บทที่ 843.1 ใครล้อมฆ่าใคร – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 843.1 ใครล้อมฆ่าใคร จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
หนิงเหยาเอ่ย “โจวไห่จิ้งผู้นี้ต่อสู้ได้น่าดูมาก”
เดี๋ยวก็ปล่อยหมัดเหมือนหักกิ่งหลิว เดี๋ยวก็ปล่อยฝ่ามือเหมือนถือดอกไม้ เรือนกายแผ่วพลิ้วลอยล่องดุจเมฆหลากสี
ในความเห็นของหนิงเหยา การต่อสู้กันของผู้ฝึกยุทธ เจ้าหนึ่งหมัดข้าหนึ่งเท้า อันที่จริงน่าดูชมเสียยิ่งกว่าการประลองเวทคาถาบนภูเขาของผู้ฝึกลมปราณเสียอีก ส่วนการถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ แท้จริงแล้วกลับน่าเบื่อมาก
เมื่อเทียบกับโจวไห่จิ้งที่ออกหมัดด้วยลวดลายฉูดฉาด เรือนกายคล่องแคล่วว่องไวแล้ว หมัดเท้าของอวี๋หงเห็นได้ชัดว่าเปิดกว้างปิดใหญ่ ปณิธานหมัดหนาข้น พายุลมกรดประหนึ่งเจียวหลงหลายตัวที่ล้อมขดอยู่รอบด้าน มีหลายครั้งที่ประมือกับโจวไห่จิ้งแบบประชิดตัว ล้วนได้รับผลเก็บเกี่ยว ทำลายกำไลข้อมือและปิ่นปักผมของปรมาจารย์ใหญ่หญิงให้แหลกสลายไปหลายชิ้นแล้ว ผู้ที่ชมศึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลานขุนนางของตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ที่ไม่อาจเงยหน้ามองเต็มๆ ตาได้ พอเห็นว่าโจวไห่จิ้งใช้หลังเท้าเตะเข้าที่ชายโครงของอวี๋หงเต็มแรง พละกำลังหนักหน่วง จนร่างของอวี๋หงกระเด็นหวือออกจากลานประลองยุทธในแนวขวางไปไกลสิบกว่าจั้ง ทุกคนก็พากันตบโต๊ะโห่ร้องเสียงดังอย่างชอบใจ
อวี๋หงหยุดร่างยืนนิ่ง ยกมือตบเสื้อผ้าง่ายๆ บนใบหน้ามีรอยเลือดเส้นหนึ่งที่เลือดสดไหลซึมออกมาช้าๆ เป็นบาดแผลเล็กๆ ที่ถูกโจวไห่จิ้งใช้ฝ่ามือมีดกรีดผ่านใบหน้าก่อนหน้านี้ หญิงสาวผู้นี้ใช้วิธีการที่อำมหิตจริงๆ ฝ่ามือมีดก่อนหน้านั้นมีพลังอำนาจน่าครั่นคร้าม มองดูเหมือนตรงมาบั่นคอ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นภาพลวงตา ท่าไม้ตายคือนิ้วโป้งของนางที่ตวัดงอหมายจะควักลูกตาข้างหนึ่งของอวี๋หงออกมา ตอนนั้นอวี๋หงไร้ซึ่งความลังเลใจ ยกเท้าถีบเข้าที่หน้าท้องของโจวไห่จิ้ง เพื่อลดแรงปะทะส่วนนั้นทิ้งไป หลีกเลี่ยงไม่ให้เท้าของเขาถีบทะลุร่าง ฝ่ายหลังจึงจำต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว ไม่อย่างนั้นการประมือครั้งนี้ก็เท่ากับว่าอวี๋หงใช้การสูญเสียดวงตาข้างหนึ่งมาสังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาคนหนึ่งได้แล้ว
