ก่อนหน้านี้คนทั้งสิบเอ็ดคนของแผนภูมิดินกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ผู้นำของภูเขาลูกเล็กสองลูกอย่างหยวนฮว่าจิ้งและซ่งซวี่กลับไม่มีใครเรียกคนของฝ่ายตัวเองมาทบทวนกระดาน
เด็กหนุ่มโก่วฉุนก็ยินดีที่ได้อยู่ว่างๆ ถึงอย่างไรทุกครั้งที่อนุมานสถานการณ์การสู้รบ แจกแจงรายละเอียดและทบทวนกระดานหลังจบเรื่อง สมองของเขาก็ไม่มีมากพอให้ใช้ ไม่อาจแสดงความคิดเห็น แค่ทำตามคำสั่งไปก็พอ
โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนในเมืองหลวงที่ไม่มีชื่อเรียกแห่งนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสถานประกอบพิธีกรรมในเปลือกหอยอย่างพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาสกุลเจียง ขุนเขาสายน้ำมีตราผนึกอันเป็นสิ่งกีดขวางอยู่หลายชั้น บางทีเรือนสองหลังที่อยู่ใกล้กันในระยะประชิดก็อาจห่างไกลกันเป็นร้อยเป็นพันจั้ง คนทั้งสิบเอ็ดต่างก็ได้ครอบครองเรือนที่พักที่ค่อนข้างเงียบสงบคนละหลัง ทั้งยังมีความมหัศจรรย์อย่างอื่นเพิ่มมา ห้องหลักล้วนมีความคล้ายคลึงกับสถานประกอบพิธีกรรมหยกขาวของผู้ฝึกตนเฒ่าหลิวเจียในตรอกเล็ก มองดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่กลับเป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งอย่างสมชื่อ คือพื้นที่ลับถ้ำสวรรค์ที่ปริแตกประเภทต่างๆ ซึ่งเลือกออกมาจากคลังสมบัติของต้าหลี
โก่วฉุนจึงเอาไม้เท้าเดินป่าที่ทำจากไผ่เขียวชิ้นนั้นมาจิ้มพื้นเบาๆ แล้วเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน
ผีหญิงก่ายเยี่ยนคือเถ้าแก่เนี้ยะของโรงเตี๊ยมในนาม เวลานี้นางแวะไปที่เรือนพักของหันโจ้วจิ่น
สุยหลินผู้ฝึกลมปราณสำนักห้าธาตุที่สามารถทำให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาช่วงหนึ่งไหลย้อนกลับได้กำลังหลอมเศษชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้น ในคลังสมบัติลับที่สองกรมอย่างอาญาและพิธีการร่วมมือกันสร้างขึ้นมา ก็ยังไม่มีเศษชิ้นส่วนร่างทองระดับสูงถึงเพียงนี้ แล้วก็เพราะว่าหล่อหลอมได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่ต่อให้ตั้งใจทำเรื่องนี้ คาดว่าคงต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ จึงจะสำเร็จ เพียงแต่ว่า ‘งานยากลำบาก’ ประเภทนี้ สุยหลินกลับไม่รังเกียจหากจะมีเยอะๆ
โฮ่วแจว๋เณรน้อยจากหน่วยแปลคัมภีร์ของเมืองหลวงไปที่กล่องรับบริจาคของวัดที่อยู่ใกล้เคียงแล้วแอบบริจาคเงินจริงๆ
หยวนฮว่าจิ้งผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดที่มีฉายาว่า ‘เย่หลาง’ เวลานี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่ง ในห้องไม่มีเครื่องประดับตกแต่งใดๆ เหมือนคำว่าบ้านมีแต่ผนังสี่ด้าน
ด้านหลังหยวนฮว่าจิ้งมีชายหญิงลักษณะคล้ายองค์รักษ์นั่งคุกเข่าเรียงแถวอยู่ จำนวนทั้งสิ้นสิบคน แต่ละคนแผ่กลิ่นอายของความตายอึมครึม ขาดกลิ่นอายความเป็นมนุษย์และปราณวิญญาณไปหลายส่วน
พอกลับมาถึงโรงเตี๊ยม หยวนฮว่าจิ้งก็เรียกแค่ซ่งซวี่มา รวมไปถึงขู่โส่วที่เป็นลูกน้องของตัวเอง นอกจากนี้ก็ไม่มีผู้ฝึกตนคนอื่นอีก
ขู่โส่วมาถึงที่นี่แล้วก็รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะเล็กน้อย
บอกตามตรง เขาเคารพเซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้นอย่างมาก
ซ่งซวี่มาถึงที่นี่ช้ากว่าขู่โส่วเล็กน้อย เขาถอดรองเท้าอยู่นอกระเบียง จากนั้นก็เลือกตำแหน่งที่ใกล้กับหน้าประตูนั่งลงไป เหลือบตามองหุ่นเชิดสิบตนที่อยู่ด้านหลังหยวนฮว่าจิ้ง
ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์เต็มตัวที่คุณสมบัติดีเยี่ยมอย่างซ่งซวี่ก็ยังรู้สึกอิจฉาในโชควาสนาบนมหามรรคาที่ไม่ค่อยมีเหตุผลของหยวนฮว่าจิ้งอยู่บ้างเล็กน้อย
ในอดีตตอนอยู่บนสนามรบลำน้ำใหญ่ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของกระโจมทัพขอบเขตหยกดิบสองคนที่ถูกหยวนฮว่าจิ้งใช้กระบี่บินตัดหัว เวลานี้คนทั้งสองก็มานั่งอยู่ด้านหลังหยวนฮว่าจิ้ง
นอกจากนี้ยังมีเผ่าปีศาจที่ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาอีกคนหนึ่ง เขาเองก็อยู่บนสนามรบของเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีในปีนั้นแล้วถูกอีกสิบคนที่เหลือของแผนภูมิดินร่วมมือกับหยวนฮว่าจิ้ง สุดท้ายถูกหยวนฮว่าจิ้งเด็ดศีรษะนี้มาได้
