ทางฝั่งของปากตรอกมีรถม้าที่ไม่สะดุดตาจอดอยู่สองคัน ม่านเก่า ม้าธรรมดา สตรีสวมชุดชาววังเรือนกายเล็กเตี้ยคนหนึ่งกำลังพูดคุยกับหลิวเจียผู้ฝึกตนเฒ่า เด็กหนุ่มที่ร่าเริงจากสกุลจ้าวเทียนสุ่ยกลับมีท่าทางสำรวมอย่างที่หาได้ยาก
สารถีกลับเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ยังคงยืนหลับตาทำสมาธิอยู่ข้างรถม้า
เฉินผิงอันสาวเท้าเนิบช้าเดินหน้าไปไม่หยุด หัวเราะร่ายื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว สารถีเฒ่าแค่นเสียงหึในลำคอ
สตรีสวมชุดชาววังหยุดหาเรื่องมาชวนผู้ฝึกตนเฒ่าคุย หันหน้ามามองคนชุดเขียวที่ปักปิ่นหยกบนมวยผม เรือนกายสูงเพรียว สวมรองเท้าผ้า ท่าทางดูผ่อนคลายสบายอารมณ์ ไม่เหมือนคนต่างถิ่น กลับเหมือนคนที่กำลังเดินเล่นอยู่ในถิ่นบ้านตนมากกว่า
เซียนกระบี่ชุดเขียวเดินเล่นอยู่ในเมืองหลวง คนหนุ่มอารมณ์ร้อนพลุ่งพล่านก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง
เพียงแต่ว่าตอนนี้คนหนุ่มไม่ได้สะพายกระบี่ยาวเล่มนั้น ว่ากันว่าหลอมมาจากปลายกระบี่ของกระบี่เซียนไท่ป๋าย เพียงแต่ว่าในศึกถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยง กระบี่เล่มนี้เผยกายไม่มากนัก ส่วนใหญ่อาศัยเวทกระบี่มาสยบกำราบภูเขาลูกหนึ่งมากกว่า เกินครึ่งคงจะวางกระบี่ยาวไว้ในเรือนหลังนั้น จ้าวเหยารองเจ้ากรมอาญาของราชวงศ์สกุลซ่งมีโชคตระกูลเซียนไม่น้อย เขาเองก็ได้กระบี่เซียนไท่ป๋ายมาท่อนหนึ่งเช่นกัน
เมื่อบุรุษชุดเขียวขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ในใจบ่นพึมพำ เด็กหนุ่มบ้านนอกขาเปื้อนโคลนในอดีต เหตุใดถึงตัวสูงขนาดนี้แล้ว? รออีกเดี๋ยวเมื่อทั้งสองฝ่ายพูดคุยกัน ตนจะไม่เสียเปรียบแย่หรอกหรือ?
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ตำหนักฉางชุน อาศัยม้วนภาพขุนเขาสายน้ำที่เกิดจากการชักนำของกองโหราศาสตร์และเศษกระเบื้องแห่งชะตาชีวิต นางจำได้แค่ว่าคนในภาพวาดมีกลิ่นอายเซียนล่องลอย สวมชุดคลุมเต๋าผ้าโปร่งสีเขียว สวมกวานดอกบัว ในมือถือประคองหลิงจือหยกขาว นางมองเมินความสูงในทุกวันนี้ของคนหนุ่มไปจริงๆ
หลิวเจียเอ่ยขอตัวกับไทเฮาเหนียงเนียงต้าหลีหนึ่งคำ แล้วจึงพาลูกศิษย์อย่างจ้าวตวนหมิงถอยกลับเข้าไปในสถานที่ประกอบพิธีกรรมหยกขาว เป็นฝ่ายสกัดกั้นฟ้าดิน ยกตรอกเล็กเส้นนั้นให้กับทั้งสองฝ่าย
สตรีสวมชุดชาววังโบกมือให้กับสารถีเฒ่า ฝ่ายหลังก็ขี่รถม้าจากไป
ไทเฮาเหนียงเนียงท่านนี้มีศาสตร์คงความเยาว์วัย เรือนกายเหมือนทำมาจากไขมันที่แข็งตัว (เปรียบเปรยถึงผิวพรรณที่นวลเนียนงดงาม) เนื่องจากตัวไม่สูง ต่อให้อยู่ในกลุ่มของสตรีทางทิศใต้ของทวีป เรือนกายนางก็ยังถือว่าค่อนข้างต่ำเตี้ย เป็นเหตุให้มองดูแล้วหุ่นเล็กกะทัดรัด แต่มีภาพบรรยากาศของกิ่งทองใบหยกของผู้ฝึกตน รูปโฉมจึงเหมือนสตรีโตเต็มวัยอายุแค่สามสิบกว่าๆ