เฉินผิงอันยังคงหลับตาทำสมาธิ แค่แยกแยะจากการฟังเสียง สำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่เลื่อนเป็นขั้นคืนความจริงแล้ว เรื่องนี้ไม่ยากแม้แต่น้อย เขาเอ่ยอธิบายกับหนิงเหยาว่า “โจวไห่จิ้งกำลังตกปลา ไม่ถึงครึ่งก้านธูปนางก็จงใจใช้หลักเกณฑ์ของวิชาหมัดหกชนิดที่ไม่เหมือนกันแล้ว กระบวนท่าหมัดสิบเจ็ดอย่างล้วนเรียนรู้มาจากคนอื่น ชนะที่กระบวนท่าหมัดแปลกประหลาด แพ้ตรงที่ปณิธานหมัดบางเบา ปะปนกันซับซ้อนแล้วน้ำหนักยังไม่มากพอ เพราะต่างก็ไม่ใช่วิชาหมัดแท้จริงของโจวไห่จิ้งเอง นางไม่แบ่งสูงต่ำในเรื่องของพละกำลังกับอวี๋หง บวกกับที่ฝ่ามือมีดท่าเมื่อครู่นี้ เกินครึ่งก็เพื่อเพิ่มความทรงจำในใจของอวี๋หงให้ลึกล้ำกว่าเดิมว่า ‘โจวไห่จิ้งคือผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่ง’ ข้าเดาว่ารอให้อวี๋หงต้องเปลี่ยนลมปราณครั้งแรกก็คือช่วงเวลาที่โจวไห่จิ้งจะแบ่งแพ้ชนะกับเขา หากไม่ทันระวังก็จะเป็นนางที่ใช้อาการบาดเจ็บสาหัสมาแลกชีวิตกับอวี๋หง”
หนิงเหยาถามอย่างสงสัย “สองฝ่ายมีความแค้นต่อกันหรือ?”
เฉินผิงอันคิดก่อนตอบว่า “บอกได้ยาก เพราะก็มีพวกคนคลั่งไคล้วรยุทธบางส่วนที่แค่ชอบใช้หมัดมาแบ่งเป็นตายอย่างเดียว เพื่อจะได้เอาสิ่งนี้มาขัดเกลาวิถีวรยุทธ”
ยกตัวอย่างเช่นพ่อครัวเฒ่าบนภูเขาลั่วพั่วบ้านตน
โจวไห่จิ้งกำไข่มุกหลายเม็ดไว้ในมือ ออกแรงบีบเบาๆ จนเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ ก่อนหน้านี้ถูกพายุหมัดของอวี๋หงซัดมาโดน เชือกของกำไลข้อมือจึงขาด ไข่มุกส่วนใหญ่ล้วนหล่นกระจายลงพื้น
นางคลี่ยิ้มหวาน “เอวของผู้อาวุโสอวี๋ช่างแข็งแกร่งทรงพลังยิ่งนัก มิน่าเล่าถึงแตกกิ่งก้านสาขามีลูกหลานมากมาย ครั้งนี้ระหว่างที่เดินทางมาเมืองหลวง ได้ยินว่าราชวงศ์จูอิ๋งเก่าแห่งนั้น ผู้ฝึกยุทธแซ่อวี๋ของพวกเจ้ามีอำนาจบารมีแผ่ไปแปดทิศ หมัดสยบครึ่งแคว้น”
พวกผู้ชมพากันหัวเราะครืน
อวี๋หงขมวดคิ้วน้อยๆ “ผู้ฝึกยุทธต่อสู้กัน พูดจาไร้สาระให้น้อยหน่อย”
โจวไห่จิ้งยกมือขึ้น คลายหมัดออก ไข่มุกหลายเม็ดถูกบีบจนกลายเป็นผุยผงที่ปลิวกระจายตามลมไปสี่ทิศ
นางชูหมัดขึ้นสูง ยิ้มเอ่ยว่า “สามารถมองเป็นยาชนิดหนึ่งได้ ช่วยให้อายุขัยยืนยาว สตรีก็สามารถนำไปทำเป็นผงประทินโฉมทาหน้าได้”
คำพูดประโยคนี้ของเหล่าเหนียง ทางร้านต้องเพิ่มเงินให้ด้วย
อวี๋หงเริ่มแสดงโทสะออกมาทางสีหน้าบ้างแล้ว “ผู้ฝึกยุทธประลองฝีมือกันไม่ใช่เด็กเล่นสนุก โจวไห่จิ้ง การเรียนวรยุทธของเจ้าฝ่าทะลุขอบเขตราบรื่นเกินไป เป็นเหตุให้ไม่เคารพวิถีวรยุทธถึงเพียงนี้ วันนี้ข้าผู้อาวุโสจะสอนเจ้าว่าควรจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างไร!”
