ผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดิน ผู้ฝึกลมปราณสิบเอ็ดคน แต่ละคนล้วนเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ของแจกันสมบัติทวีปที่ถือกำเนิดขึ้นมาตามโชคชะตา ลุกผงาดขึ้นมาจากสถานการณ์อันดีงาม ผู้ฝึกตนเกินครึ่งล้วนไม่ใช่คนของต้าหลี ราชสำนักต้าหลีฝากความหวังกับพวกเขาไว้มาก ทุ่มเททรัพย์สินและทรัพยากรนับไม่ถ้วนให้กับพวกเขา แล้วยังต้องสิ้นเปลืองความสัมพันธ์ควันธูปบนยอดเขาไปอีกไม่น้อย ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุด นอกจากขอบเขตผู้ฝึกตนและวิชาอภินิหารอันเป็นพรสวรรค์ของแต่ละคนแล้ว ยังมีโชคชะตาของหนึ่งแคว้นที่มองไม่เห็น ข้อบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวก็คือเรื่องของการเข่นฆ่าที่ต้องพึ่งพาความสมบูรณ์ของจำนวนคนมากเกินไป
ครั้งนี้มาเจอกับโจวไห่จิ้ง ไม่เพียงแต่เณรน้อยเท่านั้นที่กระวนกระวายไม่เป็นสุข ยังมีพวกผีสาวก่ายเยี่ยนและขู่โส่วด้วยที่ต่างก็มีความกังวลในแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน สุดท้ายยังเป็นอวี๋อวี๋ที่ช่วยพูดความในใจของทุกคนออกมา ‘คนสุดท้ายที่สามารถมาชดเชยช่องว่างให้สมบูรณ์ได้ ศักยภาพของพวกเราจะเพิ่มพูนขึ้นมากก็จริง แต่คำโบราณก็กล่าวได้ดี เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม พวกเราคงไม่คิดจะไปหาเรื่องใต้เท้าอิ่นกวานอีกกระมัง?’
ตอนนั้นซ่งซวี่เอ่ยหยอกเย้าว่า ‘ข้ากับหยวนฮว่าจิ้งไม่มีความคิดนี้แน่นอน แต่หากพวกเจ้ายังไม่หายโมโห ในใจรู้สึกไม่ยินยอม คิดว่าต้องต่อสู้กันอีกครั้ง ข้าก็สามารถบากหน้าไปบอกหยวนฮว่าจิ้งได้’
เวลานี้ซูหลางพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นหน่วยจงซวี หรือหน่วยแปลคัมภีร์อะไร จงหลบทางให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
อาศัยว่ามีตำแหน่งเล็กน้อยในที่ว่าการก็กล้ามาแสร้งเล่นหลอกผีหลอกเจ้าต่อหน้าตนแล้วรึ?
เก๋อหลิ่งรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย อันที่จริงคนที่เหมาะจะมาเชิญตัวโจวไห่จิ้งมากที่สุดคือซ่งซวี่ เพราะถึงอย่างไรก็มีสถานะเป็นองค์ชายรอง ไม่อย่างนั้นก็ควรเป็นหยวนฮว่าจิ้งที่ขอบเขตสูงที่สุด น่าเสียดายที่ฝ่ายหลังเริ่มปิดด่านไปแล้ว
โจวไห่จิ้งได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอกก็โคจรลมปราณแท้จริงหนึ่งขุม เป็นเหตุให้สีหน้าของนางซีดขาวขึ้นหลายส่วน แล้วถึงได้เลิกมุมหนึ่งของผ้าม่านขึ้น คลี่ยิ้มหวาดหยดย้อย “พวกเจ้าเป็นสหายร่วมงานของเซียนกระบี่หยวนท่านนั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้น แต่ละคนล้วนชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ สถานะของพวกเจ้าไม่อาจเปิดเผยได้ขนาดนี้เชียวหรือ? ก็แค่เป็นผู้ถวายงานลับของกรมอาญา ต้องทำงานสกปรกใต้โต๊ะไม่ใช่หรือ ข้ารู้หรอกน่า ก็เหมือนนักฆ่าในยุทธภพที่รับเงินมาฆ่าคน ช่วยขจัดเคราะห์ภัยให้คนอื่นนั่นแหละ มีอะไรให้ไม่มีหน้าไปพบเจอผู้คนกัน ตอนที่ข้าเพิ่งเข้าไปอยู่ในยุทธภพก็ทำงานด้านนี้ แล้วยังทำได้ดีมีความก้าวหน้าด้วยนะ”
โจวไห่จิ้งพูดพึมพำกับตัวเอง “น่าเสียดายที่ขอบเขตวรยุทธน้อยนิดแค่นี้ของข้ายากจะเข้าตายอดฝีมือบนภูเขาได้ ไม่กล้าเพ้อฝันว่าจะได้เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลีอะไรนั่น แต่หากจะบอกว่าเป็นผู้ถวายงานอันดับสองก็น่าจะยังมีโอกาสอยู่บ้าง อีกอย่าง ข้าไม่เชื่อใจพวกเจ้า หากเป็นพวกก่อคดีโชกโชนในยุทธภพที่ชอบหลอกสตรีดีๆ ไปปู้ยี้ปู้ยำ สุดท้ายก็เป็นข้าที่เสียเปรียบใหญ่เทียมฟ้า พวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นงูเจ้าถิ่น ข้าเป็นเพียงสตรีต่างถิ่นไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง จะไปร้องทุกข์ให้ใครฟังได้?”