สตรีแซ่หนันนามจาน เป็นคนของเขตอวี้จางจังหวัดทิงโจวคนในพื้นที่ของต้าหลี ตระกูลเป็นแค่คนมีชื่อเสียงในท้องถิ่น หลังจากนางเข้าวังแล้วมีอำนาจ ตระกูลของนางก็ไม่ได้เป็นเหมือนไก่และสุนัขที่บินขึ้นฟ้าตามไปด้วย กลับกลายเป็นว่าเงียบหายไปนับแต่นั้น
เสื้อผ้าของนางเรียบง่าย แล้วก็ไม่มีเครื่องประดับอะไรที่เกินความจำเป็น เพียงแค่ว่าลายเมฆที่ถักทอมาจากเรือนย้อมใต้การปกครองของเขตเส้าฝูเจียนของเมืองหลวงมีความประณีตมากเท่านั้น ฝีมือการถักทอและวัสดุผ้าแพรต่วน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ของตระกูลเซียนอะไร จึงไม่มีความมหัศจรรย์ให้เห็น แต่กำไลข้อมือของนางที่ร้อยจากไข่มุกสีขาวหิมะสิบสองเม็ดกลับใสแวววาวน่ามองอย่างยิ่ง
รอบด้านไร้ผู้คน แน่นอนว่าก็ยิ่งไม่มีใครกล้าลอบมองที่แห่งนี้โดยพลการ หนันจานสตรีที่มีอำนาจที่สุดในแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ถึงกับเบี่ยงตัวยอบกายคารวะอย่างสำรวม ท่วงท่าอ่อนช้อย เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ นางคลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “คารวะอาจารย์เฉิน”
เฉินผิงอันหยุดเดิน กุมหมัดยิ้มกล่าว “คารวะไทเฮา”
มองกำไลข้อมือของสตรีออกเรือนแล้วเพิ่มอีกแวบหนึ่ง มูลค่าควรเมืองอย่างแท้จริง เพราะไข่มุกทุกเม็ดล้วนคือ ‘ไข่มุกหลิงซี’ ที่ถูกบันทึกอยู่ใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ สามารถทำให้จิตใจของคนปลอดโปร่ง จดจำเรื่องราวของชาติก่อนได้ อีกทั้งหากชีวิตนี้มีอะไรที่หลงลืมไป แค่ลูบไข่มุกนี้ก็จะฉุกคิดขึ้นมาได้ ตระกูลเซียนอักษรจงของใต้หล้าไพศาลแทบทุกแห่งต้องตามหาไข่มุกประเภทนี้อย่างยากลำบาก รับตัวบรรพบุรุษที่สละร่างไปเกิดใหม่ทั้งหลายกลับมาบนภูเขา มอบไข่มุกนี้ให้ ช่วยให้สติปัญญาเปิดโล่งจดจำเรื่องราวของชาติก่อนและการฝึกตนได้
หนันจานเห็นว่าคนชุดเขียวหยุดเดิน ห่างไปไม่ไกลไม่ใกล้ นางไม่จำเป็นต้องเงยหน้าก็สามารถมองสบตาพูดคุยกับอีกฝ่ายได้พอดี
มองดูเหมือนให้เกียรติใหญ่เทียมฟ้าแก่อีกฝ่าย หนันจานมีสถานะสูงศักดิ์เป็นถึงไทเฮา แต่กระนั้นก็ยังยินดีเรียกขานว่าเฉินผิงอันว่าอาจารย์ อีกคนจึงมอบผลหลี่ตอบแทนผลท้อ เข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี ไม่รังแกที่นางตัวเล็กเตี้ย
หนันจานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์เฉิน ไม่สู้พวกเราเข้าไปในเรือน ค่อยๆ พูดคุยกันดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไทเฮาคือเจ้าบ้าน แน่นอนว่าแขกย่อมเอาตามที่เจ้าบ้านสะดวก”
