง หลังจากที่ฉีจิ้งชุนตัดสินใจไปแล้ว นั่นก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่ใช่ว่าใครอยากเห็นก็เห็นได้
ก็เหมือนอย่างที่นางพูดเองกับปากก่อนหน้านี้ นิสัยของฉีจิ้งชุนไม่ถือว่าดีเท่าไรเลยจริงๆ
หลังจากที่ฉีจิ้งชุนพาเด็กหนุ่มเดินข้ามสะพานแบบคานนั้นไป ก็ได้ตั้งกฎข้อหนึ่งกับทุกคน ควบคุมดวงตาของตัวเองให้ดี ไม่อนุญาตให้มองเด็กหนุ่มแห่งตรอกหนีผิงอีกแม้แต่ครั้งเดียว
ตาเฒ่าคนหนึ่งทำผิดกฎ จึงถูกฉีจิ้งชุนจัดการจนเกือบจะเป็นฝ่ายยอมสละร่างไปเกิดใหม่
มีเพียงนางที่เป็นข้อยกเว้น
ไม่ใช่ว่านางเห็นดีในตัวเฉินผิงอันจึงมีการเดิมพันอะไร แต่เป็นเพราะเรื่อง ‘ใช้หญ้าอ้ายฉ่าวเผาหน้าผากมังกรหญิง’ ในอดีตนั้น เพราะนางเคยให้การปกป้องมังกรที่แท้จริงของใต้หล้ามาก่อน
เฟิงอี๋พยักหน้า ไม่ใช่เสียงในใจพูดคุยอีกต่อไป เอ่ยเสียงเบาว่า “ในเมืองหลวงแห่งนี้ ข้ามีที่พักแห่งหนึ่งอยู่ที่ศาลเทพอัคคี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!