โจวไห่จิ้งปัดมือ “อย่าสอนข้าว่าควรเป็นสตรีอย่างไรก็พอ”
เสียงผิวปากดังขึ้นลงเป็นระลอก
อวี๋หงหัวเราะหยัน “ปากคอเราะร้าย ยังจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอะไรอีก?! ต่อจากนี้ข้าผู้อาวุโสจะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว หากไม่ระวังต่อยให้ขอบเขตยอดเขาของเจ้าหายไปก็อย่ามาโทษฟ้าตำหนิคน เป็นเจ้าที่รนหาที่เอง”
หนิงเหยาหัวเราะ งอนิ้วเขกลงไปบนหน้าผากของคนบางคน
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าไม่ใช่หม่าขู่เสวียนสักหน่อย ต่อยตีกับคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่ต้องถามหมัดก็มีน้อยนักที่จะพูดคุยกับฝ่ายศัตรู”
โจวไห่จิ้งแสร้งทำท่าตกใจขวัญผวา ยกมือตบหัวใจจนเกิดแรงกระเพื่อมเบาๆ
บนหลังคาเรือนอีกหลังหนึ่ง จ้าวตวนหมิงพลันมองไปยังทิศทางหนึ่ง เด็กหนุ่มตกใจอย่างหนัก กระตุกชายแขนเสื้อของเฉาเกิงซิน ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ผีขี้เหล้าเฉา ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาเหนียงเนียงก็มาด้วย อวี๋หงกับพี่หญิงโจวช่างหน้าใหญ่นัก แค่นี้ก็พอจะสร้างความรุ่งโรจน์เกียรติยศให้กับวงศ์ตระกูลได้แล้ว การเรียนหมัดดีจริงดังคาด ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราต่อสู้กัน ไหนเลยจะทำให้ฮ่องเต้หันมามองได้”
เฉาเกิงซินไม่แม้แต่จะมองไปยังตำแหน่งที่สายตาของเด็กหนุ่มมองไป เพียงแค่จ้องมองการถามหมัดอันตระการตาที่อยู่ในสถานประกอบพิธีกรรมเปลือกหอยตาไม่กะพริบ ก่อนหน้านี้ตอนที่พี่หญิงโจวยืนนิ่งไม่ขยับ ขาก็ดูยาวมากแล้ว ตอนที่ถามหมัดกับคนอื่น ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย ฟาดขาเตะทีหนึ่ง เฉาเกิงซินก็นึกอยากจะผลักเจ้าเฒ่าอวี๋ออกไปให้ไกล ให้ตนไปรับลูกเตะนั้นของนางแทน เขาเอ่ยเตือนเด็กหนุ่มว่า “ควบคุมดวงตาให้ดี อะไรที่ไม่ควรมอง สามารถอดทนไว้ไม่หันไปมองได้ก็คือการฝึกฝนจิตใจ”
จ้าวตวนหมิงถอนสายตากลับมา หัวเราะอย่างฉุนๆ ว่า “เจ้ามีความสามารถก็ควบคุมปากของตัวเองให้ดีสิ อย่าดื่มเหล้า”
