อ่านสรุป บทที่ 832.2 เหวินเซิ่งเชิญเจ้านั่งลง จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 832.2 เหวินเซิ่งเชิญเจ้านั่งลง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “อีกเดี๋ยวพอรองเจ้ากรมต่งเข้าวังไปรายงานก็แค่พูดกับนางไปอย่างนี้ จะมาหรือไม่มาก็เป็นเรื่องของนาง”
ต่งหูเหลือบมองรถม้าแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน สารถีไม่อยู่แล้ว ตนก็ขับรถม้าไม่เป็นเสียด้วย
หลิวเจียก่อกำเนิดผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูยิ้มเอ่ย “ข้าจะช่วยทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่ให้เอง วันหน้ามีการประเมินขุนเขาสายน้ำของที่ว่าการกรมพิธีการ รองเจ้ากรมผู้เฒ่าต่งช่วยพูดดีๆ ถึงข้าสักสองสามคำก็แล้วกัน”
ต่งหูหัวเราะอย่างฉุนๆ “ฝันไปเถอะ ตวนหมิง เจ้ามาช่วยท่านปู่ต่งบังคับรถ!”
จ้าวตวนหมิงส่ายหน้า “ท่านปู่ต่ง ข้าต้องเฝ้าประตู ปลีกตัวไปไม่ได้”
หลิวเจียเก็บลานประกอบพิธีกรรมหยกขาวที่วางไว้กลางตรอกเล็กมา ไม่ยอมให้ต่งหูปฏิเสธก็ไปเป็นสารถีให้ชั่วคราว รองเจ้ากรมผู้เฒ่าจึงได้แต่บอกลาเฉินผิงอันแล้วนั่งโดยสารรถม้ากลับไป
เพียงแต่ว่าสุดท้ายต่งหูเอ่ยประโยคหนึ่งที่นอกเหนือจากคำพูดในวงการขุนนาง “เฉินผิงอัน มีเรื่องอะไรก็พูดคุยกันดีๆ เจ้าและข้าต่างก็เป็นคนต้าหลี ยิ่งรู้ดีว่าสถานการณ์ที่ภายนอกสงบสุขไร้เรื่องราวของแจกันสมบัติทวีปอย่างในทุกวันนี้ได้มาไม่ง่ายเลย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยประโยคหนึ่งว่าคงไม่ไปส่งอาจารย์ผู้เฒ่าต่งแล้ว จากนั้นก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงผนัง คอยหันหน้าไปมองม่านฟ้าทางทิศตะวันตกอยู่เป็นระยะ
ยังคงรู้สึกเป็นห่วงหนิงเหยาอยู่บ้าง
ตรงจุดที่มหาสมุทรและพื้นดินของแจกันสมบัติทวีปเชื่อมต่อกัน ผู้เฒ่าหยุดชะงัก เฟิงอี๋ปรากฎตัวพร้อมรอยยิ้มหวาน
สารถีเฒ่ามีสีหน้าอัดอั้น ทะยานลมหยุดลอยนิ่ง อดกลั้นอยู่นานถึงได้หลุดปากเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า “คนหนุ่มสาวสมัยนี้!”
แต่ประโยคครึ่งหลัง ผู้เฒ่ากลับอดกลั้นเอาไว้ไม่พูดออกมา แต่ละคนนิสัยแย่ไม่แพ้กันเลยจริงๆ!