นี่ก็คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บิน ‘เย่หลาง’ ของหยวนฮว่าจิ้งเล่มนั้น คนที่ถูกกระบี่บินสังหาร ก็จะต้องกลายมาเป็นหุ่นเชิดของหยวนฮว่าจิ้ง แม้แต่จิตวิญญาณก็ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วย
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่กลายมาเป็นหุ่นเชิดจะได้รับความเสียหายด้านพลังการสู้รบค่อนข้างเยอะ สติปัญญาก็อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับตอนที่มีชีวิตอยู่ได้ ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบสองคนนั้น ขอบเขตได้ถดถอยมาที่ก่อกำเนิด และก่อกำเนิดคนอื่นๆ ที่เหลือก็ล้วนถดถอยมาเป็นโอสถทอง นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกลมปราณหุ่นเชิดอีกหลายคนที่ทุกวันนี้เป็นขอบเขตประตูมังกรหรือแม้กระทั่งขอบเขตชมมหาสมุทร หยวนฮว่าจิ้งชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว เนื่องจากแต่ละคนล้วนมีวิชาอภินิหารที่หาได้ยาก จึงเลือกที่จะเก็บพวกเขาเอาไว้ ไม่ได้เอาหุ่นเชิดเซียนดินที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่ามาทดแทนพวกมัน ไม่อย่างนั้นหลังจากที่สงครามซึ่งแผ่นดินของครึ่งทวีปจมลงไปครานั้นปิดฉากลง หยวนฮว่าจิ้งก็สามารถได้ครอบครองผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลสองคนกับองค์รักษ์ที่มีขอบเขตเซียนดินอีกแปดคน
การจับคู่เข่นฆ่าบนภูเขา ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งจะไม่หวาดกลัวผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบเลยแม้แต่น้อยก็ได้ แต่ก่อกำเนิดอย่างหยวนฮว่าจิ้งนี้ ทุกวันนี้กลับสามารถสังหารหยกดิบนอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างมั่นคงแล้ว
หยวนฮว่าจิ้งก็คล้ายผู้ฝึกกระบี่ที่เกิดมาเพื่อสงคราม หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อาศัยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บิน ‘เย่หลาง’ จะต้องสาดประกายเจิดจ้าอย่างแน่นอน
ระดับขั้นของกระบี่บินเล่มนี้ต้องสามารถถูกสายคฤหาสน์หลบร้อนประเมินให้อยู่ในระดับหนึ่งขั้นสูงได้เลย
บนเส้นทางการฝึกตน ระหว่างการเข่นฆ่าบนสมรภูมิรบแต่ละครั้ง ผู้ที่ปกป้องมรรคาให้เขา ไม่แน่ว่าคงต้องเป็นเซียนกระบี่ใหญ่อย่างพวกเยว่ชิง หมี่ฮู่
เวลานี้ซ่งซวี่มองหยวนฮว่าจิ้งที่ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน สีหน้าพลันไม่สบอารมณ์ อดไม่ไหวเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายโดยตรงว่า “หยวนฮว่าจิ้ง นี่ไม่ถูกกฎเกณฑ์ ราชครูเคยตั้งกฎเหล็กข้อหนึ่งให้กับพวกเรา มีเพียงเจอกับศัตรูใหญ่ตัดสินเป็นตายที่ไม่ตายไม่ยอมเลิกรากับราชวงศ์ต้าหลีพวกเราเท่านั้น พวกเราถึงจะสามารถให้ขู่โส่วร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตบทนี้ได้! นอกจากนี้แล้ว ต่อให้เป็นจักรพรรดิของหนึ่งแคว้น ขอแค่เขาตัดสินใจจากความเห็นแก่ตัว ก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะใช้ให้แผนภูมิดินอย่างพวกเราสังหารคนผู้นั้น”
นี่คือท่าไม้ตายที่แท้จริงของสายผู้ฝึกตนแผนภูมิดินของต้าหลีพวกเรา คู่ต่อสู้ที่คาดการณ์ไว้มีน้อยจนนับนิ้วได้ เซียนกระบี่ใหญ่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ ฉีเจินเทียนจวินแห่งสำนักโองการเทพ เจ้าสำนักเจินจิ้งคนปัจจุบัน หลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหริน และยังมีเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋น จิ้งชิงซานจวินแห่งขุนเขากลาง
อันที่จริงยังมีอีกประโยคหนึ่งที่ซ่งซวี่ไม่ได้เอ่ยออกมา
หลังจากที่ขู่โส่วเรียกวิชาอภินิหารบทนี้ออกมาแล้วจะต้องบั่นทอนอายุขัยไปเยอะมาก ก่อนหน้านี้เคยมีการประมาณการณ์เอาไว้ว่าในชีวิตนี้ขู่โส่วสามารถร่ายเวทนี้ได้แค่สามครั้งเท่านั้น ต่ำกว่าขอบเขตหยกดิบลงไป มีโอกาสแค่ครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้เขาขู่โส่วก็ไม่อาจเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้
หยวนฮว่าจิ้งพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ราชครูที่ตั้งกฎให้พวกเรา ไม่อยู่แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!