จินซวนถามอย่างสงสัย “อิ่นกวานยอมรับในเหตุผลนี้ที่ข้าพูดแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันหันตัวกลับมา ยังคงนั่งสมาธิ ส่ายหน้าตอบ “ไม่ยอมรับ เพียงแต่สามารถให้เจ้าอธิบายเหตุผลที่เจ้าอยากพูดก่อนได้ ข้ายินดีที่จะรับฟัง”
เจี่ยเสวียนใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนเด็กหนุ่ม “จินซวน หยุดแต่พอสมควร! หากเจ้ายังกล้าพูดอีกแม้แต่ครึ่งคำ กลับไปถึงหอโหยวเซียน ข้าจะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ท่านเจ้าหอและผู้คุมกฎทราบอย่างแน่นอน เจ้าระวังว่าจะรักษาสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตัวเองไว้ไม่อยู่!”
จินซวนกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำขู่ของเค่อชิงอันดับรองท่านนี้ เพียงแค่จ้องเป๋งไปที่แผ่นหลังคนชุดเขียว
“ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ก้อนอิฐก้อนหนึ่งในสุสานจักรพรรดิของราชวงศ์ล่างภูเขา กิ่งไม้แห้งของต้นไม้ต้นหนึ่งในถ้ำสถิตตระกูลเซียนบนภูเขา ก้อนดินที่อยู่ใกล้หลุมศพของชาวบ้านล่างภูเขา มีราคาสักเท่าไร”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเฉยเมย “ต่อให้ไม่มีคนคอยดูแล พวกเราก็สามารถเก็บเอามาได้ตามใจชอบแล้วหรือ?”
ผู้ฝึกกระบี่แต่ละรุ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่เคยมีหลุมฝังศพ
ถ้าอย่างนั้นหลุมฝังศพของผู้ฝึกกระบี่คืออะไร บางทีอาจเป็นสนามรบ ก็คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ของใต้ฝ่าเท้าทั้งหมดนี้
ขึ้นกำแพงเมืองเหมือนเดินสู่สุสาน ทุกครั้งที่ออกกระบี่ก็คือการจุดธูปคารวะ เซ่นไหว้ให้แก่ผู้ล่วงลับ
จินซวนอึ้งตะลึง พูดไม่ออก
เฉินผิงอันกล่าว “เป็นใบ้แล้วล่ะสิ?”
จินซวนแข็งใจเอ่ย “มีเหตุผลอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันถึงได้พูดต่อว่า “หากพูดกันด้วยใจที่เป็นกลาง สิ่งที่เจ้าควรจะถกเถียงกับข้าอย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าข้าควรลงมือหรือไม่ แต่ควรลงมือหนักขนาดนั้นหรือไม่ ถูกไหม?”
นี่ก็เพราะว่าขอบเขตของเจี่ยเสวียนและจู้ย่วนไม่พอ ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนสะพานเลียบหน้าผาที่เป็นขีดตัวอักษรซึ่งสลักอยู่บนหัวกำแพงเมือง คงไม่มีเรื่องดีที่ได้เปรียบขนาดนั้น ย่อมไม่มีทางฟื้นตื่นขึ้นมาเร็วขนาดนี้แน่นอน เซียนดินทั้งสองท่านมีแต่จะถูกผู้เยาว์แบกไปที่ท่าเรือโดยตรง
จินซวนพยักหน้า “อิ่นกวานลงมือรุนแรงเกินไป! แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนจะลงมือ อิ่นกวานสามารถบอกให้คนอื่นรู้ถึงตัวตนของตัวเองก่อนได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า “ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีใครนิสัยดีขนาดนั้น อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ อะไรถึงจะเป็นเหตุผลที่ใหญ่ที่สุด พวกผู้อาวุโสในสำนักไม่ได้สอนพวกเจ้ามาหรือ? หากข้าไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายเหวินเซิ่ง เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวคนหนึ่ง ต่อให้จะใช่อิ่นกวานอะไรหรือไม่ วันนี้อย่างน้อยที่สุดพวกเจ้าก็ต้องทิ้งแขนไว้ข้างหนึ่ง”
ก็เหมือนอย่างหลิวจิ่งหลง หากเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยคนหนึ่ง ป่านนี้คงไปถามกระบี่ที่สำนักสั่วอวิ๋นนานแล้ว แต่ตอนนี้หลิวจิ่งหลงเป็นเจ้าสำนักของสำนักกระบี่ไท่ฮุย จึงสามารถอดทนเอาไว้ได้ ถึงขั้นที่ว่าจำเป็นต้องอดกลั้นให้อภัยต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ของสำนักสั่วอวิ๋นด้วย
เฉาจวิ้นหัวเราะร่าเอ่ย “เซียนกระบี่เว่ย อิ่นกวานลงมือหนักไหม?”