เฟิงอี๋ยกมือขึ้นบิดหมุนเชือกหลากสีที่หล่อหลอมขึ้นมาจากแก่นของร้อยบุปผาในใต้หล้าเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “รอไปก่อนเถอะ เรื่องในปีนั้นยังไม่ยุติ เห็นแก่ที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันในอดีต ข้าก็จะแนะนำเจ้าด้วยความหวังดีสักประโยค อย่าได้คิดจะหนีไปหลบที่ศาลบรรพจารย์สำนักการทหารของแผ่นดินกลางเลย ด้วยนิสัยนั้นของหนิงเหยา นางเอ่ยเตือนเจ้าไปแล้ว เจ้ายังไม่ฟังคำแนะนำ ถ้าอย่างนั้นนางต้องไปหาเจ้าถึงที่แน่ ผลลัพธ์ไม่ผลลัพธ์อะไร นางไม่ใช่เฉินผิงอัน ถึงอย่างไรบ้านเกิดของนางก็เหลือแค่ซากปรักแล้ว”
สารถีผู้เฒ่าเหลือบตามองสหายในวันวานที่ทำท่ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นคนนี้ เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “มีแต่เจ้าที่มั่นคงที่สุด ไม่ว่าใครก็ไม่ล่วงเกิน”
เฟิงอี๋ทำหน้าตกตะลึงแบบที่ไร้ซึ่งความจริงใจ “ผูกบุญสัมพันธ์เป็นมิตรกับคนอื่นยังไม่มั่นคง กลับกลายเป็นคนที่พัดลมกระพือไฟอย่างพวกเจ้าที่มั่นคงกว่า ใต้หล้ามีหลักการเหตุผลเช่นนี้ด้วยหรือ?
สารถีผู้เฒ่าเหลือบตามองไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต เอ่ยเสียงเบาว่า “สองคนที่เปิดปากช้ากว่าพวกเรา ทุกวันนี้ไปหลบอยู่ที่ไหน?”
คนที่รู้เรื่องวงใน รู้เรื่องใหญ่ของใต้หล้ามากที่สุด บางทีอาจเป็นโจวจื่อผู้นั้น ส่วนเรื่องเล็กก็น่าจะเป็นเฟิงเจียอี๋เทพแห่งสายลมตรงหน้าผู้นี้แล้ว
เฟิงอี๋ส่ายหน้า
สารถีผู้เฒ่าเอ่ยปลงอนิจจังด้วยความเสียใจเล็กน้อย “เวลาสั้นๆ แค่ห้าสิบปี อดีตจะนับเป็นอะไรได้ นั่นเป็นเวลาแค่ชั่วกะพริบตาของเจ้าและข้าเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าฟ้าดินกลับพลิกคว่ำคะมำหงายเสียแล้ว เจ้าว่าตอนนั้นพวกเราจะลำบากทำอย่างนั้น จนเป็นเหตุให้ทุกวันนี้ถูกเจ้าตัวน้อยสองคนที่อายุไม่ถึงห้าสิบปีเล่นงานแบบนี้ไปไย”
เฟิงอี๋ไม่ชอบฟังถ้อยคำน่าเบื่ออย่างการพลิกเปิดปฏิทินเหลืองของคนรุ่นเดียวกันพวกนี้มากที่สุด ชีวิตสงบสุขหมื่นปีที่ผ่านมาไม่ได้นอนเสวยสุขอยู่บนสมุดคุณความชอบหรอกหรือ? ดังนั้นนางจึงหัวเราะหยันเอ่ยว่า “จะมอบเหตุผลที่ปีนั้นฉีจิ้งชุนพูดกับข้าให้เจ้าฟังเปล่าๆ ไม่เก็บเงิน ‘หากได้เปรียบแล้วยังทำเหมือนขาดทุน สามารถคิดในใจได้ แต่ปากต้องพูดให้น้อยหน่อย’”
สารถีเฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “แค่บ่นไม่กี่คำจะเป็นไรไป?”
