เซียนกระบี่ชุดเขียวที่ลงมือโดยไม่บอกไม่กล่าวกวาดตามองไปรอบด้าน มองลมปราณที่โคจรของมหามรรคาในสถานประกอบพิธีกรรมของเซียนบรรพกาลแห่งนี้ จากนั้นก็จ้องหันโจ้วจิ่น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าล่ะแปลกใจนัก ปีนั้นพวกเจ้าสังหารขอบเขตหยกดิบของกระโจมทัพเผ่าปีศาจได้อย่างไร ลอบฆ่าตัดหัว? ไม่จริงกระมัง เป็นคนเขาเอาหัวมาส่งให้พวกเจ้าถึงจะถูกกระมัง?”
เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเอง “หรือจะบอกว่าจำนวนคนไม่ครบ พวกเจ้าสิบเอ็ดคนจึงเป็นทรายที่กระจัดกระจายถาดหนึ่ง? ไม่เป็นไร เข้ามากันให้ครบทุกคนเลย อีกอย่างใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีที่แค่พวกเจ้าวางแผนได้มั่นคงก็สังหารคนอื่นได้แล้ว สักวันจะต้องชดใช้หนี้ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นตอนนี้เลยแล้วกัน”
ผู้ฝึกลมปราณสำนักหยินหยางคนนั้นกำลังจะทำมุทราร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่ลี้ลับอย่างถึงที่สุดบทหนึ่ง ใช้การที่ขอบเขตของตัวเองถดถอยเป็นค่าตอบแทน ทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลาขึ้นไปเล็กน้อย ช่วยให้ทั้งสิบเอ็ดคนหวนคืนไปยัง ‘ก่อนหน้านี้’ เพื่อที่จะได้เตรียมตัวกันทัน
ผลกลับกลายเป็นว่าเหนือศีรษะมีแสงกระบี่พุ่งตรงลงมา หยวนฮว่าจิ้งปรากฏกายคุ้มกันสุยหลิน เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมา ให้กระบี่บินปะทะกระบี่บิน สะบั้นแสงกระบี่เส้นนั้นทิ้ง คิดไม่ถึงว่ารอบกายของผู้ฝึกลมปราณจากสำนักห้าธาตุจะมีแสงกระบี่ผุดขึ้นนับไม่ถ้วน ตรงเข้ามาปั่นป่วนกระแสน้ำไหลแห่งกาลเวลาที่เล็กบางเหมือนเส้นด้ายเส้นนั้นทิ้ง
เฉินผิงอันโยนโก่วฉุนและก่ายเยี่ยนที่อยู่ในมือทิ้งไป ก้าวก้าวหนึ่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเก๋อหลิ่ง ผู้ฝึกตนคนนี้ถึงกับเลือกระเบิดโอสถทองและก่อกำเนิดโดยตรง หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนเซียนดินทั่วไปคงต้องมีจุดจบเป็นกายดับมรรคาสลายแล้ว
ปณิธานหมัดทั้งร่างของเฉินผิงอันประหนึ่งน้ำตก ไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย เดินเข้าไปในสนามรบที่ค่อนข้างจะสับสนวุ่นวาย ยื่นมือไปกดหมัดที่พุ่งมาประชิดตัวของอวี๋อวี๋ผู้ฝึกตนสำนักการทหาร กระชากให้ขยับมาใกล้ด้านหน้าตนเบาๆ จากนั้นหมุนตัวถองเข้าที่หัวใจของอีกฝ่าย ทำเอาอวี๋อวี๋กระอักเลือดปลิวกระเด็นไปหลายจั้ง ร่างของเฉินผิงอันเปล่งวูบ เพิ่งจะยกเท้าเหยียบลงไปอีกครั้ง หางตากลับเหลือบไปเห็นว่าแท้จริงแล้วอวี๋อวี๋ห่างออกไปไกลยังจุดอื่นแล้ว ค่อนข้างน่าสนใจ ในฟ้าดินเล็กนกในกรงของตน สิ่งที่ดวงตามองเห็นถึงกับถูกรบกวน ดูท่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ตรอกเล็ก ผีสาวที่ว่ากันว่าเป็น ‘จิตรกรช่างเขียนคิ้ว’ ในตำนานผู้นี้คงจะอำพรางฝีมือไว้ไม่น้อย
