ภาค 12 เลือกเผด็จศึก – บทที่ 835.1 มาแล้ว
เฉินผิงอันบอกลาอาจารย์แล้วออกไปจากตรอกเล็กตั้งแต่เช้าตรู่
นึกถึงหนังสือหมั้นฉบับนั้น อาจารย์มอบออกไปแล้ว หนิงเหยารับไว้แล้ว อารมณ์เฉินผิงอันจึงดีไม่น้อย
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่รับผิดชอบเฝ้าตรอกวางลานประกอบพิธีกรรมหยกขาวกลับไปในตรอกเล็กอีกครั้ง ชั่วชีวิตนี้นอกจากฝึกตนแล้ว ผู้เฒ่าก็ไม่มีความชื่นชอบอย่างอื่นอีก
หลิวเจียชอบฝึกตนแค่อย่างเดียวจริงๆ ส่วนขอบเขตอะไรนั่นไม่เรียกร้อง อยากมาก็มา ไม่อยากมาก็ตามใจ ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็ไม่เอาใจเจ้า
เพียงแต่ประหลาดใจนัก หรือเพราะเมื่อวานไม่มีตนคอยปกป้อง ลูกศิษย์ของตนจึงถูกฟ้าผ่าอีกแล้ว? ถึงได้ไม่ร่ายกระบวนท่าต่อสู้ส่งเสียงดังฮื่อฮ่าอยู่ตรงนั้น ถึงกับทำสมาธิเข้าฌาน กระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ ใช้เวทขนย้ายรกเยื่อหุ้มทารกจากสายของหยดทองคืนโอสถ (รกเยื่อหุ้มทารกคือสิ่งที่ใช้ในการหลอมโอสถของลัทธิเต๋า หยดทองคืนโอสถคือศัพท์ในการหลอมโอสถ คือขั้นตอนการนำวัตถุสีเหลืองทองมาหลอมเป็นโอสถของลัทธิเต๋า) โคจรแบบจุลจักรวาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า คาดว่าคงเป็นเพราะมีจิตศรัทธาความศักดิ์สิทธิ์จึงบังเกิด มองดูแล้วเข้าท่าเข้าทีอย่างยิ่ง
ตลอดทั้งคืนนอกจากการฝึกตนของตัวเอง โคจรปราณวิญญาณแบบมหาจักรวาล ใช้วิชาอภินิหารการนึกนิมิต ประหนึ่งเซียนขี่นกกระเรียนท่องไปยังฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลที่มีต้นไม้ทองกอไม้หยกซึ่งมีเฉพาะในบ้านตน ออกจากตำหนักโอฬารลงจากหลังกระเรียนขาว พิศน้ำทำความเข้าใจมรรคาอยู่บนสะพานแห่งความเป็นอมตะแล้ว ผู้ฝึกตนเฒ่ายังต้องแบ่งสมาธิมาจับตามองเส้นทางการไหลเวียนลมปราณของจ้าวตวนหมิงด้วย เพื่อที่ว่าหลังจบเรื่องจะได้หาข้อบกพร่องมาช่วยตรวจสอบชดเชยช่องโหว่ให้กับลูกศิษย์
เฉินผิงอันหยุดเดินใกล้กับปากตรอก รออยู่ครู่หนึ่งก็ทำท่างอนิ้วเคาะประตู เคาะลงเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “เซียนซือผู้เฒ่าหลิว แวะมาเยี่ยมเยียน คงไม่ถือสากระมัง?”
ตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตรอกเล็ก หลิวเจียเพิ่งจะเก็บรวบรวมความคิด ยุติการฝึกตนลงพอดี ก่อกำเนิดผู้เฒ่ารู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก คนหนุ่มผู้นี้ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์น้องของซิ่วหู่ สายตาช่างเฉียบคมยิ่งนัก มีฟ้าดินเล็กลานประกอบพิธีกรรมแห่งหนึ่งกั้นขวางยังสามารถเห็นสภาพการณ์ฝึกตนของตนได้ชัดเจนเพียงนี้ ผู้ฝึกตนเฒ่าลุกขึ้นจากเบาะรองนั่ง ร่ายเวทคาถาเปิดประตูบานเล็กให้กับลานประกอบพิธีกรรมหยกขาวของตน เอ่ยว่า “เชิญเข้ามา”
มีคำว่าเชิญที่เห็นแก่หน้าของเหวินเซิ่งผู้เป็นอาจารย์ของเจ้าเพิ่มเข้ามา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเซียนกระบี่ไม่เซียนกระบี่ อิ่นกวานไม่อิ่นกวานอะไรทั้งนั้น
เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวัน อันดับแรกก็เป็นอิ่นกวานหนุ่มที่แวะมา การออกกระบี่อย่างเฉียบคมจากหนิงเหยา แล้วยังมีการมาเยือนของเหวินเซิ่ง หลิวเจียรู้สึกว่าบนเส้นทางการฝึกตนที่สงบเงียบมาโดยตลอดของตน ช่างหาได้ยากนักที่จะครึกครื้นเช่นนี้
เพียงแต่ก่อนหน้านั้นคิดว่าจะไปดื่มเหล้ากับชายฉกรรจ์คนนั้น เวลานี้คงไม่ใช่ว่าดื่มเหล้าไม่ได้ ได้แต่ดื่มสุราคารวะต่อสารถีเฒ่าผู้นั้นอยู่ไกลๆ สามจอกกระมัง?
เฉินผิงอันเดินเข้าไปด้านใน มองเด็กหนุ่มที่ยังฝึกตนอยู่ ใช้เสียงในใจถามว่า “เซียนซือผู้เฒ่าคิดจะรอให้ตวนหมิงเลื่อนเป็นขอบเขตโอสถทองเสียก่อนค่อยถ่ายทอดเวทอสนีชั้นสูงที่ผสานกลมกลืนกับชะตาชีวิตของเขาอย่างเป็นธรรมชาติให้อย่างนั้นหรือ?”
หลิวเจียสีหน้าปั้นยาก อยากจะพยักหน้า ตบหน้าตัวเองสวมรอยเป็นคนอ้วนกับคนหนุ่มที่อายุสี่สิบปีผู้นี้จริงๆ แต่ถึงอย่างไรผู้เฒ่าก็ข้ามผ่านมโนธรรมในใจตัวเองไปไม่ได้ หน้าตาศักดิ์ศรีอะไรนั้นไม่สำคัญแล้ว เขาจึงถอนหายใจ “มีคาถาอสนีกะผายลมอะไรเสียที่ไหน กลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตกตะลึง “ด้วยรากฐานของสกุลจ้าวเทียนสุ่ยจะตามหาเวทอสนีที่ถูกต้องสักบทไม่ได้เชียวหรือ?”