เฟิงอี๋ยกสองนิ้วขึ้นหมุนเบาๆ มีลมเย็นกลุ่มหนึ่งไล่ตามมา นางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แน่นอนว่าข้าย่อมไม่เป็นไร ไปล่ะๆ ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องก็อย่าคุย ข้าไปหาเหล้าดื่มดีกว่า”
ห่างออกไปไกลมาก แสงกระบี่เส้นหนึ่งเหมือนสายรุ้งที่พุ่งมา ระหว่างนั้นก็มีเสียงใสเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้น “ผู้เยาว์หนิงเหยาขอขอบคุณเฟิงอี๋”
……
กลางอากาศเบื้องบนเหนือเมืองหลวงแห่งที่สอง บนยอดหอเรือนของป๋ายอวี้จิงจำลองมีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งเร่งรุดเดินทางมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก่อนหน้านี้ตอนที่แสงกระบี่บนม่านฟ้าเส้นนั้นกำลังจะหล่นไม่หล่นลงมา แขกผู้นี้ก็เริ่มทำตัวหน้าไม่อายแล้ว
เห็นเพียงว่ามีซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งใช้สองมือกอดรั้งแขนของบุคคลไร้ขอบเขตท่านนั้นเอาไว้ “อย่านะ อย่านะ ทุกครั้งที่ออกกระบี่จากที่นี่เป็นแค่แสงกระบี่ที่พุ่งสวบๆ ออกไปจริงๆ หรือ? ไม่ใช่เลย! ล้วนเป็นเงินทั้งนั้น”
ข้ากับแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้าสนิทกันมากขนาดนี้ แต่รวมๆ กันแล้วก็ยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดอยู่แค่ไม่กี่คน มีใครบ้างที่ไม่มีคุณความชอบต่อแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้า ถอยไปพูดหมื่นก้าว อย่าไม่เห็นเงินเป็นเงินสิ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเหยียบย่ำเงินเทพเซียนเช่นนี้
คนเฝ้าหอที่เดิมทีเรือนกายล่องลอยมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง คาดว่าคงเห็นเหวินเซิ่งผู้นี้ต่างไปจากคนอื่นอยู่บ้าง จึงยอมแหกกฎเผยกาย ที่แท้ก็เป็นอาจารย์ผู้เฒ่ารูปร่างผอมแห้งที่สวมกวานสูงรัดเข็มขัดเส้นใหญ่ผู้นั้นนั่นเอง
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ศาลบุ๋นของพวกเจ้าเชี่ยวชาญการใช้เหตุผลที่สุด ไม่สู้เหวินเซิ่งแต่งข้ออ้างที่ฟังขึ้นมาสักข้อหนึ่ง?”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น “ตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้อาวุโสไม่ได้แค่พบหน้าก็รู้สึกเหมือนสนิทสนมมานานกับลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า สามารถถือว่าเป็นสหายต่างวัยกันได้หรอกหรือ? ความสัมพันธ์ควันธูปส่วนนี้ เจ้าตัดใจพูดว่าจะทิ้งก็ทิ้งได้ลงคอเชียวหรือ? ข้าว่าไม่ได้หรอกนะ”
เห็นใครก็เรียกเขาว่าผู้อาวุโส ในบรรดาลูกศิษย์สืบทอดสายเหวินเซิ่ง ยังคงเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ได้รับการถ่ายทอดแก่นแท้จากอาจารย์ไปมากที่สุดจริงๆ อะไรที่เรียกว่าศิษย์ผู้รู้ใจ ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง หลักการเหตุผลมากมายไม่ต้องให้อาจารย์เอื้อนเอ่ยก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจได้อย่างแท้จริง
ดังนั้นมีหรือที่ซิ่วไฉเฒ่าจะไม่ลำเอียง?
เจ้าจั่วโย่วจะยังน้อยใจไปทำไม หัดเรียนรู้จากจวินเชี่ยนให้มากเข้าสิ
อาจารย์ผู้เฒ่ากล่าว “เป็นข้าจำผิดหรือว่าเหวินเซิ่งแก่แล้วเลอะเลือนกันแน่ เจ้าเด็กนั่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมของทะเลสาบซูเจี่ยน คนที่ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จอย่างแท้จริงคือราชสำนักต้าหลีกับสำนักเจินจิ้งต่างหาก”
“อยู่กับผู้อาวุโสที่ความรู้สูงส่งดุจเทวดา ได้รับการยอมรับว่าคุยเก่งที่สุด เรียกเหวินเซิ่งไม่ใช่การด่าคนหรอกหรือ เรียกซิ่วไฉเฒ่าก็พอแล้ว ตัดคำว่าเฒ่าออก เปลี่ยนมาเป็นคำว่าหนุ่มก็จะสนิทกันมากขึ้นแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่ากอดแขนข้างนั้นของผู้อาวุโสเอาไว้ตลอดเวลา หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “อีกอย่างคำพูดประโยคนี้ของผู้อาวุโสพูดแล้วก็ให้รู้สึกผิดบาปยิ่งนัก ทุกเรื่องล้วนยากตอนเริ่มต้นเสมอ ข้าไม่เชื่อว่าแม้แต่หลักการเหตุผลเล็กน้อยเท่านี้ผู้อาวุโสก็ยังไม่เข้าใจ”
อาจารย์ผู้เฒ่าไม่มัวโต้เถียงเรื่องไร้สาระพวกนี้กับซิ่วไฉเฒ่า ซิ่วไฉเฒ่าจึงตวาดเบาๆ หนึ่งที กดลมปราณลงสู่จุดตันเถียนแล้วทิ้งตัวไปด้านหลัง กำแขนของผู้อาวุโสเอาไว้แน่น
อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “มีเหตุผลหน่อย!”
