บนถนน ผู้ฝึกตนผู้ถวายงานทั้งหลายในที่ว่าการกรมโยธาของราชสำนักต้าหลีกำลังพาคนมาซ่อมแซมถนนอยู่ทางฝั่งนั้น พอเห็นเซียนกระบี่ชุดเขียวก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
หากเป็นราชวงศ์ล่างภูเขาทั่วไปย่อมต้องถูกปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืน
เมืองหลวงต้าหลีคือสถานที่ที่โชคดีที่สุด เพราะมีซิ่วหู่
ระยะเวลาสั้นๆ แค่ร้อยปีก็ช่วยสร้างกองทัพม้าเหล็กชายแดนให้กับราชวงศ์ต้าหลี สามารถเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ที่ต้องตาย แม้ตกอยู่ในภาวะจนตรอกก็ยังเอาตัวรอดได้ ช่วงชิงชัยชนะมาจากสถานการณ์ที่เสียเปรียบ มีบางครั้งที่พ่ายแพ้ในการสู้รบ แม่ทัพบู๊ล้วนตายทั้งหมด
จ้าวตวนหมิงโผล่หัวออกมาจากมุมตรอก รองเจ้ากรมจ้าวผู้นี้ เมื่อก่อนแค่เคยมองอยู่ไกลๆ สองสามที ที่แท้ก็หน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ พูดประโยคที่มีนโนธรรมสักหน่อย หากเป็นด้านการต่อสู้ คาดว่ารองเจ้ากรมจ้าวร้อยคนก็คงสู้เซียนกระบี่เฉินคนเดียวไม่ได้ แต่หากพูดถึงหน้าตา พี่ใหญ่เฉินสองคนก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้
จ้าวเหยาทักทายขุนนางกรมโยธาของต้าหลีคนหนึ่งที่สนิทสนมกันก่อน จากนั้นก็นั่งยองอยู่ข้าง ‘ปากบ่อน้ำ’ มองอยู่สองสามทีถึงได้เดินมาทางตรอกเล็ก ประสานมือคารวะเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน ต้องเกรงใจอะไร เรียกอาจารย์อาก็พอแล้ว”
เด็กหนุ่มที่เงี่ยหูตั้งใจแอบฟังอยู่ตลอดรู้สึกว่ายามที่พี่ใหญ่เฉินพูดคุยกับคนนอก ค่อนข้างมีนัยยะชวนให้ขบคิดนะ
จ้าวเหยาถาม “แม่นางหนิงยังไม่กลับมาหรือ?”
เฉินผิงอันยืดคอยาวมองไปยังสองฝั่งของถนน ห่างไปค่อนข้างไกลถึงจะมีต้นไม้ใหญ่ที่กิ่งไม้สูง
จ้าวเหยายิ้มกล่าว “สาวงามแสนดีย่อมเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม จิตใจเลื่อมใสชื่นชมที่จ้าวเหยามีต่อแม่นางหนิง ฟ้าดินเป็นพยาน ไม่มีอะไรไม่กล้ายอมรับ แล้วก็ไม่มีอะไรให้ไม่กล้าพบเจอผู้คน เจ้าขุนเขาเฉินอย่าได้จงใจทำเช่นนี้เลย”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า ใช้ภาษาถิ่นของบ้านเกิดอย่างถ้ำสวรรค์หลีจูเอ่ยประโยคที่ตีให้ตายเด็กหนุ่มก็ฟังไม่เข้าใจกับจ้าวเหยา ซึ่งหากเปลี่ยนเป็นคำพ้องเสียงของภาษาทางการต้าหลีก็จะได้ประโยคว่า…โตวอินเปียนเลอะ หว่อซื่อฉือเหยียนล่างเหยียน เซี่ยซินเซ่อ (ประโยคนี้เป็นแค่การนำคำพ้องเสียงหลายคำมารวมกันเป็นประโยค ซึ่งไม่สามารถแปลเป็นคำที่มีความหมายได้)…นี่มันบ้าบออะไรกับอะไรกัน จ้าวตวนหมิงฟังแล้วมึนงงไปหมด
หนิงเหยากลั้นขำ นางรู้ว่าเฉินผิงอันพูดอะไร เพราะปีนั้นเคยฟังภาษาถิ่นของเมืองเล็กมาก่อน ภายหลังนางจึงจดจำคำที่พ้องเสียงทั้งหมดเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นประโยคนี้ เฉินผิงอันกำลังสั่งสอนจ้าวเหยาว่า ดึกดื่นแล้ว ยังออกมาเที่ยวเล่นทำตัวเสเพลอยู่อีก ระวังหน่อย (โตวต้าหว่านซ่างเลอะ ไหซื่อฉือหวานล่างหวานเตอะ เสี่ยวซินเตี่ยน)
นี่ถือเป็นวลีติดปากของบ้านเกิดพวกเขาสองคนที่ผู้อาวุโสในตระกูลมักจะใช้ด่าเด็กรุ่นเยาว์ที่ดื้อรั้นเกเร
เน่อสิงเหย่อิ่นสือ ทาลาซื่อ?