ดังนั้นนาทีถัดมา สิ่งที่คนทั้งสิบเอ็ดมองเห็นก็คือฟ้าดินเกิดการเอนเอียง บิดเบี้ยวและพลิกคว่ำในระดับที่ไม่เท่ากัน
ราวกับว่าฟ้าดินแห่งหนึ่งได้ถูกเจ้าของตัดแบ่งออกเป็นหลายเขตแดนมากมายนับไม่ถ้วน
ผีสาวก่ายเยี่ยนทำท่าจะลงมือ ทว่าในสายตาของนางเห็นเพียงแสงกระบี่ พริบตาเดียวก็ถูกกระบี่ยาวหลายสิบเล่มแทงเข้ามาที่เรือนกายและชุดสีสันสดใสตัวนั้น
โก่วฉุนที่เดิมทีควรนอนหลับไปอีกนานพลันลืมตาขึ้น ถูกเฉินผิงอันเหยียบเข้าที่หัวใจจึงหมดสติไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็เหลือบตามองเณรน้อยแล้วคลี่ยิ้ม คล้ายกำลังพูดว่าที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง คนชุดเขียวเหมือนเดินข้ามบานประตูออกมา เท้าเหยียบอยู่กลางอากาศ มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเณรน้อย ยื่นแขนไปรัดคอของภิกษุน้อยเอาไว้ ฝ่ามืออีกข้างดันปลายคางของภิกษุน้อย เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเลือกหยุดมือ ตบที่หัวเณรน้อยเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “คราวหน้าระวังหน่อย”
สองนิ้วประกบกันวาดวงกลมหนึ่งวง รอบกายของเณรน้อยที่รู้สึกตัวช้าพลันมีบ่อสายฟ้าสีทองวงหนึ่งปรากฎขึ้นมา
เฉินผิงอันเปลี่ยนสนามรบ สะบัดชายแขนเสื้อ ยันต์ประหนึ่งลำธารสีเงินสองเส้นที่ห้อยแขวนอยู่ กักตัวผู้ฝึกลมปราณสำนักห้าธาตุไว้ภายใน
หันโจ้วจิ่นตะลึงลานหน้าเผือดสี ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ตนถึงกับสูญเสียการเชื่อมโยงทางลมปราณกับซากปรักจวนเซียนแห่งนั้นไป
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน ยกมือขึ้นง่ายๆ ปัดกระบี่บินของหยวนฮว่าจิ้งและซ่งซวี่ทิ้ง เอ่ยว่า “รู้ว่าพวกเจ้ายังมีวิธีรับมืออีกมาก แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีโอกาสร่ายใช้ พวกเจ้าแพ้แล้ว”
ดีดนิ้วหนึ่งที ดีดเศษชิ้นส่วนร่างทองชิ้นหนึ่งให้กับผู้ฝึกลมปราณสำนักหยินหยาง เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ถือว่าเป็นการชดใช้ให้ กลับกันไปเถอะ”
กาลเวลาหมุนย้อนกลับไปเล็กน้อย ทั้งสิบเอ็ดคนกลับคืนสู่ตำแหน่งของตัวเองก่อนหน้านั้น แต่มีคาถาลัทธิพุทธของเณรน้อยช่วยคุ้มกัน ความทรงจำของทุกคนจึงยังอยู่ สุยหลินนั่งแปะลงกับพื้น สีหน้าซีดขาว เพียงแต่ว่าเศษชิ้นส่วนร่างทองในมือมากพอจะชดเชยความเสียหายของตบะตัวเองได้ แล้วยังพอจะมีกำไรอยู่บ้าง
ผู้ฝึกตนครึ่งหนึ่งไม่ค่อยอยากจะยอมรับ ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งยังหวาดผวาไม่คลาย
เซียนกระบี่ชุดเขียวที่ลงมือได้อำมหิตอย่างถึงที่สุดผู้นั้นคล้ายกับเป็นคนคนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำแห่งกาลเวลา เป็นคนแรกที่กลับมายังจุดเดิมของโรงเตี๊ยม สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อยืนอยู่ตรงระเบียง ยิ้มเอ่ยกับเด็กหนุ่มโก่วฉุนที่ยังก้มหน้าอยู่ “ตกใจกลัวหรือ?”