ถูกซิ่วไฉเฒ่าก่อกวนเช่นนี้ แสงกระบี่ที่ปรากฏอยู่ตรงม่านฟ้าของแจกันสมบัติทวีปก็ได้ร่วงลงในเมืองหลวงต้าหลีแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าแห่งศาลบุ๋น ลู่เฉินแห่งป๋ายอวี้จิง ความสามารถในการตอแยกวนใจผู้อื่น เรียกว่าเป็นหยกคู่ได้เลย
ซิ่วไฉเฒ่ายืดคอยาวออกไปมองดู หมดเรื่องชั่วคราวแล้ว คนก็จัดการไปแล้ว จึงรีบปล่อยมือทันที แล้วกระโดดผลุงไปด้านหลัง สะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง “เฉินผิงอันใช่คนของแจกันสมบัติทวีปหรือไม่?”
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “แต่หนิงเหยาที่ออกกระบี่กลับเป็นคนต่างถิ่น ตามกฎที่ชุยฉานตั้งไว้ ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานต่างถิ่นคนหนึ่ง กล้าลงมือโดยพลการก็มีจุดจบแค่อย่างเดียว”
เลยหันมาคุยเล่นกับเด็กหนุ่มแทน “ตามวิธีอธิบายคำของอาจารย์ผู้เฒ่าสวี่ คำว่า ‘จ้าว’ คือโน้มเอียง คือเริ่มต้น คือส่องแสง ขณะเดียวกันก็มีความหมายว่าเส้นทางงดงาม ดึงดูดให้คนเกิดความเคลิบเคลิ้ม สุดท้ายมีความงดงามของยามที่ดวงตะวันจันทราพร้อมใจกันส่องแสงแก่ใต้หล้า ปฏิบัติตัวเที่ยงตรง ประหนึ่งวิญญูชนถือหยก จิตใจใสสว่าง สะสมบุญกุศลคุณความดีเอาไว้ย่อมดีกว่าทิ้งเงินทองไว้ให้ลูกหลาน ดังนั้นชื่อของเจ้าจึงดีมาก”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง “แซ่ของข้าบวกกับชื่อสองตัว รวมกันแล้วแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!”
เซียนกระบี่พูดจาก็ควรต้องมีความรับผิดชอบบ้างกระมัง? คงไม่ใช่แค่ว่าคว้าเด็กตัวเท่าก้นคนหนึ่งมาคุยด้วยได้ก็พูดจาเหลวไหลเพื่อหวังจะตีสนิทหรอกนะ?
จ้าวตวนหมิงเช็ดปาก พอได้ยินเฉินผิงอันพูดเช่นนี้ เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าลำพังอาศัยแค่ชื่อนี้ของตนก็ต้องได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนแน่นอนแล้ว
เฉินผิงอันหันหน้าไปเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ผู้อาวุโสในตระกูลเจ้า และยังมีอาจารย์ที่โรงเรียน ล้วนไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเจ้าหรือ?”
