ในสายตาของสตรีที่มีบุคลิกเรียบร้อยอีกทั้งความเป็นมายังไม่แน่ชัดเผยแววชื่นชม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ความจำดีจริงๆ”
เพียงแค่ได้ยินเสียงในระเบียงปีนั้น เวลาห่างมานานหลายปี และแค่ได้ยินนางพูดอยู่ที่นี่ประโยคเดียวก็ยังสามารถแน่ใจได้ว่านางเป็นคนเดิมกับในปีนั้น และมาหานางทันที
ถ้าอย่างนั้นสรุปแล้วเป็นเพราะเด็กหนุ่มเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่หรือว่ายังคงอาฆาตแค้นกันแน่?
เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์ มองประเมินสตรีที่ก่อนหน้านี้ถูกเรียกว่า ‘เฟิงอี๋’ ตรงหน้านี้อย่างละเอียด
นางคือสตรีที่เรือนกายสูงเพรียว เท้าสวมรองเท้าสีเขียว ไม่ได้แขวนป้ายห้อยเอวที่สามารถแสดงฐานะในวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำใดๆ สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลม ทว่าบนชุดกลับปักเป็นรูปมังกรตัวเล็กรวมกลุ่มกันซึ่งออกจะละเมิดกฎอยู่บ้าง
ใบหน้าดอกท้อประทินโฉมบางเบา แต้มจุดสีไว้ข้างลักยิ้ม พอดื่มเหล้าเข้าไป ริมฝีปากสีชาดก็ชุ่มช่ำดวงหน้าแดงปลั่ง
เฉินผิงอันเคยอ่านเจอในบทความของนักประพันธ์คนหนึ่ง นี่คือการแต่งกายในวังหลวงของแคว้นสู่โบราณ มีชื่อว่าการแต่งหน้าแบบอี้ชุน
มือของนางเรียวบางนุ่มนวล ดูเหมือนว่าจะใช้ปีกจักจั่นและดอกเฟิ่งเซียนมาตำให้เละแล้วนำมาย้อมสีเล็บ เป็นสีแดงสดที่น่ามองอย่างยิ่ง สมัยโบราณเรียกว่าฝ่ามือซื่ออี๋
ใช้เชือกสีสดเส้นหนึ่งรวบมัดเส้นผมสีนิล ตวัดพวงผมสีนิลมาไว้ตรงหน้าอก ประหนึ่งน้ำตกสีดำที่ตกระลงมาท่ามกลางยอดเขา
เฉินผิงอันมองเชือกเส้นนั้นอย่างละเอียดก็สังเกตเห็นว่าเป็นเชือกที่มีขนาดเท่าแค่เหรียญทองแดง แต่ถึงกับเป็นการนำเส้นด้ายเล็กบางเกือบร้อยกว่าเส้นมาขมวดเข้าด้วยกัน อีกทั้งสีสันของด้ายแต่ละเส้นยังแตกต่างกันไป
ราวกับว่าสีสันของใต้หล้าแห่งนี้ล้วนได้มารวมกันอยู่ในเชือกสีเส้นนี้หมดแล้ว
จุดที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดก็คือบนร่างของเฟิงอี๋ผู้นี้ไม่มีริ้วปราณวิญญาณใดๆ ไม่ได้ร่ายวิธีการของตระกูลเซียนใดๆ ทว่าตลอดทั้งร่างของนางกลับยังคงสะอาดเอี่ยมไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลีสักเสี้ยว
นี่ก็เหมือนกับว่าแท้จริงแล้วตัวนางเองไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์ แต่เป็นนักเดินทางไกลที่เดินท่องสายน้ำแห่งกาลเวลา เพียงแค่จงใจให้คนมองเห็นเรือนกายของนางเท่านั้น
