อ่านสรุป บทที่ 835.2 มาแล้ว จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 835.2 มาแล้ว คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ที่เป็นห่วงที่สุดก็ยังเป็นเรื่องที่บุตรสาวคนโง่ชอบเพ้อฝันอยากเป็นจอมยุทธหญิง วิ่งข้ามหลังคาเดินไต่กำแพง ผดุงคุณธรรมมาตั้งแต่เด็ก โชคดีที่มีครั้งหนึ่งตะพาบน้อยสองกลุ่มของตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์รวมกลุ่มตีกันอย่างดุเดือดรุนแรง ก้อนอิฐแตกไปไม่น้อย ทำเอาบุตรสาวของตนวิ่งกลับมาบ้านด้วยความไม่สบอารมณ์ นับแต่นั้นมาก็สำรวมขึ้นมาก บอกแค่ว่ารอให้โตก่อนค่อยว่ากัน ฝึกกำลังภายในให้ดีก่อนค่อยออกท่องยุทธภพก็ยังไม่สาย
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นหากข้าเดินเจอกับนางในโรงเตี๊ยมก็คงไม่เป็นไรกระมัง?”
ผู้เฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? เฉินผิงอัน เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องไล่คนจริงๆ แล้ว ลูกชายมีอยู่สองคน แต่ลูกสาวกลับมีแค่คนเดียว หากถูกเจ้าหลอกไป ภรรยาดุร้ายบ้านข้าต้องตีข้าตายแน่”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าไม่คิดว่าคนหนุ่มต่างถิ่นผู้นี้เป็นคนชั่วร้ายอะไรจริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้วิถีทางโลกสงบสุขมากแล้ว ชีวิตของชาวบ้านต้าหลีผ่านไปอย่างสงบมั่นคงในทุกๆ วัน เรื่องของการละเมิดกฎทำผิด อย่าว่าแต่คนในยุทธภพเลย ขนาดเทพเซียนบนภูเขาก็ยังไม่กล้า
ผู้เฒ่าพลันถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าบอกข้ามาเถอะ เจ้าเป็นคนของพรรคไหนในยุทธภพกันแน่ มีชื่อเสียงหรือไม่?”
อาณาเขตหลงโจวแค่เคยได้ยินมาว่ามีภูเขาพีอวิ๋นที่ยอดเขาสูงทะลุชั้นเมฆกับเว่ยซานจวินที่ว่ากันว่ามีเงินทองไหลมาเทมา นอกจากนั้นก็เป็นสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่มีแต่เซียนกระบี่เต็มภูเขา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พรรคเล็กๆ เท่านั้น พูดไปแล้วเถ้าแก่ก็ไม่รู้จัก เอาเป็นว่าคนไม่มาก แต่สามารถรับประกันได้ว่าขนบธรรมเนียมของบ้านข้าไม่เลวแน่นอน”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “หากข้าออกจากบ้านไปบอกกับคนอื่นว่าโรงเตี๊ยมของข้าคือโรงเตี๊ยมใหญ่อันดับหนึ่งไม่มีสองของเมืองหลวง ทุกวันคนที่เข้าๆ ออกๆ หากไม่ใช่ปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพอย่างพวกอวี๋หง โจวไห่จิ้ง ก็เป็นนายท่านเทพเซียนที่ขี่เมฆทะยานหมอก เจ้าจะเชื่อหรือไม่เล่า?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่เชื่อหรอก”
ผู้เฒ่าถาม “เจ้าคงไม่ได้ชอบลูกสาวข้าจริงๆ หรอกกระมัง? คงไม่ใช่ว่าเกิดรักแรกพบต่อนางเข้าหรอกนะ?”