หลิวเจียส่ายหน้า “หลายปีมานี้สกุลจ้าวหาเวทลับอสนีที่เป็นวิชานอกรีตเจอแค่สองสามบทเท่านั้น ยังห่างจากห้าอสนีดั้งเดิมของภูเขามังกรพยัคฆ์อีกหนึ่งแสนแปดพันลี้ พวกเขากล้ามอบให้ ข้าก็ไม่กล้ารับ”
ช่างเป็นเซียนกระบี่ที่ไม่รู้ว่าน้ำมันเกลือฟืนข้าวสารแพงจริงๆ วิชาอสนีถูกเรียกว่าเป็นบรรพบุรุษแห่งหมื่นคาถาบนภูเขา เวทลับวิชาดั้งเดิมเช่นนี้จะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่นี่ไม่ใช่เรื่องของเงินทองอะไรด้วย ตระกูลเซียนแจกันสมบัติทวีป พวกคนที่ฝึกวิชาอสนีโดยเฉพาะ เดิมทีก็ไม่เยอะอยู่แล้ว คำกล่าวที่ว่าใกล้เคียง ‘ของแท้ดั้งเดิม’ ก็ยิ่งไม่มีเลย ต่อให้เป็นฉีเจินเทียนจวินใหญ่แห่งสำนักโองการเทพก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองเชี่ยวชาญเวทอสนี
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “วันหน้าข้าต้องกลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอีกรอบหนึ่ง ที่นั่นข้ามีสหายบนภูเขาคนหนึ่งเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือ นัดหมายกันไว้ว่าจะไปเป็นแขกที่ภูเขามังกรพยัคฆ์ ข้าจะดูว่าจะสามารถรวบรวมเวทลับที่พอจะเข้าท่าเข้าทีสักบทมาให้ได้หรือไม่ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ไม่กล้ารับรองว่าจะต้องสำเร็จแน่นอน”
หลิวเจียขมวดคิ้วเอ่ย “ไม่ได้เป็นอะไรกัน ไยเจ้าต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ มอบน้ำใจควันธูปใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ให้ตวนหมิงเปล่าๆ? ทำไม คิดจะดึงสกุลจ้าวเทียนสุ่ยไปเป็นพันธมิตรในราชสำนักต้าหลีให้กับภูเขาลั่วพั่วอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากทำสำเร็จจริง เวทลับวิชาอสนีบทนั้นก็จะถือว่าข้าไม่ทันระวังทำหล่นไว้ที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น ถือเสียว่าแทนการขอบคุณที่เซียนซือผู้เฒ่าหลิวช่วยดูแลเรือนให้ศิษย์พี่ข้า เซียนซือผู้เฒ่าหลิวแค่ต้องทำเรื่องเดียว นั่นก็คือปิดบังเรื่องนี้กับสกุลจ้าวเทียนสุ่ยเอาไว้ สรุปก็คือไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า หลังจากนั้นท่านก็แค่สงบใจถ่ายทอดวิชาให้ตวนหมิงก็พอ”
หลิวเจียกึ่งเชื่อกึ่งกังขา “ง่ายดายขนาดนี้เชียว ไม่มีแผนการอะไรจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “ไม่เชื่อใจเฉินผิงอันที่พบเจอกันอย่างผิวเผิน แต่เซียนซือผู้เฒ่าหลิวไม่เชื่อใจอาจารย์ของข้าหรือ?”
หลิวเจียหลุดหัวเราะพรืด ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พยักหน้า เจ้าเด็กนี่ถึงกับยกเหวินเซิ่งมาพูดแล้ว เรื่องนี้สามารถทำได้ บัณฑิตของลัทธิขงจื๊อให้ความสำคัญกับระบบสืบทอดของสายบุ๋นที่สุด ไม่มีใครเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น
แต่ผู้ฝึกตนเฒ่าก็พลันได้สติ ด่าขำๆ ว่า “เจ้าเด็กตัวดี เจ้าหลอกข้า ไม่ต้องทำผายลมอะไรก็สามารถช่วงชิงความรู้สึกดีๆ จากข้าไปได้เปล่าๆ ใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันแสร้งทำสีหน้าฉงน “หมายความว่าอย่างไร?”