จ้าวตวนหมิงโอดครวญ “ตอนที่อาจารย์สอนหนังสือในห้องเรียนครั้งแรกก็คงจะพูดอยู่ แต่ข้ากลับพลาดไป ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงพลาดไป เฮ้อ เรื่องในวันวานไม่อาจหวนคืน อย่าไปพูดถึงเลยจะดีกว่า”
ตอนเด็กมักจะถูกฟ้าผ่าบ่อยๆ มีครั้งหนึ่งที่เด็กชายแบกถุงหนังสือไปอย่างอารมณ์ดี ระหว่างที่กระโดดโลดเต้นไปบนเส้นทางที่ไปยังโรงเรียนของตระกูล เสียงเปรี้ยงดังหนึ่งทีก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว
อีกครั้งหนึ่งคือตอนออกจากบ้านไปดูโคมไฟ ครั้งที่สามคือตอนเดินขึ้นสู่ที่สูงไปชมสายฝน ถึงท้ายที่สุดหากเจอกับอากาศอึมครึมเหมือนฝนจะตกเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครยินดีมายืนข้างกายเขาอีกแล้ว
แต่จ้าวตวนหมิงใคร่ครวญดูแล้ว ด้วยโชคชะตาที่ ‘โชคร้ายผ่าหัว’ นี้ของตน นั่นต้องไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันยื่นมือออกไป แบฝ่ามือออก เด็กหนุ่มก็เทถั่วลิสงแห้งอบเกลือให้เขาอย่างเป็นธรรมชาติ
จ้าวตวนหมิงเอ่ย “ก่อนหน้านี้ข้าขวางพวกท่านไม่ให้เข้ามาในตรอก ท่านเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ขนาดนี้คงไม่จดจำความแค้นหรอกกระมัง”
ดูเหมือนว่าจะขาดตัวอักษรไปคำหนึ่ง
เฉินผิงอันก้มหน้ากัดเปลือกถั่วลิสงแห้งอบเกลือ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “แค่เจ้าเอ่ยประโยคนี้ ข้าก็ไม่จดลงบัญชีแล้ว”
จ้าวตวนหมิงเห็นคนผู้นั้นกัดเปลือกคายเปลือกถั่วลิสงอย่างคุ้นเคย เด็กหนุ่มก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน คิดไม่ถึงว่าท่านจะเข้ากับคนง่ายขนาดนี้ ไม่เหมือนเซียนกระบี่เลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบ จะถือว่าเป็นเซียนกระบี่ได้อย่างไร ที่บ้านเกิดของภรรยาข้าได้แค่ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น หากเรียกว่าเซียนกระบี่ก็คือการจงใจด่าคนแล้ว”
จ้าวตวนหมิงจดจำเรื่องวงในที่หลุดออกมาจากปากของอิ่นกวานหนุ่มเรื่องนี้เอาไว้ ที่แท้เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ได้รับความสำคัญเลยสักนิด เผด็จการจริงเสียด้วย!
เดี๋ยวคราวหน้าจะต้องเอาไปโอ้อวดเจ้าผีขี้เหล้าเฉาให้ได้ เด็กหนุ่มนึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามอย่างใคร่รู้ว่า “พี่สะใภ้ล่ะ? ทำไมไม่เห็นมาที่นี่กับพี่ใหญ่เฉินด้วย? หรือว่าคนเมื่อครู่ที่ออกกระบี่ก็คือพี่สะใภ้? นิสัยช่าง…เยี่ยมนัก! พี่ใหญ่เฉินช่างโชคดีจริงๆ ขอข้าพูดจากใจจริงสักประโยคนะ ไม่ใช่ว่าพอรู้ตัวตนของพี่ใหญ่เฉินแล้วถึงได้เอ่ยประจบอะไรจริงๆ แต่เป็นก่อนหน้านี้ครั้งแรกที่เห็นก็รู้สึกแล้วว่าพวกท่านสองคนคือคู่สร้างคู่สม”
คำพูดประโยคนี้เปลี่ยนเฉินผิงอันและคนรักของเขาให้เป็นพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ที่ตัวเองเก็บมาได้เปล่าๆ ไปทันที
เฉินผิงอันอืมๆๆ ตอบรับไม่หยุด เด็กหนุ่มคนนี้เข้าใจพูดยิ่งนัก ถ้าอย่างนั้นก็พูดเยอะๆ หน่อย ส่วนเรื่องที่ถูกจ้าวตวนหมิงตีสนิทก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่เฉินผิงอันแอบเลิกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย ยิ้มพลางเขย่าถั่วลิสงในมือ บอกเป็นนัยกับอีกฝ่ายว่ามองแค่พอสมควรก็พอแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเด็กหนุ่มคนนี้
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!