คนทั้งสองเดินเข้าไปในตรอกเล็กด้วยกัน ต่างคนต่างเดินใกล้กับผนัง สายตามองตรงไปเบื้องหน้า หนันจานเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ไพศาลโชคดีที่ร่วมแรงกันกอบกู้สถานการณ์กลับคืนมาได้ อาจารย์เฉินออกเดินทางไกลไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ สร้างคุณความชอบมากมาย อันดับแรกก็สังหารปีศาจใหญ่บินทะยานที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเล จากนั้นจึงสังหารหลงจวินราชาบนบัลลังก์ที่หัวกำแพงเมือง ใช้สถานะของคนต่างถิ่นมารับหน้าที่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้าย วีรกรรมยิ่งใหญ่เช่นนี้ ในหลายๆ ใต้หล้าตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาล้วนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เชื่อว่าวันหน้าก็คงจะไม่มีอีกแล้ว ต้าหลีมีอาจารย์เฉินก็ช่างเป็นโชคดีมหาศาลจริงๆ”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยเนิบช้าว่า “คลื่นมรสุมอำนาจชั่วร้าย พืชพรรณย่อมหมดพลังชีวิต เพียงแค่นี้เท่านั้น”
หนันจานเงียบไปพักหนึ่ง พอขยับเข้าใกล้ประตูเรือน นางก็พลันถามว่า “ไม่ทราบว่าตอนนี้อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งฝึกตนอยู่ในเรือนหรือไม่? จะรบกวนการอ่านตำราของเหวินเซิ่งหรือไม่?”
เฉินผิงอันเปิดประตูเรือน ส่ายหน้า “อาจารย์ไม่ได้อยู่ที่นี่”
หนันจานถามอีก “เข้าพักในโรงเตี๊ยมธรรมดากลางตลาดจะลำบากเซียนกระบี่หนิงหรือไม่? ต้องให้ข้าจัดหาที่พักให้ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “น้ำใจของไทเฮารับไว้แล้ว เพียงแต่ไม่มีความจำเป็นนี้”
ทั้งสองฝ่ายเดินเข้ามาในลานบ้าน หนันจานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์เฉินจะดื่มเหล้าหรือจะดื่มชา?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนตัวพิงโต๊ะหิน หันหน้ามาคลี่ยิ้ม “ไม่สู้พวกเรามาคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันก่อนดีไหม?”
หนันจานยิ้มตาหยี “ไม่ทราบว่าครั้งนี้อาจารย์เฉินเรียกข้ามา ต้องการคุยเรื่องอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “เอามา”
หนันจานทำหน้าเหลอหรา “อาจารย์เฉินต้องการขอของสิ่งใด?”
เฉินผิงอันยังคงค้างอยู่ในท่านั้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ของกลับคืนสู่เจ้าของ เป็นเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน จะให้เอาแต่ทวงคืนชีวิตหนึ่งจากไทเฮาอยู่ตลอดก็ออกจะกำเริบเสิบสาน เนรคุณเกินไป”
หนันจานกวาดตามองรอบด้าน ถามอย่างสงสัย “ของกลับคืนสู่เจ้าของ? ขอถามอาจารย์เฉิน แผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป มีของสิ่งใดที่ไม่ใช่ของต้าหลีเรา?”
เฉินผิงอันหดมือกลับมา ยิ้มกล่าว “ไม่ให้ก็ช่างเถิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!