เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ ปีนั้นอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ได้หล่อหลอมตัวอักษรในบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นไปแล้ว ตัวอักษรที่หลอมค่อนข้างเยอะ ชายแขนเสื้อชุดเขียวจึงมีตัวอักษรพุ่งออกมายี่สิบสี่ตัว จากนั้นก็ประกอบรวมกันเป็นสิบเอ็ดชื่อของผู้ฝึกตนแผนภูมิดินกลุ่มนั้นพอดี
ซ่งซวี่ หันโจ้วจิ่น เก๋อหลิ่ง อวี๋อวี๋ ลู่ฮุย โฮ่วแจว๋ หยวนฮว่าจิ้ง สุยหลิน ก่ายเยี่ยน โก่วฉุน ขู่โส่ว
ผู้ฝึกกระบี่สองคน อาจารย์ค่ายกล ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ นักพรตเต๋า ภิกษุ ผู้ฝึกตนสำนักการทหาร ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยาง ผู้ฝึกตนผี
ท่าไม้ตายของเด็กหนุ่มโก่วฉุนผู้นั้น ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้
พลทหารม้าหนุ่มมีชื่อว่าขู่โส่ว นอกจากระหว่างที่วิญญาณวีรบุรุษเดินทางยามค่ำคืนแล้วคนผู้นี้ลงมือหนึ่งครั้ง จากนั้นการเข่นฆ่าสองครั้งของเมืองหลวง เขาล้วนไม่ได้ลงมือ
เฉินผิงอันมองตัวอักษรเหล่านี้พลางแบ่งสมาธิปล่อยจิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ในฟ้าดินเล็ก ตรวจสอบวิญญาณและช่องโพรงลมปราณใหญ่ทั้งหลายอย่างละเอียด ไม่มีความผิดปกติใดๆ ชุดคลุมอาคมบนร่างก็ไม่มีร่องรอยเล็กละเอียดที่ผ่านการเล่นตุกติกมาก่อน
ก่อนหน้านี้เดินทางผ่านอารามเต๋าขนาดเล็ก กลอนคู่ที่แขวนไว้บนที่ว่าการของเต้าลู่เมืองหลวงคือ ‘ต้นสนและต้นป่ายจวนสีทองหล่อเลี้ยงพื้นที่มงคล คิดถึงหลิงซวีสถานที่ฝึกตนบรรพกาล’
ที่ศาลเทพอัคคีแห่งนั้น เฟิงอี๋ใช้เหล้าร้อยบุปผามารับรองแขก เพราะเฉินผิงอันมองความเป็นมาของผนึกดินกระดาษแดงออก จึงสอบถามเรื่องของการส่งของบรรณาการ เฟิงอี๋จึงถือโอกาสพูดถึงกองกำลังสองแห่ง จวนผีนครเฟิงตู ภูเขาฟางจู้ ชิงจวิน ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลในเขตการปกครองและทะเบียนราษฎร์ของเซียนดินทั้งหมด การยกเลิกใบมรณะ การขึ้นทะเบียนเกิด
โดยเฉพาะอย่างหลังที่เนื่องจากเฉินผิงอันพูดถึงภูเขาจิ่วตูของธวัลทวีป ฟังจากน้ำเสียงของเฟิงอี๋แล้ว เกินครึ่งภูเขาฟางจู้น่าจะกลายเป็นหมอกควันที่ลอยผ่านตาไปแล้ว ไม่อย่างนั้นบรรพจารย์เปิดขุนเขาของภูเขาจิ่วตูก็ไม่มีทางได้รับภูเขาที่ปริแตกส่วนนั้นแล้วได้สืบทอดท่วงทำนองแห่งเต๋าและเส้นสายแห่งเซียนส่วนนั้นไป
ซากปรักจวนเซียนที่ถูกอาจารย์ค่ายกลหันโจ้วจิ่นหล่อหลอม รวมไปถึงข้ารับใช้เซียนกระบี่ของอวี๋อวี๋ เห็นได้ชัดว่าล้วนมีประวัติศาสตร์ยาวไกล มีกลิ่นอายของความโบราณ หรือว่าจะเป็นการบอกอย่างเป็นนัยอีกอย่างหนึ่งของเฟิงอี๋? บางทีเหล้าหมักร้อยบุปผาหลายกานั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นแค่ตัวล่อในการเปิดเผยความลับสวรรค์อย่างหนึ่งเท่านั้น?