เฉาเกิงซินจิบเหล้าหนึ่งอึก ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ก็ข้าต้องใช้เหล้าอุดปากนี่นา ดื่มเหล้าทำให้ตาปรือพร่ามัว มองบุปผาสาวงามในม่านหมอกจะยิ่งงดงามมากกว่าเดิม”
หญิงออกเรือนแล้วท่าทางสุภาพอ่อนโยน โฉมหน้าอ่อนเยาว์ ข้างกายมีแม่นางน้อยคนหนึ่งติดตามมาด้วย คนทั้งสามเพิ่งจะมาถึงก็นั่งลงตรงตำแหน่งติดหน้าต่างของเหลาสุราแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านนอกลานประลองยุทธพอดี บนโต๊ะวางผลไม้และของทานเล่นเอาไว้เรียบร้อย หลายโต๊ะที่อยู่ใกล้เคียงย่อมต้องเป็นผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ต้าหลีที่ร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ สามคนเจ้าของโต๊ะก็คือฮ่องเต้ซ่งเหอ ไทเฮาอวี๋เหมี่ยน อวี๋อวี๋ผู้ฝึกตนสำนักการทหารสายแผนภูมิดิน เพียงแต่ว่าซ่งซวี่ที่เป็นองค์ชายกลับไม่ได้ปรากฏตัว
เหลาสุราไม่ได้ไล่คนที่มาจับจองโต๊ะอยู่ก่อนแล้วออกไป
อวี๋อวี๋เด็กสาวอายุน้อย ลำดับอาวุโสของนางในตระกูลสกุลอวี๋เสาค้ำยันแคว้นไม่ต่ำ ยังสูงกว่าอวี๋เหมี่ยนหนึ่งรุ่น ดังนั้นหากฮองเฮาเหนียงเนียงกลับบ้านไปเยี่ยมญาติ เจอกับเด็กสาวก็ยังต้องเรียกนางคำหนึ่งว่าท่านน้าเล็กด้วยซ้ำ และในบรรดาแคว้นมากมายของแจกันสมบัติทวีปเว้นจากต้าหลี ตามกฎหมายของราชวงศ์ ฮองเฮาแทบไม่อาจกลับบ้านไปเยี่ยมญาติได้ เพียงแต่ว่าสกุลซ่งต้าหลีมักจะเปิดกว้างในเรื่องทำนองนี้ ไม่ว่าจะเป็นปีนั้นที่หนันจานกลับไปยังเขตอวี้จาง หรือจะเป็นอวี๋เหมี่ยนที่ออกจากวังหลวงไปยังตรอกอี้ฉือสองครั้ง ฝ่ายกรมพิธีการก็ล้วนไม่คัดค้าน
อวี๋อวี๋กำลังแอบดื่มเหล้าต่อหน้าฮ่องเต้ แอบดื่มไปกาหนึ่งแล้วก็ดื่มเพิ่มอีกกา ดื่มเหล้าหมักตำหนักฉางชุนที่รสเหล้าจืดจางแต่กลับเหนือกว่าตรงรสที่ติดค้างอยู่นานหมดแล้ว เด็กสาวก็เริ่มจับจ้องใบชาตระกูลเซียนหลายกระปุกที่อยู่บนโต๊ะด้านข้าง คนที่มารับหน้าที่ไม่อาจดื่มเหล้าได้ ทว่ากลับได้ดื่มชาชั้นดีอันดับหนึ่ง
หนิงเหยากล่าว “เจ้าเดาผิดแล้ว ดูเหมือนว่าโจวไห่จิ้งจะไม่ได้อยากแบ่งเป็นตายกับอวี๋หง ยามลงมือจึงกะน้ำหนักได้ดีมาก หรือนางเองก็รู้ชัดเจนอยู่แล้วว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นผู้ฝึกตนคนสุดท้ายของสายแผนภูมิดิน?”
