เฟิงอี๋แหงนหน้าดื่มเหล้าหนึ่งอึก จากนั้นนางจึงใช้เสียงในใจเอ่ยกับเฉินผิงอัน “ปีนั้นข้าเคยโน้มน้าวฉีจิ้งชุน อันที่จริงคำกล่าวที่ว่าวิญญูชนควรอยู่ห่างไกลจากพื้นที่อันตรายนั้นถูกต้องแล้ว เจ้าจากไปแล้วก็ไม่เป็นไร พูดถึงแค่ตาเฒ่าเหยาต้องไม่มีทางปล่อยปละละเลยไม่สนใจ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูด้วยซ้ำ จะต้องออกจากดินแดนพุทธะสุขาวดีกลับมายังไพศาล แต่ฉีจิ้งชุนก็ยังไม่ตอบตกลง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไม”
คาดว่าหนึ่งในกรอบป้ายของซุ้มประตูหินที่อริยะลัทธิขงจื๊อทิ้งเอาไว้ก็คือคำตอบอย่างไร้เสียงของฉีจิ้งชุน มิเกี่ยงงอนต่อหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองรองเท้าผ้าของตัวเอง พอเงยหน้าขึ้นมาก็ถามคำถามสุดท้ายว่า “เมื่อชาติก่อนข้าคือใคร?”
สารถีเฒ่าส่ายหน้า “ไม่รู้ เปลี่ยนคำถามข้อใหม่”
เฟิงอี๋คลี่ยิ้ม “ช่างเถิด ข้าช่วยตอบคำถามให้แทนก็แล้วกัน เฉินผิงอัน ไม่ต้องคิดมาก เจ้าไม่ใช่ใคร อย่างน้อยที่สุดก็มั่นใจได้ว่าชาติก่อนเจ้าต้องไม่ใช่ผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่ร้ายกาจอะไรแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่ยอดฝีมือลัทธิพุทธลัทธิเต๋าอะไรด้วย เพราะปีนั้นข้าเองก็สงสัยใครรู้ จึงไปที่ร้านยาตระกูลหยาง ตาเฒ่าให้คำตอบที่แน่ชัดกับข้ามาข้อหนึ่ง ชาติก่อนของเจ้า หรืออาจจะเป็นชาติก่อนหน้านั้นอีก ล้วนไม่มีอะไรที่โดดเด่น ดังนั้นเจ้ากับพ่อแม่ของเจ้า ครอบครัวพวกเจ้าสามคนจึงเป็นครอบครัวปกติอย่างมาก ไม่มีรากฐานมหามรรคาอะไรให้พูดถึง ตอนนั้นหยางเหล่าโถวเป็นฝ่ายเอ่ยประโยคหนึ่งอย่างที่หาได้ยาก บอกว่าเจ้าก็คือเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลน ก็แค่ดวงแข็งเท่านั้น”
หัวคิ้วของเฉินผิงอันคลายออก โล่งใจได้บ้าง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเรื่องให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอะไรอีกแล้วจริงๆ
สารถีเฒ่าไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก มองบุรุษชุดเขียวมากเท่าไรก็หงุดหงิดใจมากเท่านั้น
เฉินผิงอันพลันหรี่ตาลง พูดเสียงทุ้มหนัก “เฟิงอี๋ยินดีช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ ช่วยเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้พวกเรา อันที่จริงก็ได้อธิบายเรื่องราวมากมายแล้ว ดังนั้นสุดท้ายข้าจึงจะเตือนเจ้าหนึ่งประโยค วันหน้าอย่าได้มาหาเรื่องข้า”
เฟิงอี๋ยิ้มอย่างรู้ทัน ฟังเข้าสิ นี่ต่างหากถึงจะเป็นคำพูดที่คนฉลาดควรพูด สารถีเฒ่าวันหน้าเจ้าหัดเรียนรู้ไว้ให้มาก