ซูหลางรอให้โจวไห่จิ้งพูดจบก็เตรียมจะขับรถเคลื่อนไปต่อ ในเมื่อไม่เปิดทางให้ มีปัญญาก็ขวางทางต่อไปเถอะ
ถึงอย่างไรคู่รักเทพเซียนที่ฝึกประสบการณ์ในยุทธภพก็ไม่ควรขาดเหตุการณ์ร่วมทุกข์ด้วยกัน โอกาสวันนี้จึงหาได้ยากนัก
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในสถานที่อย่างเมืองหลวงแห่งนี้ ซูหลางไม่กลัวว่าจะเกิดข้อพิพาทกับผู้ฝึกลมปราณที่เป็นคนของสามลัทธิจริงๆ ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของเขา ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่ป้ายสงบสุขปลอดภัยของกรมอาญา แต่เป็นสถานะผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของต้าหลี
เก๋อหลิ่งถอนหายใจ ดูท่าคงต้องเรียกอีกสองสามคนมา ถึงจะสามารถเชิญตัวแม่นางโจวผู้นี้ไปได้
เณรน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “อาจารย์เฉินเคยบอกว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ควรจะยอมถอยมีมารยาทต่อกัน ไม่ควรใช้อำนาจบีบคั้นคนอื่น”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนดังขึ้นด้านหลังเณรน้อย “ไม่ ข้าไม่เคยพูด”
เณรน้อยรีบเบี่ยงตัวหันข้าง ยกสองมือขึ้นพนม ก้มหน้ากล่าว “อาจารย์เฉินเชี่ยวชาญการมอบถ้อยคำมงคลให้คนอื่นเป็นที่สุด ตอนนี้ยังไม่ได้พูด วันหน้าต้องพูดแน่”
เก๋อหลิ่งหมุนตัวกลับมาก้มหัวคาระผู้มาเยือนตามขนบลัทธิเต๋า เอ่ยด้วยสีหน้านอบน้อมระมัดระวัง “คารวะอาจารย์เฉิน”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน “ข้ามาครานี้เพื่อมารำลึกความหลังกับสหาย พวกเจ้าทำธุระของตัวเองกันไปเถอะ”
จากนั้นก็เอ่ยเสริมไปอีกประโยค “วันหน้าข้าอาจไปเป็นแขกที่หน่วยแปลคัมภีร์และที่อาราม หวังว่าจะไม่รบกวนเวลาการฝึกตนของพวกเจ้า”
เณรน้อยพยักหน้าพลางใคร่ครวญไปด้วยว่าคงต้องหาวัดเพื่อบริจาคค่าน้ำมันและค่าธูปเทียนอีกครั้งแล้ว เป็นผู้ออกบวช จะต้องเสียดายเงินไปทำไมกัน
เก๋อหลิ่งยิ้มเอ่ยอย่างจริงใจ “ยินดีต้อนรับ”
ถึงเวลานั้นก็สามารถขอความรู้วิชายันต์จากเซียนกระบี่เฉินอย่างนอบน้อมได้แล้ว
ซูหลางรีบหยุดลงม้าทันที ไม่กล้าขับควบไปเบื้องหน้าอีกแล้ว
เพราะเขาจำอีกฝ่ายได้
โจวไห่จิ้งกำลังจะปล่อยม่านลงก็หยุดการกระทำนั้น ดวงตาดอกท้อฉ่ำน้ำคู่นั้นพลันหรี่ลงมองบุรุษชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้าโล้นน้อย คาดว่าคงเป็นเพราะภิกษุน้อยตัวเตี้ยเกินไป จึงทำให้เรือนกายของบุรุษดูสูงเพรียวผิดปกติ
สัญชาตญาณคู่จากทั้งของสตรีและของผู้ฝึกยุทธบนยอดเขา ทำให้นางตระหนักได้ว่าแขกไม่ได้รับเชิญที่พลิ้วกายลงมาจากจุดสูงของตรอกเล็กผู้นี้ต้องไม่ใช่คนที่ควรไปมีเรื่องด้วยง่ายๆ แน่นอน
ซ่งจ่างจิ้งเทพสงครามของต้าหลี เว่ยจิ้นเซียนกระบี่ใหญ่จากศาลลมหิมะ เหวยอิ๋งอดีตเจ้าสำนักของสำนักเจินจิ้ง…ล้วนไม่ถูกต้อง
ประหลาดนัก เป็นเทพเจ้าจากฝ่ายใด ถึงกับสามารถทำให้ตนรู้สึกว่ามิอาจต่อสู้ได้ไหว ไม่อาจต้านทานได้เลยเช่นนี้?