การถามหมัดของทั้งสองฝ่ายครั้งนี้ถึงกับใช้เวลาต่อสู้กันนานถึงสองก้านธูป เกือบครึ่งชั่วยาม สุดท้ายโจวไห่จิ้งแพ้ไปหนึ่งกระบวนหมัด สองฝ่ายที่ถามหมัดกัน ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
อวี๋หงกุมหมัดคารวะแด่สี่ทิศ
โจวไห่จิ้งยื่นมือมากุมซีกแก้มข้างหนึ่ง ถ่มเลือดลงพื้น ชวนให้คนทะนุถนอมเอ็นดู
ขุนเขาสายน้ำปริแตก พื้นดินพลิกตัวร้าวระแหง ปราณวิญญาณซัดกระเพื่อมวุ่นวาย ทุกคนที่ซ่อนตัวเพื่อหวังลอบจู่โจมล้วนไม่อาจหลบหนีไปไหนได้
ปีศาจใหญ่เปลี่ยวร้างที่ปรากฏตัวก่อนใครคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ เซียนกระบี่โซ่วเฉินหนึ่งในราชาบนบัลลังก์คนใหม่ ตาเดียว สะพายกล่องกระบี่ ซ่อนกระบี่หกเล่ม บนร่างสวมชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกตอย่าง ‘ซูเจียวเลี่ยน’
โซ่วเฉินมีสีหน้าเคร่งเครียด ต่อให้ฝ่ายของตนจะได้ครอบครองฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีทั้งหมด แต่กลับไม่มีความประมาทแม้แต่น้อย โซ่วเฉินมองไปยังอาเหลียงที่พกกระบี่สี่เล่มไว้ตรงเอว การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ว่าใครก็อาจกายดับมรรคาสลายได้
คนที่ปรากฏตัวตามหลังโซ่วเฉินมาติดๆ คือปีศาจใหญ่หญิงขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งของภูเขาทัวเยว่ มีนามแฝงว่าซินจวง เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ นางรู้จักกับอาเหลียงมานานหลายปีแล้ว เป็นคอขวดขอบเขตเซียนเหริน ในฐานะอาจารย์ค่ายกล เมื่ออยู่ในค่ายกลใหญ่ของฟ้าดินเล็ก พลังการต่อสู้ของนางสามารถมองเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้เลย
ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสองปรากฏเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ ประหนึ่งปลาหยินหยางหนึ่งขาวหนึ่งดำสองตัวที่พัวพันกันและกัน โซ่วเฉินและซินจวงยืนอยู่บนหัวของปลาหยินหยางพอดี เรือนกายลอยอยู่กลางอากาศหมุนเคลื่อนไปตามค่ายกล
ค่ายกลใหญ่เรียบง่ายอย่างยิ่ง เป็นภาพปลาหยินหยางคู่หนึ่งเท่านั้น ไม่มีรูปแบบอะไรมากมายไปกว่านั้น แต่กลิ่นอายมหามรรคาส่วนนั้นกลับยิ่งใหญ่ไพศาลลี้ลับมหัศจรรย์นัก ราวกับว่าเป็นระบบสืบทอดดั้งเดิมที่ย่อยมหามรรคาของฟ้าดินให้เรียบง่ายขึ้น
ซินจวงถอนหายใจเบาๆ มองบุรุษคนที่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกลดียิ่งกว่าใคร แต่กลับยังมุ่งหน้าลงใต้ดิ่งลึกเข้ามายังใจกลางของเปลี่ยวร้าง แล้วเอ่ยเสียงเบา “อาเหลียง เจ้าไม่ควรท้าทายใต้หล้าแห่งหนึ่งเช่นนี้”
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างและกำแพงเมืองปราณกระบี่คุมเชิงกันมาหมื่นปี ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานยากจะสังหารได้ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานกลับตายยากยิ่งกว่า