วิชาอภินิหารบนภูเขามีมากมายให้ใช้ไม่หมดสิ้น พูดถึงแค่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตทั้งหลายของผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าก็มีวิชาอภินิหารที่น่าเหลือเชื่อกี่มากน้อยแล้ว? มีมากจนนับไม่ไหว
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้สารถีเฒ่าผู้นั้นเจ้าอารมณ์มากเลย กำเริบโอหังมาก ประโยคแรกที่พบหน้ากันก็บอกข้าว่ามีลมให้รีบผาย”
อันที่จริงเฉินผิงอันอยากจะฝึกปรือฝีมือกับเขาอย่างมาก
หนิงเหยาพยักหน้า จากนั้นก็อ่านหนังสือต่อ เอ่ยประโยคหนึ่งตอบมาง่ายๆ ว่า “นิสัยแย่ๆ ไม่ควรปล่อยไว้ ทำไมเจ้าไม่ฟันเขาให้ตายไปเลยเล่า?”
เฉินผิงอันอึ้งค้างพูดไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “หากต้องตีกันขึ้นมาจริงๆ ข้าอาศัยเย่โหยวแค่เล่มเดียวคงยังฟันเขาไม่ตายกระมัง?”
หนิงเหยาเอ่ยประโยคที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุว่า “กวนอี้หรานเข้าใจเจ้าเป็นอย่างดี มิน่าเล่าถึงเป็นเพื่อนกันได้”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน กวนอี้หรานช่วยข้าไว้มาก ไม่มีมาดของลูกหลานชนชั้นสูงเลยแม้แต่น้อย”
สิ่งที่คิดในใจกลับกลายเป็นว่า แต่ข้าผู้อาวุโสกลับมอบให้ทั้งจานฝนหมึกทั้งสุรา เจ้ากวนอี้หรานกลับตอบแทนสหายเช่นนี้ เป็นการก่อกรรมทำชั่วหรือไม่? งานเลี้ยงสุราที่ลำคลองชางผูหลังจากนั้นคงต้องรอไปก่อนแล้ว
อันที่จริงหนิงเหยาไม่ค่อยชอบพูดถึงทะเลสาบซูเจี่ยนเท่าไร เพราะนั่นคือด่านในใจที่เฉินผิงอันข้ามผ่านไปได้ยากที่สุด
นางตัดใจพูดอะไรมากมายไม่ได้ ต่อให้เป็นฝ่ายพูดถึงก่อนก็แค่พูดถึงสตรีอย่างหม่าตู่อี๋เท่านั้น อันที่จริงเรื่องในอดีตบางอย่างไม่ได้ผ่านไปแล้วอย่างแท้จริง เรื่องที่ผ่านไปแล้วอย่างแท้จริงมีสองประเภท หนึ่งคือจดจำไม่ได้แล้ว นอกจากนี้ก็คือเรื่องในอดีตที่สามารถพูดถึงอย่างผ่อนคลายได้
สองมือของเฉินผิงอันวางพาดอยู่บนโต๊ะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าเติบโตมาด้วยข้าวของพวกเพื่อนบ้าน นอกจากรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ เห็นในความดีของพวกเขาแล้ว ตัวเองยังต้องคอยไปสังเกตสีหน้าและคำพูดของคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะทำให้พวกคนที่หวังดีถูกญาติทำให้ลำบากใจยามที่ต้องใช้ชีวิตของพวกเขาเอง”
หนิงเหยาวางหนังสือลง ถามเสียงอ่อนโยน “ยกตัวอย่างเช่น?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ยกตัวอย่างเช่นที่ตรอกหม่าเหว่ยมีหญิงชราอยู่คนหนึ่งที่มักจะชอบมอบของให้ข้า แล้วยังต้องแอบมอบให้ลับหลังคนที่บ้าน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เดินผ่านหน้าประตูบ้านของนาง นางก็เรียกตัวข้าไว้คุยกัน ลูกสะใภ้ของหญิงชรามาเจอพอดีก็เริ่มพูดจาไม่น่าฟังบางอย่าง ทั้งพูดให้หญิงชราฟัง แล้วก็พูดให้ข้าฟังด้วย บอกว่าเหตุใดถึงได้มีเรื่องประหลาดเช่นนี้ ของในบ้านก็ไม่ได้ถูกคนขโมยไปเสียหน่อย หรือว่ามันกลายเป็นภูติ มีเท้างอกออกมาจึงวิ่งไปที่บ้านของคนอื่นแล้ว”
หนิงเหยาถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่อาจทำอะไรได้”
เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็หยิบถ้วยน้ำขึ้นมา “ก็แค่พอคิดถึงว่าตอนนั้นท่านยายคนนั้นใช้มือซ้ายกำชายแขนเสื้อของมือขวาเอาไว้แน่น ยืนอยู่หน้าประตู หันหลังให้คนในบ้านนางแล้วยังเป็นเด็กรุ่นหลังของนางด้วย ทว่ากลับต้องเค้นรอยยิ้มให้กับคนนอกอย่างข้า ราวกับกลัวว่าข้าจะรู้สึกไม่ดี อันที่จริงหลังจากแยกกับท่านยายแล้ว ระหว่างที่เดินไปบนถนน ในใจข้ารู้สึกแย่อย่างมาก ที่แย่ยิ่งกว่าคือข้าไม่รู้ว่าวันนั้นท่านยายจะอยู่ร่วมกับคนในครอบครัวเช่นไร”
ดังนั้นภายหลังตอนที่อยู่บนเกาะชิงเสียของทะเลสาบซูเจี่ยน ต้องดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกลับหลิวจื้อเม่าที่เดิมทีควรฆ่ากันและกัน จะนับเป็นเรื่องอะไรได้หรือ? ไม่นับเป็นอะไรได้เลย
หนิงเหยาฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ ถามว่า “ตอนที่เจ้ายังเด็ก เวลาที่บ้านใกล้เรือนเคียงมีงานทั้งงานมงคลและอวมงคลก็ล้วนเป็นฝ่ายไปช่วยเหลือใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไร คำพูดบางอย่างไม่น่าฟังเลยจริงๆ ข้าไม่อยากสนใจพวกเขาหรอก”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หัวเราะ “แน่นอนว่าความสามารถในการทะเลาะกับคนอื่นของข้าในเวลานั้นยังไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไรจริงๆ อยากเถียงก็เถียงสู้ไม่ได้ แต่ก็มีวิธีทำให้ตัวเองไม่ต้องรู้สึกอัดอั้น เวลาต้องไปแย่งน้ำกลางดึกต้องคุ้ยเอาคันกั้นน้ำเล็กๆ ที่ขวางไม่ให้น้ำไหลเข้าสู่ที่นาออก รู้จักใช่ไหม?”
เห็นเฉินผิงอันที่ทำไม้ทำมือประกอบ หนิงเหยาก็ส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นกับตามาก่อน แต่ก็พอจะจินตนาการได้”
ดวงตาเฉินผิงอันฉายประกายวิบวับ มีสีหน้าลำพองใจเหมือนเด็กอย่างที่หาได้ยาก “ข้าในเวลานั้นสามารถหาที่หลบแถวๆ คันนา ไม่ไปไหนตลอดทั้งคืน ทว่าคนอื่นกลับไม่มีความอดทนเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครมาแย่งน้ำแข่งกับข้าได้”
ในความทรงจำของหนิงเหยา เฉินผิงอันเคยมีสีหน้า แววตา ท่าทางมาหลากหลายรูปแบบ มีเพียงความลำพองใจ ความภาคภูมิใจในตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้ที่เห็นได้น้อยครั้งนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!