มาหาเจ้ามีธุระ มีธุระอะไร? (ไหลจ่าวหนี่โหย่วซื่อ เสินเมอะซื่อ?)
เด็กหนุ่มจ้าวตวนหมิงฟังแล้วเหมือนตกลงไปในเมฆหมอก ทว่าหนิงเหยาที่อยู่ในโรงเตี๊ยมกลับลุกขึ้นมานั่งแล้ว เท้าคางด้วยมือข้างเดียว ฟังอย่างเพลิดเพลิน นางล้วนฟังเข้าใจนี่นะ
จ้าวเหยาพลันใช้ภาษาทางการของต้าหลีเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งจะได้ข่าวหนึ่งมา อาจารย์ปู่มาถึงป๋ายอวี้จิงจำลอง เริ่มนั่งลงถกกถามรรคกับคนอื่นแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าย่อมต้องรู้ก่อนเจ้าอยู่แล้ว”
โต้เถียงกันสนุกนักหรือ? ยังดี ถึงอย่างไรก็ต้องชนะ นี่จึงเป็นเหตุให้สำหรับอาจารย์ของตนแล้ว รสชาติธรรมดาจริงๆ
ความน่าสนใจที่ใหญ่ที่สุดยังอยู่ที่ว่า โต้เถียงกันไปเพื่ออะไร
อริยะคืออะไร คือการใช้ความรู้มาประคับประคองใจคนให้เที่ยงตรง ใช้มรรคกถามาปะชุนซ่อมแซมฟ้าดิน
สิ่งที่คนผู้หนึ่งผสานมรรคาด้วยคือแจกันสมบัติทวีป ใบถงทวีป ฝูเหยาทวีป
แผ่นดินใหญ่ของสามทวีป พืชพรรณก่อกำเนิดเติบโต บุปผาผลิบานสีสดงามสะพรั่ง ต้นไม้แห้งเหี่ยวได้เจอกับวสันตฤดู โชคชะตาน้ำรวมตัว รากฐานภูเขาประสานเป็นหนึ่ง ฤดูร้อนอากาศแผดเผา จุดที่แห้งแล้งสวรรค์ประทานฝนรสหวาน
ภาพบรรยากาศฟ้าดินนี้ ทุกวันนี้เฉินผิงอันที่ยังคงถูกใต้หล้าไพศาล ‘สยบกำราบ’ อย่างที่มองไม่เห็น แน่นอนว่าย่อมสัมผัสได้เร็วกว่าจ้าวเหยา
จ้าวเหยาที่อดทนข่มกลั้นมานานเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน สรุปแล้วเจ้าจะมาเอาชนะคะคานอะไรกับข้า?”
