ห่างไปไกลยิ่งกว่า มีคนขี่ม้าตัวหนึ่งควบทะยานมาท่ามกลางก้อนเมฆ บนร่างสวมเกราะสีทอง ในมือถือหอก สวมหน้ากากบนใบหน้า ไม่เห็นรูปโฉมที่แท้จริง ตรงเอวห้อยค้อนดาวตกขนาดเล็กกะทัดรัดสองชิ้น หนึ่งสีแดงสดหนึ่งสีดำสนิท
โหรวถีผู้ฝึกตนหญิงเผ่าปีศาจที่มีฉายาว่าซั่วเหรินยืนอยู่ข้างทหารม้าคนนี้ เรือนกายของนางสูงเพรียว สวมเครื่องแต่งกายของนักพรตหญิงลัทธิเต๋า บนศีรษะสวมกวานหางปลา
บนร่างสวมชุดเต๋าสีม่วงเหลือง ในมือถือแส้ปัดฝุ่นหนึ่งชิ้น ด้านหลังคือดวงจันทร์เต็มดวงส่องรัศมีอันเคร่งขรึม
แม้ว่าสองคนนี้จะมีตบะเป็นขอบเขตเซียนเหริน แต่ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์หลบร้อนหรือศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ก็ล้วนถูกจัดให้เป็นเป้าหมายที่ต้องฆ่าให้ได้ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ได้รับเกียรติเช่นนี้ หากรวมโซ่วเฉินด้วยก็มีแค่สามคนเท่านั้น
อาเหลียงกวาดตามองไปรอบด้าน ดวงตาไร้ประกาย อดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหวหลุดประโยคที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจ “น่าเวทนานัก ดูเหมือนว่าขบวนรบวันนี้จะแพ้ให้กับป๋ายเหย่ครึ่งระดับ ช่างชวนให้คนอยากตีอกชกตัว รวดร้าวเจ็บปวดใจเสียจริง”
ศึกล้อมสังหารป๋ายเหย่ที่ฝูเหยาทวีป มีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์มากมาย มือเดียวก็นับไม่พอ อีกทั้งยังเป็นอดีตราชาบนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งหมดด้วย มีแต่เนื้อไม่มีน้ำเลยแม้แต่น้อย
หลังจากหล่นร่วงจากขอบเขตสิบสี่ก็ถูกคนดูแคลนจริงๆ เสียด้วย
ตอนนั้นก่อนที่ตาเฒ่าอวี๋เสวียนจะ ‘บินทะยานขึ้นฟ้า’ ไป ก็ยังตั้งใจมาพูดประโยคระคายหูกับตนโดยเฉพาะ บอกว่าน้องอาเหลียงอย่าเสียใจไปเลย เจ้าก็คิดเสียว่าพวกเราสองคนแลกเปลี่ยนขอบเขตกัน ไม่ขาดทุนหรอก รอให้ข้าผสานมรรคาได้สำเร็จ จำไว้ว่าต้องขึ้นฟ้ามาฉลองกันด้วยนะ ข้าจะต้องสร้างวีรกรรมที่ตอนยังเป็นเด็กหนุ่มคิดถึงพะวงหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันให้สำเร็จ หลอมทางช้างเผือกเป็นเหล้าหมัก สุราดีมีให้ดื่มจนพอ
พลังการต่อสู้ชั้นสูงสุดของเปลี่ยวร้างที่มาปรากฏตัวในสนามรบตอนนี้ คงมีแค่หกคนที่มองเห็นนี่แล้ว
บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาในใต้หล้า จูเยี่ยน ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด ในบรรดาราชาบนบัลลังก์ในอดีต พลังการต่อสู้ของบรรพจารย์ย้ายภูเขาคนนี้ก็ถือว่าโดดเด่นอย่างมากแล้ว
ไม่เลว
โซ่วเฉิน ผู้ฝึกกระบี่คนใหม่ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน
พอใช้ได้
ถึงอย่างไรก็ยังหนุ่ม ถือว่าเป็นผู้เยาว์ที่มีประสบการณ์ตื้นเขินที่สุดในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน ต่อให้พรสวรรค์ในการหลอมกระบี่จะดีแค่ไหน แต่กระนั้นก็ยังมิอาจชดเชยข้อบกพร่องที่ติดมาจากการที่ขัดเกลาขอบเขตไม่มากพอได้
กวานเซี่ยง ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่ได้เลื่อนเป็นราชาบนบัลลังก์คนใหม่ ถือว่าเป็นศัตรูคู่แค้นเก่าของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
และยิ่งเป็นคนคุ้นเคยของอาเหลียง ตาเฒ่าผู้นี้นอกจากจะเสียงดัง พูดจาตลกขบขัน เรื่องอื่นๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ความสักเท่าไร