ส่วนผู้ฝึกตนอายุน้อยของต้าหลีคนอื่นๆ ที่อยู่บนหลังคา แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมใส่ใจ แต่กลับไม่ได้แบ่งความสนใจไปมองมากนัก ก็แค่ใช้หางตามองประเมินไม่กี่ทีก็สามารถเห็นทุกอย่างได้ครบถ้วนแล้ว
คนรุ่นเยาว์หกคนที่ต้าหลีตั้งใจอบรมปลูกฝังมา ไม่เสียแรงที่เป็นนักรบเดนตายที่ผ่านการเข่นฆ่ามานาน วินาทีที่เฉินผิงอันปรากฏตัว ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนทั้งหกคนที่ต่างก็มีป้ายห้อยเอวบอกสถานะ ไม่ว่าใครก็ไม่มีท่าทางจิตหลุด มากพอจะเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของจิตแห่งมรรคาพวกเขา
หญิงสาวที่ป้ายห้อยเอวแกะสลักอักษรคำว่า ‘อู่’ ไม่จำเป็นต้องก้าวเท้า ไม่จำเป็นต้องร่ายมนตราก็สามารถสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นมาปกป้องคนทั้งเจ็ดได้ด้วยตัวเอง บนหลังคาประหนึ่งมีหอมายาเล็กจิ๋วแห่งหนึ่งปรากฎขึ้น จำแลงออกมาเป็นตำหนักจวนเซียนแห่งหนึ่ง ดินภูเขาล้วนเป็นสีแดง ถ้ำภูเขาร้อยเรียงติดกัน รูปร่างคล้ายเมฆเรืองรอง ด้านในถ้ำมีปราณสีม่วงลอยอวล หออัญมณีห้องหยก ลานกว้างใสสะอาด ลดหลั่นสลับสล้าง ทุกหนทุกแห่งล้วนเปล่งประกายแวววาวเจิดจ้า ด้านในมีเสียงดนตรีบรรเลงดุจเสียงสวรรค์ล่องลอย ราวกับว่าเป็นจวนของซือมิ่งยุคบรรพกาล เป็นที่พักของเทพเซียนที่มีขุนเขามากมายร้อยเรียงต่อกัน
แม่นางน้อยที่แขวนป้ายห้อยเอวอักษรคำว่า ‘ซวี’ มือสองข้างใสแวววาวเต็มไปด้วยยันต์ลายเมฆ คล้ายคลึงกับวิธีการของคนเย็บผ้าอยู่บ้าง
บนไหล่บอบบางของนางมีสิ่งที่คล้ายกับกายธรรมปรากฏขึ้นมา เรือนกายเล็กจิ๋ว ความสูงแค่ชุ่นกว่า รูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่ม มีกลิ่นอายของเทพอันองอาจ พกกระบี่ สวมชุดสีขาว บนศีรษะสวมกวานดอกพุดตาน ใช้ไข่มุกมังกรสีขาวหิมะมาเย็บประดับเป็นชุดที่สวมใส่
ภิกษุน้อยที่สวมชุดเสื้อคลุมสีพื้นห้อยป้ายห้อยเอวคำว่า ‘เฉิน’ หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ตรงตาข้างที่หลับปรากฏเป็นน้ำวนที่มีฟ้าแลบฟ้าร้อง ใต้ฝ่าเท้าปรากฏเป็นผิวน้ำราบเรียบเหมือนกระจก แสงสว่างของประกายดวงดาวส่องสว่างอยู่ภายใน มีดอกบัวผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง พวกมันส่ายไหวอย่างมีชีวิตชีวา ดอกไม้บานแล้วก็ร่วงโรย แห้งเหี่ยวหล่นลงสู่น้ำ จากนั้นก็มีบุปผาชูช่อผลิบานขึ้นมาอีก เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