สารถีเฒ่าคิดไม่ตก ใจอยากจะทิ้งถ้อยคำอำมหิตไว้สักประโยค เพียงแต่พอคิดถึงว่าในเมืองหลวงยังมีหนิงเหยาอยู่ก็อดทนเอาไว้ เพียงแต่ทนไม่ไหวจึงหันไปถ่มน้ำลายลงพื้น เห็นเฉินผิงอันเลิกคิ้ว นังหญิงตระกูลเฟิงก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ สารถีเฒ่าจึงใช้ปลายเท้าขยี้ ถือว่าเช็ดสะอาดแล้ว จากนั้นก็ทะยานร่างขึ้นสูง เรือนกายพลันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เฟิงอี๋มองคนหนุ่มแวบหนึ่ง สีหน้าแสดงความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด นี่ก็เป็นความรู้สึกของคนทั่วไป
จากนั้นนางก็เห็นเฉินผิงอันหยิบถ้วยเหล้าออกมาอีก เหล้าที่ดื่มเป็นเหล้าภูเขาชิงเสิน รินเหล้าเต็มถ้วยแล้วก็แกว่งเบาๆ เริ่มดื่มอยู่กับตัวเอง อายุไม่มาก แต่ฝึกฝนจิตใจได้ไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่สุขุมเยือกเย็น ยังเข้าใจเรื่องราวอย่างแจ่มแจ้งด้วย
เฉินผิงอันยกถ้วยเหล้าขึ้น ยิ้มกล่าว “เฟิงอี๋ ขอบคุณมาก”
เฟิงอี๋ยกกาเหล้าในมือขึ้น ต่างคนต่างดื่ม
เฉินผิงอันถามคำถามที่เขาสงสัยมานานหลายปี เพียงแต่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ใคร่รู้เท่านั้น “เฟิงอี๋ ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวอักษรที่แกะสลักไว้ด้านหลังเทวรูปองค์หนึ่ง คล้ายบทกลอนเล็กๆ ใครเป็นคนแกะสลัก? หลี่หลิ่ว หรือว่าหม่าขู่เสวียน?”
หลี่หลิ่วเคยเป็นผู้ครองแม่น้ำและทะเลสาบในอดีต ในฐานะหนึ่งในห้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงสุดของยุคบรรพกาล แม้แต่หลุมน้ำลู่ยังเป็นหนึ่งในคฤหาสน์หลบร้อนของนาง อีกทั้งหน้าที่หลักที่แท้จริงของตำแหน่งเทพนี้ยังคงอยู่ที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาเส้นนั้น โครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลทั้งหมดล้วนกลายมาเป็นดวงดาวที่อยู่นอกฟ้าดวงแล้วดวงเล่า หรือไม่ก็ร่างทองก็สลายหายไปท่ามกลางกาลเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วล้วนถือว่าหลับจำศีลอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาเส้นนั้น
เฉินผิงอันอาศัยร่องรอยของตัวอักษร ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นลายมือของใคร แต่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นหลี่หลิ่วหรือไม่ก็หม่าขู่เสวียน
เฟิงอี๋ส่ายหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ได้สนใจ ไม่ได้อยากรู้”
เฉินผิงอันถาม “ก่อนหน้านี้เฟิงอี๋บอกว่ามีคนอยากพบข้า คือเถ้าแก่หยางของร้านยาที่บ้านเกิดข้าหรือ? หรือว่าเป็น…แม่ทัพซูทูตผู้ตรวจการ?”