หลิวเจียหัวเราะอย่างฉุนๆ ยื่นนิ้วมาชี้หน้าคนหนุ่มที่เห็นตนเป็นคนโง่สองสามที “ต่อให้เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับจวนเทียนซือ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สายเต๋าของภูเขามังกรพยัคฆ์ เกรงว่าต่อให้เป็นตัวเทียนซือใหญ่เองก็ยังไม่กล้าถ่ายทอดเวทห้าอสนีที่แท้จริงให้แก่เจ้าโดยพลการ เมื่อครู่นี้ตัวเจ้าเองก็บอกแล้วว่าแค่ดูว่าจะมีโอกาสรวบรวมตำรามาได้หรือไม่ เจ้าลองถามมโนธรรมในใจตัวเองดูเถิด ตำราลับลัทธิเต๋าที่อาจทำให้ลูกศิษย์ผู้อื่นฝึกตนผิดพลาดได้เหมือนกันเช่นนี้ จะดีไปกว่าของที่สกุลจ้าวเทียนสุ่ยหามาได้อีกหรือ? จะหลอกคนก็ไม่รู้จักหาเหตุผลดีๆ มีช่องโหว่อยู่ทั่วทุกจุด ไม่น่าเชื่อถือพอ…”
ผู้ฝึกตนเฒ่าพลันเงียบเสียงลง เห็นเพียงว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวยกมือข้างหนึ่งขึ้น ห้าอสนีก็มารวมตัวกันอยู่กลางฝ่ามือ ปณิธานแห่งเวทสายฟ้ายิ่งใหญ่น่าครั่นคร้าม
หลิวเจียเพ่งสายตามองไป มองแล้วมองอีก ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ พูดด้วยสีหน้าปกติ “อาจารย์น้อยแสดงเวทอสนีได้ยอดเยี่ยมนัก ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง เป็นศิษย์น้องของซิ่วหู่ ดึงเอาข้อดีมากมายมาหลอมรวมไว้ด้วยกัน นับถือๆ ดี เรื่องนี้ตกลงตามนี้ ขอเอ่ยขอบคุณไว้ก่อน รอแค่อาจารย์น้อยไม่ทันระวังทิ้งตำราลับไว้ในเรือนแล้วถูกข้าเก็บมาได้โดยบังเอิญเท่านั้น เพียงแต่ว่า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้อควรระวังทั้งหมดในการฝึกวิชานี้ ข้าจะเขียนเป็นบันทึกเสริมไว้ให้ในช่วงท้ายอย่างระมัดระวัง ตัวอักษรมีแต่จะละเอียดยิบย่อยกว่าเนื้อหาหลัก ขอบเขตของเซียนซือผู้เฒ่าวางอยู่ตรงนั้น หลังจบเรื่องคิดจะถ่ายทอดมรรคาปกป้องมรรคาให้แก่ตวนหมิงย่อมไม่เป็นปัญหาแน่นอน”
หลิวเจียรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “ยังต้องรบกวนเซียนซือผู้เฒ่าอีกเรื่อง ช่วยขอเทียบอักษรชิ้นหนึ่งจากเจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ยมาให้ข้าที เขียนคำสอนของตระกูลจ้าวก็ได้ แน่นอนว่ายังคงไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเฉินผิงอัน”
สามารถถูกศิษย์พี่เรียกให้มาเฝ้าตรอกเล็ก เฉินผิงอันมั่นใจว่าหลิวเจียต้องเป็นคนที่ปิดปากสนิทแน่นอน ดังนั้นจึงไม่กังวลสักนิดว่าผู้ฝึกตนเฒ่าจะหลุดพูดอะไรต่อสกุลจ้าวเทียนสุ่ย
หลิวเจียถอนหายใจโล่งอก ขอเทียบอักษรขอภาพวาดอะไร เรื่องเล็กน้อย ต่อให้ตนแบกกระบุงทั้งใบไปเยือนก็ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ต้องถือว่าเป็นการให้หน้าอาจารย์จ้าวแห่งหอก่วนเก๋อที่เขียนตัวอักษรได้อย่างงดงามคนนั้นด้วยซ้ำ
สกุลจ้าวเทียนสุ่ยที่ถูกวงการขุนนางต้าหลีเรียกว่าหม่าเฟิ่นจ้าว คำสั่งสอนของตระกูลกลับมีกลิ่นอายของตำราอย่างมาก เฉินผิงอันถูกใจอยู่หลายประโยค ยกตัวอย่างเช่นบรรยากาศทั้งสดชื่นทั้งปลอดโปร่ง ความรู้ทั้งลึกซึ้งทั้งยาวไกล ตั้งตนด้วยความแข็งแกร่งและจริงใจ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนโยนและหนักแน่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!