ซินจวงแห่งภูเขาทัวเยว่คืออาจารย์ค่ายกลคนหนึ่ง แต่วิชาหมัดเท้าก็ไม่ธรรมดา สามารถมองเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่งได้เลย
ส่วนทหารม้าเกราะทองที่ควบม้าอยู่กลางก้อนเมฆ รากฐานมหามรรคาของเขาถูกปิดบังอำพรางไว้อย่างซ่อนเร้น แม้แต่กระโจมเจี่ยจื่อก็ไม่มีบันทึกเอาไว้ อย่าว่าแต่ชื่อจริงของปีศาจใหญ่เลย แม้แต่นามแฝงก็ยังไม่มี
นักพรตหญิงโหรวถี เล่าลือกันว่านางคือคู่บำเพ็ญตนบนภูเขาของหวงหลวนอดีตราชาบนบัลลังก์ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเวรกรรมบนมหามรรคาที่หวงหลวนต้องทำการขจัดสามอสุภะ อยู่ในรูปลักษณ์กึ่งๆ เทวบุตรมารนอกโลก หากไม่พูดถึงสมบัติอาคมที่นางมีให้ใช้ไม่หมดสิ้น พลังการสู้รบของนางก็ไม่ถือว่าสูงนัก ก็แค่ว่าสังหารได้ยากมาก หลังจากที่ปีศาจใหญ่หวงหลวนถูกโจวมี่กินไป สมบัติลับมากมายก็ล้วนถูกโจวมี่โยนให้โหรวถีก่อนเดินขึ้นฟ้า ถือว่าสิ่งของกลับคืนสู่เจ้าของเดิม
สามคนนี้มาอยู่รวมกัน พลังการต่อสู้ก็พอจะมองเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานสองคนได้อย่างถูไถกระมัง
ดังนั้นในสายตาของอาเหลียง เวลานี้จึงมีบินทะยานแค่ห้าคนเท่านั้น
อาเหลียงใช้ปลายเท้าขยี้พื้นดินเบาๆ นิ้วโป้งดันอยู่ที่ด้ามกระบี่ กระบี่ยาวออกมาจากฝักเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองกระบี่ยาวทั้งหลายที่ยืมมาจากคนอื่นแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยังไม่พอ แต่วางใจเถอะ จะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องน้อยเนื้อต่ำใจเด็ดขาด”
คิดจะสังหารข้าอาเหลียง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่เริ่มพกกระบี่อย่างจริงจัง
ย่อมไม่ได้มีคนเพียงเท่านี้แน่นอน ไม่ได้บอกว่าจำนวนของปีศาจใหญ่บนหน้ากระดาษไม่มากพอ แต่หากวันนี้หัวใจหลักที่แท้จริงที่ช่วยประคับประคองการล้อมสังหารคือโซ่วเฉิน? ถ้าอย่างนั้นก็ขาดความหมายไปอีกเยอะมาก
ในอดีตที่เขาออกเดินทางท่องเที่ยวในเปลี่ยวร้างเพียงลำพัง ก็มีปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตามก้นเขามาเป็นพรวนใหญ่
ก่อนหน้านี้อาเหลียงจงใจเดินไปถึงริมขอบของค่ายกลใหญ่ที่ลึกลับอำพรางแห่งนั้นแล้วหยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ จากนั้นบอกให้เฝิงเซวี่ยเทาจากไป ให้ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาคนนี้หวนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง
ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่กลัวตายที่สุด รักถนอมชีวิตที่สุด สามารถติดตามตนเดินมาจนถึงก้าวนี้ได้ก็ถือว่าไม่ง่ายมากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฝิงเซวี่ยเทายังรู้สึกว่าตัวเองอาจจะลองอยู่ต่อได้ อาเหลียงรู้สึกว่าเพียงพอมากแล้ว
แน่นอนว่าต้องให้เฝิงเซวี่ยเทามีชีวิตอยู่อย่างดี ได้กลับไปถึงใต้หล้าไพศาล จะได้ช่วยคุยโวถึงศึกใหญ่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเทพผีร่ำไห้ครั้งนี้แทนเขาอาเหลียงให้มากๆ ด้วย
“เลิกเก็บงำอำพรางได้แล้ว แค่มองดูคนอื่นตีกันน่าเบื่อจะตาย ไม่สู้ลงสนามมาเดิมพันชีวิตด้วยตัวเอง”