เด็กหนุ่มอึ้งค้างไร้คำพูด ยังคงค้างอยู่ในท่ากอดไม้เท้าเดินป่า พอลุกขึ้นแล้วก็เกาหัว ก่อนจะส่ายหัว “อาจารย์เฉิน ได้เรียนรู้แล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ฝึกตนอยู่บนภูเขา เมฆหมอกพิสดารมีมากมาย ยิ่งเดินขึ้นเขาได้สูงเท่าไร ลมภูเขาก็ยิ่งพัดแรงมากเท่านั้น วันหน้าระวังให้มาก”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หัวเราะ “แน่นอนไม่ได้บอกว่าวันหน้าเจ้าต้องระวังว่าจะถูกข้าลอบโจมตีอีก ที่ข้าลงมือในวันนี้เป็นแค่ข้อยกเว้นเท่านั้น”
เฉินผิงอันเริ่มช่วยคนทั้งสิบทบทวนการเข่นฆ่าในครั้งนี้ แล้วก็ให้ข้อเสนอบางอย่าง ส่วนพวกเขาจะฟังหรือไม่ ไม่สนใจ
หากพวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่ศิษย์พี่ตั้งใจคัดเลือก สิ้นเปลืองทรัพยากรทรัพย์สินเงินทองในการอบรมบ่มเพาะ วันนี้เฉินผิงอันก็คร้านจะลงมือด้วยซ้ำ เศษชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลชิ้นใหญ่ขนาดนั้น ไม่ใช่เงินหรือไร
สุดท้ายเฉินผิงอันใช้เสียงในใจถาม “โก่วฉุน วันนี้เห็นคนกินเนื้อหมาแล้วรู้สึกอย่างไร?”
โก่วฉุนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับอาจารย์เฉินตามตรง “ยังคงรู้สึกแย่เหมือนเดิม ดังนั้นจึงเชื่อฟังอาจารย์เฉิน วันหน้าจะต้องเป็นราชครูของแคว้นเล็กแห่งหนึ่ง ออกคำสั่งว่าในอาณาเขตของแคว้น ไม่ว่าใครก็ห้ามกินเนื้อหมา”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ค่อยเป็นค่อยไป”
เฉินผิงอันเตรียมจะออกไปจากโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนี้ คิดไม่ถึงว่าผีหญิงคนนั้นจะกล้าขยับเข้ามาใกล้หลายก้าว กะพริบดวงตาที่กลมโตปริบๆ “คุณชายเฉิน จะไปแล้วหรือ ให้ข้าไปส่งท่านนะ?”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “ไม่รู้สึกเลี่ยนบ้างหรือไร บอกมา เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
นางมีสีหน้าเหนียมอายอย่างที่หาได้ยาก “เอาอย่างหันโจ้วจิ่น เห็นความงามแล้วเกิดความละโมบ ควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่”
หันโจ้วจิ่นใบหน้าแดงก่ำ เอ่ยอย่างอับอายจนพานเป็นความโกรธ “ก่ายเยี่ยน เจ้าทำปากให้สะอาดหน่อย!”
เฉินผิงอันหมดคำจะพูด เพียงขยับร่างวูบหายไป
……
ในศาลเทพอัคคี
ใต้ซุ้มดอกไม้ เฟิงอี๋เหลือบตามองไป มาโดยไม่ได้รับเชิญ แถมยังเข้ามาโดยไม่เคาะประตู คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน
สารถีเฒ่าพูดเข้าประเด็นทันที “สถานการณ์บีบคั้น จำต้องตอบคำถามเฉินผิงอันสามข้อ เจ้าคิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะถามอะไร ข้าจะได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ อย่าปฏิเสธล่ะ หากไม่ใช่เพราะเจ้าทำให้เสียเรื่อง ข้าก็คงไม่ต้องโดนสองกระบี่เช่นนี้”
เฟิงอี๋ยิ้มหวาดหยด “เฉินผิงอันต้องถามก่อนแน่นอนว่าเจ้าเป็นใคร”
สารถีเฒ่าเอ่ย “แล้วยังไงต่อ?”
เฟิงอี๋กล่าวต่อว่า “เรื่องที่เครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตปริแตก เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่”
สารถีเฒ่าพยักหน้า “ข้อนี้ตอบได้ง่าย ไม่ได้เกี่ยวกะผายลมอะไรเลย”
เฟิงอี๋จุ๊ปากพูด “ไร้จิตสำนึกไปหน่อยกระมัง? เจ้าลงเดิมพันข้างตระกูลหม่าตรอกซิ่งฮวาตั้งแต่แรกเลยนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!