อู่ อาจารย์ค่ายกล หล่อหลอมถ้ำสวรรค์บรรพกาลที่มหามรรคาไม่สมบูรณ์ขึ้นมาแห่งหนึ่ง ซวี ผู้ฝึกตนสำนักการทหาร บางทีอาจเป็นเพราะอายุยังน้อย ยังขัดเกลาเรือนกายได้ไม่ถึงระดับ ตอนนี้จึงมีเพียงมือสองข้างที่ใช้วิธีเย็บผ้า แต่กลับสามารถอาศัยวิชาอภินิหารของสำนักการทหารที่เป็นพรสวรรค์บางอย่างมาละเมิดกฎ ออกคำสั่งวิญญาณหยินของเซียนกระบี่บรรพกาลท่านหนึ่ง เฉิน มีวิชาอภินิหารความคิดบริสุทธิ์ของลัทธิพุทธ
คนที่เหลืออีกสามคน ผู้ฝึกกระบี่ ‘เหม่า’ ผู้ฝึกลมปราณลัทธิขงจื๊อ ‘โหย่ว’ ผู้ฝึกตนลัทธิเต๋า ‘เว่ย’ ล้วนอำพรางตนได้ดีมาก ไม่มีใครรีบร้อนร่ายวิชาแสดงฝีมือ
เฟิงอี๋กวาดตามองไปรอบด้านแล้วยิ้มหวานเอ่ยว่า “ข้าก็แค่มารำลึกความหลังกับคนบ้านเดียวกันครึ่งตัว พวกเจ้าไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ เก็บวิธีการที่ใช้ข่มขู่คนลงไปเถอะ”
คนทั้งหกต่างไม่สะทกสะท้าน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ฟังคำสั่งจากนาง เฟิงอี๋เองก็ไม่โกรธ ช่วยไม่ได้ ตนเป็นแค่ผู้ถ่ายทอดมรรคาที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อคนหนึ่ง อีกทั้งตัวนางเองยังเกียจคร้าน ถ่ายทอดเวทคาถามาหลายปีขนาดนี้ เรียกได้ว่าเป็นคนที่ออกไปทำงานแต่ไม่ออกแรงตามความหมายที่แท้จริง หากไม่เป็นเพราะมีการจับจ้องจากใครบางคนในอดีต บวกกับที่ทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่งจะมีการตรวจสอบประเมินผล นางก็คงโยนตำราสองสามเล่มออกไปให้สิ้นเรื่องแล้ว จะเรียนรู้สำเร็จหรือไม่ล้วนอาศัยสติปัญญาและโชควาสนาของแต่ละคน เกี่ยวอะไรกับนางด้วย ก็เหมือนอย่างตอนนี้ เด็กหกคนไม่เชื่อฟัง เฟิงอี๋ก็ปล่อยให้พวกเขาโอ้อวดฝีมือของตัวเองไป ถึงอย่างไรคนที่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเผาผลาญปราณวิญญาณก็ไม่ใช่นาง นางจึงเพียงแค่มองเฉินผิงอันแล้วยิ้มถามว่า “คงไม่โทษที่ปีนั้นข้าโน้มน้าวให้เจ้าหยุดกระมัง?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อเพื่อแสดงความจริงใจต่อคนทั้งเจ็ดซึ่งรวมถึงเฟิงอี๋เป็นหนึ่งในนั้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไหนเลยจะกล้าโทษผู้อาวุโส”
เฟิงอี๋คลี่ยิ้ม โอ้โห คืนนี้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง มองดูเหมือนสีหน้าเป็นมิตร คำก็ผู้อาวุโส สองคำก็ผู้เยาว์ แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วคล้ายจะมีความนัยซ่อนอยู่ในคำพูด นิสัยเจ้าอารมณ์ของเซียนกระบี่มีไม่น้อยเลยจริงๆ
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจสอบถาม “ผู้อาวุโสสนิทกับอาจารย์ฉีมากหรือ?”
