การปรากฏตัวของเฉินผิงอัน การประมือสามครั้งก่อนหลัง หากว่ากันในบางระดับแล้ว อันที่จริงก็เหมือนการ ‘เสริมในส่วนที่ขาด’ มากกว่า ช่วยให้ผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินได้ซ่อมแซมแก้ไขข้อบกพร่องเล็กน้อยส่วนสุดท้ายในจิตแห่งมรรคาของแต่ละคน
เฉินผิงอันชี้ปไปยังถุงหอมที่ห้อยอยู่ตรงเอวของโจวไห่จิ้ง อธิบายว่า “ถุงหอมใบนี้ เกินครึ่งคงเป็นของของนางเอง ไม่เกี่ยวกับการค้า เพราะหากอิงตามขนบธรรมเนียมชาวประมงริมทะเลในแคว้นใต้อาณัติของนาง เมื่อสตรีสวมถุงหอมแพรต่วนที่ปักลายนกนางแอ่นของ ‘ช่วงเวลาดอกไม้บาน’ ก็คือถุงหอมที่สตรีแต่งงานออกเรือนแล้วจะแขวนไว้บนร่าง เพื่อแสดงให้เห็นว่าทั้งกายและใจของนางมีเจ้าของแล้ว”
หนิงเหยาพยักหน้า “ขนบธรรมเนียมนี้น่าสนใจมาก”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “อันที่จริงข้าก็คิดไว้เหมือนกันว่าวันใดที่ได้ไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและใต้หล้ามืดสลัวแล้ว ก็จะเขียนตำราที่คล้ายคลึงกับจารึกทะเลภูเขาบทเสริมขึ้นมาเล่มหนึ่ง แนะนำถึงขนบธรรมเนียมประเพณีและผู้คนของแต่ละสถานที่โดยเฉพาะ เขียนอธิบายอย่างละเอียด หลายล้านตัวอักษร เป็นผลงานชิ้นใหญ่ ไม่ขายให้บนภูเขา แต่ทำการค้าในตลาดล่างภูเขาโดยเฉพาะ สอดแทรกเรื่องเล่าแห่งขุนเขาสายน้ำที่ได้ยินได้ฟังมาเข้าไปด้วย คาดว่าน่าจะดีกว่านิทานเรื่องเล่าประหลาดเยอะเลย เอากำไรน้อย เน้นขายให้ได้ปริมาณมาก เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาว”
หนิงเหยาผงกปลายคางชี้ไปที่ผู้ฝึกยุทธหญิงที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเครื่องประทินโฉม “พวกเจ้าสามารถร่วมมือกันทำการค้าได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าดีกว่า แค่การถามหมัดครั้งนี้ข้ายังไม่สนใจจะดูเลย”
เฉินผิงอันขยับที่นั่ง รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย ทิ้งตัวนอนหงายหลัง วางศีรษะพาดไว้บนตักของหนิงเหยา เอ่ยว่า “ตีกันเสร็จแล้วบอกข้าหน่อย ข้าจะพาเจ้าไปหาอะไรกิน”
หลับตาลง เฉินผิงอันที่คิดจะงีบพักถึงกับหลับไปจริงๆ ทั้งอย่างนี้
ซ่งจี๋ซินออกจากจวนอ๋องของเมืองหลวงสำรอง ไปเยือนป๋ายอวี้จิงจำลองก่อนรอบหนึ่ง
หลังจากนั้นที่เมืองหลวงสำรองก็มีกระบี่บินแยกกันส่งข่าวไปยังวังหลวงและกรมพิธีการของต้าหลี จากนั้นซ่งจี๋ซินก็นั่งเรือทหารชายแดนลำหนึ่งมุ่งหน้ามายังเมืองหลวง
ตามกฎของต้าหลี อ๋องจากพื้นที่ศักดินาเข้าเมืองหลวง ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายตามแต่ใจ แล้วก็เพราะว่าซ่งจี๋ซินคืออ๋องเจ้าเมืองที่กุมอำนาจมากที่สุด พันธนาการของเขาจึงมากยิ่งกว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้เมืองหลวงแห่งที่สองและเมืองหลวงของต้าหลีก็คล้ายจะมีการคุมเชิงระหว่างเหนือและใต้อยู่กลายๆ แล้ว
ระหว่างที่เรือข้ามฟากเดินทางขึ้นเหนือได้รับจดหมายตอบกลับฉบับหนึ่งมาจากฮ่องเต้ต้าหลี บอกให้ซ่งมู่นำเรือขุนเขาข้ามฟากทั้งหลายมุ่งหน้าไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างก่อน เพื่อไปรวมตัวกับเสด็จอา
อันที่จริงราชโองการลับฉบับนี้ ฮ่องเต้มีความหมายเพียงอย่างเดียว เจ้าซ่งมู่มิอาจเข้าเมืองหลวงมาโดยพลการได้
ซ่งจี๋ซินได้รับจดหมายลับแล้วก็ทำเป็นว่าไม่เคยได้อ่าน เดินทางไปยังเมืองหลวงที่อยู่ทางทิศเหนือต่ออีกครั้ง ซ่งมู่อ๋องเจ้าพื้นที่ศักดินาไม่สะดวกจะเข้าเมืองหลวง แต่คนที่เป็นบุตรชายจำต้องเดินทางมาเยือนในครั้งนี้ ต่อให้ต้องฉีกหน้าแตกหักกับเฉินผิงอันอย่างสิ้นเชิง ซ่งจี๋ซินก็ต้องขัดขวางไม่ให้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดนั้นเกิดขึ้น
ข้างกายเขามีสาวใช้จื้อกุยยืนอยู่ นางถามว่า “จะทำแบบนี้จริงๆ หรือ? ระวังว่ายังไม่ทันได้แตกหักกับเฉินผิงอันเจ้าก็ต้องผิดใจกับฮ่องเต้เสียก่อน”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้า พูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “มักจะมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้คนไร้ทางเลือกเสมอ”
ใต้หล้ามืดสลัว อารามเสวียนตูใหญ่
มีนักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะคนหนึ่งเอาสองมือยันอยู่บนหัวกำแพง โผล่มาแค่ศีรษะ สองเท้าลอยกลางอากาศ ยืดคอมองไปข้างใน
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งปรากฏตัวจากความว่างเปล่าอยู่ในกำแพง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เลิกมองได้แล้ว ไม่มีอาจมให้เก็บกินหรอก หากเจ้าอยากกินจริงๆ ก็ยังมีที่ร้อนๆ อยู่ ข้าจะพาเจ้าไปกินของสำเร็จรูปเลยดีไหม?”
เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีนักพรตน้อยบางส่วนที่เพิ่งจะฝึกตน ดังนั้นในอารามเต๋าบ้านตนจึงยังต้องมีห้องส้วม เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะพอให้แขกผู้นี้กินอิ่มหรือไม่
แขกสูงศักดิ์มาเยือนถึงบ้าน ต้องรับรองให้ดีด้วยมารยาทพร้อมสรรพ
นักพรตหนุ่มส่ายหน้า “ช่างเถิด ตอนนี้ข้ายังไม่หิว”
คนหนึ่งคือเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามเสวียนตูใหญ่
อีกคนหนึ่งคือเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิง
สองฝ่ายเจอหน้าพูดคุยกันก็มักจะมีกลิ่นอายเซียนล่องลอยแบบนี้เสมอ
นักพรตซุนถาม “ในเมื่อไม่มีธุระให้ต้องทำ แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
ลู่เฉินยิ้มหน้าเป็น “เจ้าเดาสิ?”
นักพรตซุนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่เดา”
ลู่เฉินกล่าว “ข้าก็แค่เห็นว่าความเคลื่อนไหวของที่นี่ค่อนข้างรุนแรงก็เลยรีบวิ่งมาแสดงความยินดีกับป๋ายเหย่และเจ้าอารามผู้เฒ่าไม่ใช่หรอกหรือ”
นักพรตซุนขมวดคิ้ว “เจ้าไม่เคยไปอยู่ฟ้านอกฟ้าเลยรึ? แม้แต่อวี๋โต้วตายไปแล้ว เจ้าก็ยังไม่สนใจ?”
ลู่เฉินหัวเราะคิกคักไม่เอ่ยคำใด
นักพรตซุนลูบหนวดยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าหายกันแล้ว อารามเสวียนตูกับป๋ายอวี้จิง ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องแสดงความยินดีกับใคร”
ชุนฮุยนักพรตหญิงที่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูของอาราม กระทั่งถึงบัดนี้นางถึงเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของเจ้าลัทธิสามท่านนี้ นางเดินออกไปนอกอาราม มาที่ถนน ตวาดเสียงหนัก “ไสหัวลงมา!”
ลู่เฉินหันหน้ามามองนาง “ไม่ซะอย่าง”
นักพรตซุนใช้เสียงในใจบอกเตือนนางว่าไม่ต้องสนใจขนมหนิวผีถัง (หรือขนมงาอ่อน เปรียบเปรยถึงคนที่ติดหนึบ ชอบเซ้าซี้คนอื่น) จุ่มขี้หมาก้อนนี้
ลู่เฉินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “แค่ฟูมฟักกระบี่บินเล่มแรกออกมาได้ก็มีภาพบรรยากาศระดับนี้แล้ว ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาเพิ่งจะเคยมี ไม่เสียแรงที่เป็นป๋ายเหย่”
นักพรตซุนยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ทำได้เหมือนกันนะ พวกเราสองพี่น้องสนิทกันขนาดนี้ ขอแค่เจ้ายินดีสละมรรคา ข้าจะยอมแหกกฎ ทำหน้าหนาไปช่วยปกป้องมรรคาให้เจ้าที่ป๋ายอวี้จิงครั้งหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติของเจ้าน้องลู่เฉิน ไปเกิดใหม่มาเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนแค่ยกมือกวักเรียกมาหรอกหรือ ถึงเวลานั้นฟ้าคำรามครืนครั่น ใต้หล้าทั้งหลายล้วนได้ยินกันหมด ไม่แน่ว่าอาจทำให้โจวมี่ตกใจตายเลยก็เป็นได้”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
“ลองดูสิ ลองดูสิ”
“ช่างเถิด ช่างเถิด”
“ไม่ห้าวหาญขนาดนี้เชียวหรือ? น้องลู่เฉินผู้กล้าหาญชาญชัยไร้ใครเทียบเคียงในใจของข้าคนนั้นไปตายที่ไหนแล้วเล่า?”
“ถุยๆๆ ไม่ตายๆ ไม่มีเรื่องแบบนั้น ไม่มีเรื่องแบบนั้น”
“ชุนฮุย มา มีตะพาบตัวหนึ่งถ่มน้ำลายใส่อารามของเรา รีบมาฟันเขาให้ตาย!”
“พี่หญิงชุนฮุย อย่านะๆ ข้าจะเก็บน้ำลายกลับมาเดี๋ยวนี้แหละ!”
แต่ก็ยังมีแสงกระบี่เส้นหนึ่งเปล่งวาบพุ่งเข้าใส่ ถูกลู่เฉินเก็บใส่ชายแขนเสื้อไว้ได้อย่างง่ายๆ เขาสะบัดชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า “ค่อนข้างคล้ายคลึงกับของแทนใจแล้ว…มาอีกแล้ว! ยังมาอีก...”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!