ฝั่งซ้ายมือของอาเหลียง ห่างออกไปสองร้อยลี้ วานรเฒ่าย้ายภูเขาตัวหนึ่งที่เท้าเหยียบอยู่บนกระบี่บินบ่าแบกกระบองยาวใช้เวทคาถาสยบกำราบภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ภูเขาลูกนี้จึงไม่ถึงขั้นถูกปณิธานกระบี่ของอาเหลียงกระเทือนให้ปริแตก
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์คนเก่าที่มีชื่อจริงว่าจูเยี่ยนผู้นี้ยิ้มเหี้ยมเอ่ยว่า “เจ้าชาติสุนัขผู้นี้ ในเมื่อเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว วันนี้ท่านปู่ก็จะส่งเจ้าออกเดินทางเอง ไปอยู่เป็นเพื่อนต่งซานเกิงข้างล่างแล้วกัน น่าเสียดายที่ไม่ใช่ขอบเขตสิบสี่ ไม่อย่างนั้นคุณความชอบของท่านปู่คงใหญ่กว่านี้”
ห่างจากฝั่งขวามือของอาเหลียงไปหลายร้อยลี้คือกวานเซี่ยงปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งที่ทั้งเส้นผมขนคิ้วและชุดคลุมอาคมล้วนเป็นสีขาว มันคือหนึ่งในราชาบนบัลลังก์คนใหม่เช่นกัน เวลานี้ได้ร่ายวิชาอภินิหารออกมาแล้ว บิดหมุนแม่น้ำยาวหลายร้อยลี้เส้นหนึ่งแล้วเอามาเชื่อมติดกัน สุดท้ายกักกันเอาไว้เป็นเบาะรองนั่งขนาดเล็กจิ๋วใบหนึ่ง
กวานเซี่ยงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวานกับอาเหลียง “น้องอาเหลียง มาดไม่น้อยลงจากในอดีตเลยนะ เพียงแต่ว่าครั้งนี้ดูเหมือนยากจะถูกเจ้าจูงเดินไปได้อีก ไม่อย่างนั้นถึงเวลานั้นเจ้าก็คงสามารถช่วยข้านำความไปบอกแก่ใต้เท้าอิ่นกวานว่า เรื่องที่ข้าพูดถึงตอนที่เข้าร่วมการประชุมก่อนหน้านี้ยังคงเดิม”
นั่นคือโน้มน้าวให้อิ่นกวานหนุ่มหันมาเข้าพวกกับเปลี่ยวร้าง แต่งบุตรสาวคนเล็กของเขามาเป็นภรรยา แล้วจึงกลายเป็นหนึ่งในราชาบนบัลลังก์คนใหม่อย่างที่ไม่ต้องลุ้นอะไร ลำดับรายชื่อต้องสูงมากอย่างแน่นอน กวานเซี่ยงยินดีที่จะยกตำแหน่งให้ ให้อีกฝ่ายได้กลายเป็นเจ้าประมุขของตระกูล ทุกวันนี้อาณาเขตขุนเขาสายน้ำใต้การปกครองของสายกวานเซี่ยงไม่เป็นรองดินแดนของหนึ่งทวีปในใต้หล้าไพศาลแล้ว สักวันหนึ่งรอให้เฉินผิงอันได้เลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้ครองใต้หล้าร่วมกับเฝ่ยหรานก็เป็นได้
อาเหลียงยกนิ้วกลางชูให้ไกลๆ
ตาเฒ่ากวานเซี่ยงผู้นี้ดวงตาไร้แววยิ่งกว่าเฒ่าตาบอดเสียอีก ตนกับเฉินผิงอันใครหล่อเหลากว่ากันก็ยังไม่รู้หรือ?
ปีศาจใหญ่กวานเซี่ยงยกมือข้างหนึ่งขึ้นกักปณิธานกระบี่กลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้างกายเอาไว้ ให้มันล้อมวนอยู่บนปลายนิ้ว ถึงกับมีภาพบรรยากาศประหลาดที่ฟ้าร้องฟ้าแลบเกิดขึ้น
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!