เมื่ออาเหลียงผลักกระบี่ออกจากฝักมาชุ่นกว่า ในรัศมีพันลี้ซึ่งเป็นขอบเขตที่กว้างไกลกว่าเดิม ขุนเขาพังถล่มพื้นดินปริแตก ฝุ่นผงลอยคลุ้งมืดฟ้ามัวดิน กระแสน้ำไหลทุกสายล้วนถูกปณิธานกระบี่เล็กบางปั่นกระจุยกระจาย ไม่เหลือโชคชะตาน้ำใดๆ ให้กล่าวถึงอีก สะเก็ดน้ำและเศษฝุ่นจำนวนนับไม่ถ้วนผสมรวมกัน ในอาณาเขตขุนเขาสายน้ำสามพันลี้ก็ยิ่งเหมือนมีพายุฝนเศษดินเศษโคลนเทกระหน่ำลงมายังโลกมนุษย์อย่างถี่กระชั้น ปณิธานกระบี่ที่อยู่ในม่านฝนตัดสลับฉวัดเฉวียน ร่องน้ำบนพื้นดินก็แผ่ลามไปทั่วบริเวณ ไม่เหลือยอดเขา ลำธาร ต้นไม้ใบหญ้าใดๆ อีกแม้แต่อย่างเดียว ล้วนสลายกลายเป็นผุยผงในเสี้ยววินาที แม้แต่ภูเขาลูกที่บรรพบุรุษย้ายภูเขารักษาไว้ใต้ฝ่าเท้าก่อนหน้านี้ก็พังทลายย่อยยับอย่างสิ้นเชิงไปด้วย
จูเยี่ยนโบกทวนยาว วาดเส้นวงกลมเป็นวงๆ ขับไล่ปณิธานกระบี่ที่ซัดกรากเข้ามาจากสี่ทิศให้สลายหายไป
เจ้าอาเหลียงชาติสุนัขผู้นี้ โชคดีที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่อีกแล้ว
ศึกล้อมสังหารป๋ายเหย่ บรรพบุรุษย้ายภูเขาท่านนี้ยังหวาดผวาอยู่มิคลาย
ตอนนั้นก็โชคดีที่ป๋ายเหย่ซึ่งเป็นขอบเขตสิบสี่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่
ค่ายกลใหญ่เคลื่อนโคจร โซ่วเฉินและซินจวงที่หยุดลอยตัวอยู่เหนือปลาสองตัวสีขาวและดำไม่จำเป็นต้องร่ายเวทก็มีค่ายกลค่อยช่วยลดทอนปณิธานกระบี่ส่วนนั้นทิ้งไป ค่ายกลใหญ่พุ่งปะทะกับปณิธานกระบี่จนก่อให้เกิดริ้วคลื่นแห่งกาลเวลาดุจแก้วใสที่กระจายแผ่ออกไปเป็นระลอก
โซ่วเฉินหรี่ตามองทิศทางการสลายหายไปของปณิธานกระบี่ส่วนนั้นอย่างตั้งใจ ครู่หนึ่งต่อมาก็ส่ายหน้า หาข้อบกพร่องบนวิถีกระบี่ใดๆ ไม่เจอ
ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกกระบี่ เดิมทีก็คือพลังพิฆาตขั้นสูงสุดจากการที่หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคม ไม่ต้องสนว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกตนอะไร มีวิชาอภินิหารร้อยแปดพันเก้าแค่ไหน แค่กระบี่เล่มเดียวก็ทำลายลงได้แล้ว
แต่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยากที่จะคำนึงถึงพลังพิฆาตอันโดดเด่นส่วนบุคคลและการสังหารหรือทำให้บาดเจ็บเป็นวงกว้างในสนามรบ นี่ก็คือเหตุที่ว่าทำไมอู๋เฉิงเพ่ยที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการจับคู่เข่นฆ่ากับคนอื่น อาศัยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่คฤหาสน์หลบร้อนจัดให้อยู่ในอันดับหนึ่ง เป็นเพียงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง แต่กลับสามารถกลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องสังหารทิ้งแต่โดยเร็วให้จงได้
บนโลกใบนี้ยากที่จะมีเรื่องสมบูรณ์แบบไปทุกด้าน
ผู้ฝึกกระบี่และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เกิดมาก็เหมาะกับการอยู่บนสนามรบ ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องการเข่นฆ่าระหว่างกระบี่กับกระบี่ และผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่อยู่บนสนามรบชั้นสูงสุด ต่อให้มีปราณกระบี่เยอะมาก ปณิธานกระบี่เข้มข้นมาก แต่ทุกเรื่องล้วนมีทั้งผลดีและผลเสีย ข้อดีคือไม่กลัวการถูกล้อม ข้อเสียก็คือหากไม่ระวังก็จะต้องถูกผู้ฝึกตนบนยอดเขาฝ่ายศัตรูจับจุดอ่อนแล้วใช้ศาสตร์การอนุมานของมหามรรคามาหาข้อบกพร่องบางอย่างบนมหามรรคาได้เจอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!