เฉินผิงอันกล่าว “เห็นเจ้าแล้วมันขัดตา”
จ้าวเหยาเอ่ยอย่างฉุนๆ ปนขัน “แม่นางหนิงไม่ได้ชอบข้าเสียหน่อย เจ้าจะขัดตากับผายลมอะไร”
เฉินผิงอันร้องเอ๊ะหนึ่งที “ใต้หล้านี้ถึงกับมีศิษย์หลานที่พูดจาแบบนี้กับอาจารย์อาด้วยหรือ?”
จ้าวเหยาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที เอ่ยว่า “ไม่มีอะไรแล้ว คืนนี้ข้าก็แค่มาเพื่อพบเจอกับอาจารย์อาน้อยที่คุณความเหนื่อยยากสูงส่งอย่างเจ้าเท่านั้น”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงก็ไม่จำเป็น เป็นขุนนางของเจ้าดีๆ ไป หลายๆ เรื่องอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งเข้าไปยุ่งตอนนี้”
นี่เป็นประโยคจากใจจริง ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ยังคงหวังว่าคนวัยเดียวกันที่เดินออกไปจากเมืองเล็กของบ้านเกิดจะมีชีวิตที่ดีอยู่ข้างนอก ไม่ต้องถึงขั้นตกอับหมดหวังมากเกินไปนัก
จ้าวเหยาโบกมือ หมุนกายแล้วเดินจากไปทันที
เฉินผิงอันเปิดปากเอ่ย “จ้าวเหยา พูดประโยคนอกเรื่องสักคำ เจ้ากับกรมพิธีการมีความสัมพันธ์กันอย่างไร หากความสัมพันธ์นับว่าพอใช้ได้ เจ้าช่วยทำเรื่องที่ค่อนข้างเปลืองแรงแต่ไม่ได้ประโยชน์สักเรื่องได้ไหม ยกตัวอย่างเช่นให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาใช้เวทตระกูลเซียนรวบรวมภาษาถิ่นของแต่ละสถานที่ในหนึ่งทวีป เอามาจดลงบันทึกให้ดี เพราะตำราสามารถจัดพิมพ์ใหม่ได้ แต่ภาษาถิ่นหากหายไปก็จะไม่เหลืออยู่แล้วจริงๆ และเรื่องนี้บางทีอาจเกี่ยวพันกับโชคชะตาบุ๋นของแคว้น ไม่ถือว่าเป็นการเหนื่อยเปล่าไปเสียหมด เจ้ามีความคิดอย่างไร?”
จ้าวเหยาหันหน้ามายิ้มบางๆ “ราชสำนักลงมือทำนานแล้ว ขุนนางที่เรียบเรียงก็คือข้า ถือว่าทำงานควบสองอย่าง สามารถรับเงินเดือนได้สองส่วน”
จุ๊ๆ แค่นี้ก็คิดว่าสามารถกู้คืนศักดิ์ศรีกลับมาได้แล้วหรือ? เด็กน้อยไปหน่อยหรือไม่? จอมยุทธ์น้อยที่เพิ่งหัดบิน ไม่รู้น้ำลึกของยุทธภพกันจริงๆ
เห็นเพียงว่าเฉินผิงอันพยักหน้ารับ พูดด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม “เติบใหญ่แล้ว”
จ้าวเหยาเดินจากไปทันทีไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
รอกระทั่งใต้เท้ารองเจ้ากรมอาญาเดินจากไปไม่เหลือเงาแล้ว เด็กหนุ่มถึงได้เดินอาดๆ ออกมาจากตรอก ยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน ยิ้มกล่าว “พี่ใหญ่เฉินพูดคุยกับคนอื่น ร้ายกาจยิ่ง!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าเรียนรู้เรื่องแบบนี้ ไม่มีความหมายอะไรหรอก วันหน้าก็ตั้งใจฝึกตนของเจ้าให้ดี”
เด็กหนุ่มพลันถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เซียนกระบี่เฉิน ท่านรู้สึกว่าในอนาคตข้าสามารถเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!