ฝ่ายแรกเพราะได้ยินหลิวเสี้ยนหยางเล่าให้ฟัง เถ้าแก่หยางป่วยตายไปนานหลายปีแล้ว หลังจากเสียชีวิตก็ไปทำหน้าที่อยู่ที่ศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองหลวง รับหน้าที่เป็นเทพท่องราตรีของสถานที่แห่งหนึ่ง ถือว่าได้เดินก้าวเข้าสู่วงการขุนนางภูเขาสายน้ำ สามารถอาศัยบุญกุศลที่สั่งสมมาปกป้องลูกหลานในตระกูลต่ออีกครั้ง ส่วนซูเกาซานเป็นการคาดเดาของเฉินผิงอันเอง หลังจากตายไปได้กลายเป็นวิญญาณวีรบุรุษบนสนามรบ มีความเป็นไปได้มากที่สุด ต้าหลีช่วยจัดหาทางถอยให้ ยกตัวอย่างเช่นรับหน้าที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลบู๊ของเมืองหลวง ซูเกาซานหวนกลับมาเป็นผู้ดูแลโชคชะตาบู๊ของแคว้นอีกครั้งก็ถือเป็นเรื่องที่มีเหตุผลชอบธรรม
อีกทั้งซูเกาซานก็มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลยากจน อาศัยคุณความชอบในการสู้รบมาตลอดเส้นทาง ตอนที่มีชีวิตอยู่ทำหน้าที่เป็นทูตผู้ตรวจการซึ่งถือเป็นตำแหน่งขุนนางสูงสุดของขุนนางฝ่ายบู๊แล้ว ทว่าถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูง เมื่อแม่ทัพตายไป ตระกูลไม่มีเสาหลัก ก็ง่ายที่คนจากไปแล้วน้ำชาจะเย็นชืด ส่วนใหญ่แล้วตระกูลจะตกอับไปนับแต่นี้
เฟิงอี๋ยิ้มกล่าว “เป็นเถ้าแก่หยาง หลังจากซูเกาซานตายไป การเดินทางแห่งขุนเขาสายน้ำช่วงสุดท้ายในชีวิตนี้ของเขาก็คือใช้สถานะของผีเดินทางยามค่ำคืนอยู่ระหว่างฟ้าดิน คุ้มกันผีทหารใต้อาณัติให้กลับคืนทิศเหนือที่เป็นบ้านเกิดด้วยตัวเอง เมื่อซูเกาซานบอกลากับสหายร่วมรบคนสุดท้ายแล้ว จิตวิญญาณของเขาก็สลายหายไป แน่นอนว่าทางฝั่งของราชสำนักต้าหลีอยากจะเหนี่ยวรั้งเอาไว้ แต่ซูเกาซานไม่ยอมตอบตกลง พูดแค่ว่าลูกหลานก็มีโชคของลูกหลาน”
เฉินผิงอันฟังมาถึงประโยคนี้ก็เงียบไปนาน เพียงแค่ดื่มเหล้าเงียบๆ ตัดสินใจไว้แล้วว่าวันหน้าตนต้องให้ความสนใจตระกูลซูให้มากหน่อย อย่างน้อยก็ช่วยคุ้มกันอีกฝ่ายเงียบๆ ไปอีกร้อยปี
เฟิงอี๋หัวเราะ หมุนนิ้วมือเก็บรวบลมเย็นกลุ่มหนึ่งมา “เถ้าแก่หยางไม่มาแล้ว ให้ข้านำความมาบอกแทน หากเจ้ากลับบ้านเกิด จำไว้ว่าให้ไปที่เรือนหลังของร้านยาบ้านเขาสักรอบ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “รบกวนเฟิงอี๋ช่วยข้าเอ่ยขอบคุณเถ้าแก่หยางสักคำ”
ดื่มเหล้าไปแล้วหนึ่งกา เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นบอกลา “ไม่รบกวนเฟิงอี๋แล้ว”
เฟิงอี๋พยักหน้ารับ จากนั้นก็ถามว่า “ไม่เดินเที่ยวในศาลเทพอัคคีแห่งนี้สักหน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
สำนักห้าธาตุเรียกการนำไฟเสริมเข้ากับโชคชะตาของจักรพรรดิเพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองว่าฮว่อเต๋อ เพียงแต่ว่าราชสำนักต้าหลีไม่ได้เป็นเช่นนี้ ดังนั้นเมืองหลวงจึงมีศาลเทพอัคคีอยู่แค่แห่งเดียว
ก็เหมือนอย่างราชสำนักต้าหยวนของอุตรกุรุทวีปที่เป็นแคว้นซึ่งมีรากฐานในการหยัดยืนเป็นน้ำ
เฟิงอี๋แกว่งกาเหล้า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ไปส่งแล้ว”
เฉินผิงอันย้อนกลับไปทางเดิม ไปถึงหน้าประตูศาลเทพอัคคีก็เจอกับหญิงชราคนเฝ้าศาลที่ควบหน้าที่คนเฝ้าประตูอีกครั้ง เขาจึงหยุดเดิน คุยเล่นกับหมัวมัวเฒ่าสองสามประโยคแล้วเฉินผิงอันถึงได้จากมา
ทางฝั่งของบันไดหินใต้ซุ้มดอกไม้ เฟิงอี๋ดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพังต่อไปอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!