เฉินผิงอันยิ้มเฝื่อน “ไม่ใช่จริงๆ”
ผู้เฒ่าโล่งอก พยักหน้า แบบนี้ก็ดี จากนั้นก็ตบโต๊ะ ไม่เห็นจะดีเลย ลูกสาวของข้าแย่กว่าหนิงเหยาตรงไหนกัน ผู้เฒ่าโบกมือเป็นวงกว้าง ตาไร้แวว รีบไสหัวไปเลย
เฉินผิงอันเดินออกมาแล้ว ทางฝั่งของที่ว่าการก็มีคนมาตรวจสอบสมุดบันทึกอย่างรวดเร็ว เป็นคนแปลกหน้าสองคน แต่ว่าป้ายขุนนางกลับไม่ใช่ของปลอม เถ้าแก่ผู้เฒ่าจึงไม่ได้คิดอะไรมาก
หลังจากพวกเขาเปิดเจอชื่อเฉินผิงอันกับหนิงเหยา คนทั้งสองก็หันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ขุนนางอายุน้อยคนหนึ่งในนั้นพลิกหน้าสมุดบันทึกต่อไปพลางยิ้มพูดชวนคุย “เถ้าแก่หลิว กิจการเจริญรุ่งเรืองนะ”
ผู้เฒ่าฟุบตัวนอนคว่ำบนโต๊ะคิดเงินอย่างผ่อนคลาย ไม่กังวลกับคนของทางการพวกนี้เลยสักนิด โรงเตี๊ยมของตนเปิดอยู่บนถนนสองเส้น คนสองรุ่นล้วนใกล้จะอายุห้าสิบปีแล้ว มีขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊แบบใดบ้างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน พวกขุนนางชั้นสูงที่อยู่ใจกลางราชสำนักก็ไม่เพียงแต่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี หลายคนหากเจอกันบนถนนโดยบังเอิญยังสามารถพูดจาทักทายกันได้ด้วย สำหรับเรื่องนี้เถ้าแก่ผู้เฒ่าค่อนข้างภาคภูมิใจในตัวเองมาโดยตลอด ดังนั้นเวลานี้จึงเพียงแค่ยิ้มเอ่ยว่า “กิจการนับว่าพอได้ แค่ถูๆ ไถๆ ไปเท่านั้น”
หนิงเหยาไม่ได้จงใจปล่อยจิตใจจมจ่อมอยู่กับการฝึกตน หล่อเลี้ยงปณิธานกระบี่ด้วยความอบอุ่น เพราะหากทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากการช่วงชิงบนมหามรรคาระหว่างสองใต้หล้าแล้ว
นางเพียงแค่นั่งอยู่ข้างโต๊ะตลอดทั้งคืนเช่นนี้ พอฟ้าสางนางก็ลืมตาขึ้น ยื่นนิ้วออกไปหมุนชายแขนเสื้อข้างหนึ่งเบาๆ ตามจิตใจสำนึก
รอกระทั่งเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น หนิงเหยาก็เอ่ยว่า “ประตูไม่ได้ลงกลอน”
เฉินผิงอันผลักประตูเดินเข้ามาด้านใน หนิงเหยาเหลือบมองคนชุดเขียวที่ปักปิ่นหยกไว้บนมวยผม ไม่ได้เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันหยิบรวมเล่มผลงานของนักเขียนหลายเล่มออกมาจากในชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า “ยังต้องอยู่เมืองหลวงอีกหลายวัน กลัวว่าเจ้าจะเบื่อก็เลยเลือกหนังสือมาให้ ไม่มีอะไรทำก็เอามาอ่านเล่นได้”
หนิงเหยามองหนังสือหลายเล่มบนโต๊ะ หยิบขึ้นมาดู ถามว่า “ไม่มีนิยายในยุทธภพกับคดีแปลกพิสดารบ้างหรือ?”
เฉินผิงอันถาม “อยากอ่านหนังสือประเภทนี้หรือ?”
หนิงเหยาย้อนถาม “ไม่อย่างนั้นจะให้ข้าอ่านเรื่องเหลวไหลอย่างพวกนิยายภูตผีตัวประหลาด นิยายรักประโลมโลกอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันพูดไม่ออก
พวกนินายในยุทธภพที่เอะอะก็เป็นยอดฝีมือผู้เร้นกายจากโลกภายนอกกรอกกำลังภายในหกสิบให้กับผู้เยาว์ก็เหลวไหลมากเหมือนกันนะ
เพียงแต่ไม่ว่าภรรยาพูดอะไรก็ล้วนถูกต้องทั้งหมด
เฉินผิงอันพูดเรื่องที่หลี่เซิ่งเชิญให้นางไปที่ศาลบุ๋นก่อน หนิงเหยาพยักหน้า บอกว่าไม่มีปัญหา จากนั้นเขาก็รีบหันตัวเดินกลับออกไปหาหนังสือ แต่ดูเหมือนว่าในหอหนังสือจะไม่มีตำราพวกนี้อยู่เลย
จำได้ว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่ตอนนั้นยังเป็นถ่านดำน้อย ทุกวันจะต้องคอยเซ้าซี้เหล่าเว่ยกับเสี่ยวป๋ายบอกว่าให้พวกเขาถ่ายทอดกำลังปราณให้นางคนละหลายๆ สิบปี
ภายหลังพ่อครัวเฒ่าเอาเรื่องมาฟ้อง เผยเฉียนจึงกินมะเหงกมื้อหนึ่งไปจนอิ่ม ถึงได้ยอมปล่อยเว่ยเซี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงไป
เถ้าแก่ผู้เฒ่าเห็นว่าเฉินผิงอันเดินเข้าๆ ออกๆ ก็เอ่ยสัพยอกว่า “คนเราจะดูกันที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ อายุน้อยๆ แต่กลับเร็วมากเลยนะ”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ถามว่า “เถ้าแก่ ใกล้ๆ นี้มีร้านขายหนังสือบ้างหรือไม่?”