เฟิงอี๋รู้สึกว่าน่าสนใจ ไม่ได้ให้คำตอบ กลับยิ้มย้อนถาม “ในเมื่อเจ้าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉเฒ่าแล้ว ฉีจิ้งชุนก็คือศิษย์พี่ของเจ้า ทำไมทุกวันนี้ถึงยังเรียกอาจารย์ฉีอยู่เล่า?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ สิบนิ้วประสานกัน เรือนกายงองุ้มลงเล็กน้อย ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ก็ข้าเต็มใจนี่นา ข้าอยากเรียกอย่างไรก็จะเรียกอย่างนั้น ต่อให้ผู้อาวุโสจะควบคุมฟ้าควบคุมดินก็ยังควบคุมเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ”
เฟิงอี๋จุ๊ปากพูด “ถึงอย่างไรก็เติบใหญ่แล้ว ความเจ้าอารมณ์ก็มากขึ้นตามมาด้วย ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้ายังเด็กเป็นคนที่พูดง่ายอย่างมาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บอกผู้อาวุโสตามตรง อันที่จริงตอนนี้ข้าก็ยังพูดง่ายอยู่”
เฟิงอี๋ยกมือข้างหนึ่งขึ้น สองนิ้วบิดหมุนเชือกหลากสีเส้นนั้นเบาๆ ยิ้มหวานไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันก็เงียบตามไปด้วย
บรรยากาศพลันเปลี่ยนมาเป็นชวนอึดอัด
บนทางระเบียงของปีนั้นมีคนห้าคนที่ทยอยกันเปิดปาก หยางเหล่าโถวของร้านยาเป็นคนสุดท้าย แล้วก็เป็นบุคคลคนเดียวที่ตอนนั้นเฉินผิงอันสามารถมั่นใจในสถานะของเขาได้
ส่วนเฟิงอี๋ผู้นี้ก็คือคนที่เปิดปากขึ้นมาคนแรกก่อนที่เฉินผิงอันจะก้าวเดินไปข้างหน้า เพียงแค่นางพึมพำเบาๆ ก็กลายเป็นเสียงล่อลวงใจคนตามธรรมชาติ นางโน้มน้าวให้เด็กหนุ่มคุกเข่าลง เพียงเท่านั้นความโชคดีก็จะมาเยือน
ปีนั้นในถ้อยคำนี้ของนาง หากตัดหยางเหล่าโถวออกไม่พูดถึง เมื่อเทียบกับน้ำเสียงของคนที่เหลืออีกสี่คน นางคือคนที่ไร้ความเย่อหยิ่งที่สุด ราวกับ…เป็นคำบ่นของสตรีคนหนึ่งที่มาซุกซ่อนตัวอยู่ในภูเขา อยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็จะเลิกม่านดอกไม้ขึ้น พอเห็นบุปผาในลานบ้านต้องลมส่ายไหวพอช่วยขจัดความเกียจคร้านจึงกระตุ้นความสนใจของนางได้บ้าง จึงเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาง่ายๆ บอกว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนไปจากกิ่งไม้
คนที่สองที่เปิดปากกลับไม่ค่อยเกรงใจนัก บอกให้เฉินผิงอันที่เป็นมนุษย์ธรรมดารีบคุกเข่าลงโดยไว
คนที่สาม น้ำเสียงราบเรียบ ราวกับกำลังพูดหลักการอย่างหนึ่งที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน คนที่สี่น้ำเสียงแก่ชราเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์อันโชกโชน เตือนเฉินผิงอันเป็นครั้งสุดท้ายว่าหากสวรรค์มอบให้แต่ไม่ยอมรับไว้ย่อมต้องถูกลงทัณฑ์
แต่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเซียนยากที่จะคาดเดาจิตใจ ความคิดลึกล้ำยาวไกล เรื่องที่วางแผนไว้เกี่ยวพันสืบเนื่องนานร้อยปีพันปี เป็นเหตุให้คนที่พูดจาดุร้ายกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะมีเจตนาร้าย แต่คนที่พูดจาอ่อนหวานเหมือนสายลมบางเบาโชยมาพร้อมสายฝนกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะหวังดี
ความอำมหิตของคนดุร้าย ต่อให้จะพูดคุยด้วยเสียงหัวเราะ แต่กลับเต็มล้นไปด้วยปราณสังหาร คนดีที่เป็นมิตร ต่อให้เป็นจิตวิญญาณที่มาเยือนในความฝันก็ยังเป็นมิตร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!