เฉินผิงอันแอบพยักหน้ากับตัวเอง ปรมาจารย์โจวท่านนี้เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ มัธยัสถ์อดออม ถึงกับตัดใจเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำไม่ลง
ซูหลางหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย อารมณ์ซับซ้อนถึงขีดสุด แต่ก็รีบเก็บอารมณ์อย่างรวดเร็ว รวมเสียงให้เป็นเส้น ออกเสียงเตือนโจวไห่จิ้ง “แม่นางโจว ระวังคนผู้นี้เอาไว้ เขาคือเฉินผิงอันคนที่ไปถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยง!”
งานพิธีเฉลิมฉลองของภูเขาตะวันเที่ยงที่ยิ่งใหญ่เอิกเกริก แน่นอนว่าซูหลางยอมไม่พลาด อาศัยบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำมาชมงานพิธีและการถามกระบี่ครั้งนั้น แล้วเขาก็จำเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายปีคนนั้นได้ทันที
ดังนั้นซูหลางจึงกระอักกระอ่วนพอๆ กับภูเขาเหมิงหลง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับฝ่ายหลัง เซียนกระบี่ไผ่เขียวท่านนี้กลับดีกว่าหลายส่วน คลื่นมรสุมที่เกิดขึ้นใกล้กับหมู่บ้านวารีกระบี่ในปีนั้น ต่อให้ไม่ถือว่าทั้งสองฝ่ายพบเจอกันด้วยดีและแยกจากกันด้วยดีอะไร แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ผูกปมแค้นกันนับแต่นั้น
หลังจากโจวไห่จิ้งได้ยินชื่อ ‘เฉินผิงอัน’ สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นมีชีวิตชีวา อดไม่ไหวเหลือบมองเซียนกระบี่หนุ่มที่ทุกวันนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือมากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปอยู่หลายที มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาจะยังเป็นเจ้าสำนักที่อายุน้อยที่สุดของใต้หล้าไพศาลด้วย นางได้ยินชื่อเสียงของเขามาจนหูเกือบแฉะแล้ว อย่าไปมีเรื่องด้วย อย่าไปมีเรื่องด้วย ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่สามารถทำให้หยวนเจินเย่ออกหมัดต่อยร่างเขาเหมือนแค่เกาให้หายคัน จะไปมีเรื่องกับเขาทำไม มีแต่จะเสียเปรียบน่ะสิ
นางรีบปล่อยม่านลงทันที รวบข้าวของน้อยใหญ่ในห้องโดยสารมาใส่ห่อสัมภาระใบใหญ่แล้วสะพายไว้บนไหล่ ก้มหน้าค้อมเอวเดินออกมาจากห้องโดยสาร นางเตรียมจะกระโดดลงจากรถม้า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะตามเก๋อเจินเหรินไปสักรอบก็แล้วกัน อาจารย์ซู รบกวนท่านช่วยเฝ้ารถม้าให้ข้าด้วยนะ”
น้ำในยุทธภพนั้นลึก ท่วมทับคนใจกล้าให้ตายได้ ลมบนภูเขาก็พัดแรง พัดจนมาดเทพเซียนปลิวหาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!