ผู้เฒ่าพยักหน้า “ไม่ไกลหรอก มีร้านหนังสือของถนนปั้นเถียวอยู่ แต่ร้านที่อยู่ใกล้กับตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์เช่นนี้ แค่คิดก็รู้ได้แล้วว่าราคาต้องไม่ถูก ส่วนใหญ่เป็นตำราสมบูรณ์ตำราเล่มหายากที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ทำไม ทุกวันนี้คนในพรรคยุทธภพอย่างพวกเจ้า คิดจะประมือกับใครก็จะต้องพูดจากำกวมก่อนสักสองสามประโยคหรือ?”
ผู้เฒ่าบอกทางให้คร่าวๆ เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณแล้วยิ้มกล่าวว่า “ภรรยาอยากอ่านหนังสือ จะไปหาดูให้นางสักหน่อย”
เฉินผิงอันจึงคิดเสียว่าออกมาเดินเล่น แล้วก็เจอถนนเส้นนั้น มีหนังสือตั้งวางเรียงรายอยู่จริง จ่ายเงินไปเจ็ดแปดตำลึงเงิน เลือกหนังสือมาได้สี่ห้าเล่มก็เก็บใส่ชายแขนเสื้อ เขาพลันเปลี่ยนใจ เดินอ้อมเส้นทางไปยังจุดอื่น ห่างไปประมาณสามลี้ เดินผ่านตรอกผ่านถนนเส้นต่างๆ สุดท้ายเฉินผิงอันก็เดินมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่เปิดอยู่ลึกสุดปลายตรอกเล็กเส้นหนึ่ง ประตูร้านไม่ใหญ่ แล้วก็ไม่มีลักษณะของตระกูลเซียนอะไร หากคนธรรมดาเดินผ่านต้องไม่มีทางหันกลับมามองซ้ำแน่นอน เจอกับทางตันก็มีแต่จะหมุนตัวเดินจากไป
เฉินผิงอันรู้ว่าเมื่อคืนวานพวกซ่งซวี่ออกจากเมืองเดินทางไกล จุดเริ่มต้นของพวกเขาคือที่นี่ ตอนที่ย้อนกลับเข้ามาในเมืองหลวงก็มาพักเท้าอยู่ที่นี่ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าที่นี่ก็คือสถานที่ฝึกตนของพวกเขา
เฉินผิงอันกำลังจะเคาะประตูก็ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ เรือนกายถอยกรูดออกไปด้านหลังในเสี้ยววินาที พลิ้วกายหยุดห่างออกไปสิบกว่าจั้ง มีผู้ฝึกตนผีหญิงขอบเขตโอสถทองตนหนึ่งที่เรือนกายเป็นมายาล่องลอยกระโจนออกมาจากประตูใหญ่ที่แปะภาพเทพทวารบาลลงสีเอาไว้ เฉินผิงอันเหลือบตามองก็สังเกตเห็นว่าเป็นผีหญิงที่อยู่ข้างกายผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดอายุน้อยคนนั้น เกินครึ่งน่าจะเป็นเหมือนพวกซ่งซวี่ เก๋อหลิ่ง เพียงแค่ว่าอยู่บนภูเขาคนละลูกกัน
นี่คือจะประลองมรรคกถา? หรือว่าถามหมัดถามกระบี่?
เห็นเพียงว่านางแค่พลิกกาย ชุดสีสดพลิ้วไสว กางเล็บแยกเขี้ยว คล้ายจะไม่มีกฎระเบียบอะไร อีกทั้งสายตาราวกับจะกลืนกินคน แล้วสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกระหายอยากของนางนั้นล่ะ หมายความว่าอย่างไร
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เพียงแค่ขยับเท้าเบี่ยงตัวหลบก็หลบพ้นเรือนกายที่พุ่งทะยานมาของผีหญิง ผีสาวที่เหมือนผ้าแพรหลากสีเส้นหนึ่งพลันหมุนตัวกลับครึ่งหนึ่ง กางแขนสองข้างออกกว้างหมายจะกอดคนชุดเขียว
เจ้ายังไม่แล้วไม่เลิกเสียทีหรือ?
เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง เพียงยกศอกกระทุ้งไปด้านหลัง กระแทกเข้าเต็มหน้าของผีหญิง
“ไม่ยุติธรรมเลย”
ก่ายเยี่ยนในที่อยู่ในตรอกไม่ได้หงุดหงิด ก็แค่กระทืบเท้าอย่างแง่งอนแล้วเดินตามหลังมา
มาถึงเรือนพักแห่งนี้นางก็ให้รู้สึกตื่นตะลึงนัก หรือว่าโก่วฉุนรู้จักกับอาจารย์เฉิน? ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย
หันโจ้วจิ่นก็มาที่เรือนหลังเล็ก ข้างกายมีแมลงตามก้นอย่างอวี๋อวี๋ติดตามมาด้วย
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มสดใส “อาจารย์เฉิน ทุกวันนี้ข้าชื่อโก่วฉุน”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “ชื่อไม่เลว”
โก่วฉุน
ไม่ลืมกำพืดเดิม มีชีวิตอยู่ต่อไป
เฉินผิงอันยื่นมือออกมา
เด็กหนุ่มรีบควักเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งที่เตรียมไว้มานานหลายปีออกมาจากชายแขนเสื้อ มอบให้อีกฝ่าย พลางเอ่ยขออภัยว่า “อาจารย์เฉิน เงินร้อนน้อยของปีนั้นข้าเอาไปใช้แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ยืมเงินคืนเงิน ไม่ควรต้องมีดอกเบี้ยสักหน่อยหรือ”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง รู้ว่าอาจารย์เฉินพูดล้อเล่น
เฉินผิงอันเก็บเงินร้อนน้อยไป บิดหมุนข้อมือหนึ่งทีก็มีไม้เท้าเดินป่าสีเขียวอันหนึ่งปรากฏขึ้นมา คือไม้เท้าเดินขึ้นเขาที่ปัญญาชนชอบใช้ยามขึ้นเขาออกเดินทางไกล “มอบให้เจ้าแล้ว”
ด้านบนไม้เท้าเดินเขาแกะสลักสองคำว่า ก้าวไกล
เด็กหนุ่มกอดไม้เท้าเดินป่าเอาไว้ เพราะพูดไม่เก่งจึงทำเพียงแค่ค้อมตัวขอบคุณอาจารย์เฉิน
นาทีถัดมา
เด็กหนุ่มยังไม่ทันเงยหน้ายืดตัวก็พลันสัมผัสได้ถึงสัญญาณเตือนภัย
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เพียงแต่โก่วฉุน ผีสาวก่ายเยี่ยนที่อยู่ในลานบ้าน หันโจ้วจิ่นและอวี๋อวี๋ที่อยู่ตรงหน้าประตู รวมไปถึงพวกซ่งซวี่ที่รวมตัวกันอยู่ในเรือนใกล้เคียงแห่งหนึ่ง ทุกคนต่างก็ค้นพบว่าตัวเองมาอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
หันโจ้วจิ่นอาจารย์ค่ายกลเรียกซากปรักวังเซียนแห่งนั้นออกมา จากนั้นฟ้าดินก็มีเพียงแสงกระบี่ที่ราวกับบุกฟ้าเบิกดิน ฝ่าทลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำของพื้นที่มงคลถงป่ายบรรพกาลแห่งหนึ่งไป เห็นเพียงว่ามือหนึ่งของเฉินผิงอันคว้ามวยผมของก่ายเยี่ยน อีกมือหนึ่งกำคอของโก่วฉุน ปราณวิญญาณทั้งร่างของผีสาวก่ายเยี่ยนถูกปณิธานหมัดสยบกำราบจนแทบจะหยุดชะงัก เพียงแค่มีลมพัดใบไม้ไหว ช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตที่เป็นห้าธาตุก็เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวราวถูกคว้านหัวใจ ส่วนโก่วฉุนนั้นหมดสติไปแล้ว จุดที่ยุ่งยากอย่างถึงที่สุดยังคงอยู่ที่ตรงหว่างคิ้วของก่ายเยี่ยนและโก่วฉุนต่างก็ถูกกระบี่บินทิ่มแทงเบาๆ นาทีถัดมาปราณกระบี่ก็แทรกซึมเข้าไปในฟ้าดินเล็กของร่างกาย
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!