เว่ยจิ้นยิ้มบางๆ “สำหรับเซียนซือทำเนียบบนภูเขาแล้ว ถูกคนต่อยตีจนไม่มีหน้าไปพบเจอคน เทียบกับเงินเทพเซียนหายไปก้อนหนึ่งแล้ว ถือว่าหนักมากแล้ว”
เฉินผิงอันพูดเตือนว่า “เฉาจวิ้น ไม่ใช่เวลาปกติที่สามารถพูดเล่นได้ เจ้าก็อย่าพูดยุแยงเลย”
เฉาจวิ้นดื่มเหล้าต่อ จดจำชื่อสำนักทั้งสองอย่างหอโหยวเซียนกับภูเขาหงซิ่งซื่อสุ่ยเอาไว้เงียบๆ วันหน้าไปเที่ยวเยือนแผ่นดินกลางจะต้องแวะไปสักหน่อยแล้ว
ให้อิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่รายงานตัวบอกชื่อแซ่ของตัวเอง? พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือ?
เฉินผิงอันแกว่งกาเหล้า ยังคงหันหลังให้เซียนซือที่แต่ละคนมีความคิดต่างกันไปกลุ่มนั้นอยู่ตลอดเวลา “มารยาทของใต้หล้าไพศาล เหตุผลของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่แน่เสมอไปว่าพวกเจ้าจะฟังเข้าหู ถ้าอย่างนั้นก็จะพูดถึงผลประโยชน์และผลเสียให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน”
“เว่ยจิ้นกับเฉาจวิ้น คือคนต่างถิ่นสองคน ทั้งยังเป็นเซียนกระบี่ที่นิสัยเฉยเมยไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ถ้าอย่างนั้นฉีถิงจี้ ลู่จือ และสิบแปดกระบี่ของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงล่ะ? หากพวกเจ้าถูกพวกเขามาเจอเข้าล่ะ? ทำไม คิดว่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเราตายอยู่ในใต้หล้าไพศาลกันหมดแล้วจริงๆ หรือ? ถ้าหากถูกคนฟันหัว แต่โชคดีหัวไม่หลุดจากบ่า จะไปพูดเหตุผลกับใคร? จะไปหาบรรพจารย์ของหอโหยวเซียนและซื่อสุ่ยของพวกเจ้า หรือว่าจะไปฟ้องอาจารย์เฮ้อ? ออกมาอยู่นอกบ้าน หลักการที่ว่าระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปีก็ยังไม่เข้าใจ หรือจะบอกว่าเป็นเพราะล่างภูเขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพวกเจ้า ขอแค่เป็นเซียนซือก็สามารถเดินกร่างได้แล้ว?”
เฉาจวิ้นฉวยโอกาสตอนที่หนิงเหยาไม่อยู่ ใช้เสียงในใจถามอย่างระมัดระวัง “เว่ยจิ้น พวกเราถูกจดบัญชีแล้วใช่หรือไม่?”
เว่ยจิ้นตอบ “ก็เห็นได้ชัดเจนนะ”
เฉาจวิ้นรู้สึกหัวโตเท่ากระบุง “พวกเราสองคนคนหนึ่งคือเค่อชิงของสำนักเบื้องบนภูเขาลั่วพั่ว อีกคนคือผู้ถวายงานของสำนักเบื้องล่างนะ วันหน้าจะถูกเฉินผิงอันเล่นงานหรือไม่?”
เว่ยจิ้นยิ้มกล่าว “ข้ามักจะเป็นคนมือเติบจ่ายเงินซื้อเหล้าเป็นประจำ น่าจะยังดีอยู่ ส่วนเจ้า กลับบอกได้ยากแล้ว”
เฉินผิงอันหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ออกมาอยู่นอกบ้าน หลักการง่ายๆ อย่างเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เจี่ยเซียนซือกับจู้เซียนซือ พวกเจ้าไม่รู้จักสอนหรือ? หรือจะบอกว่าหลักการเหตุผลยาวเหยียดที่ปากพร่ำพูดได้ถูกพัดหายไปตามสายลมหมดแล้ว พอเกิดเรื่องเข้าจริงจึงเอามาใช้ไม่ได้? อ้อ ลืมไป พวกเจ้าคือผู้พิทักษ์มรรคา หาใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาไม่ ข้ากล่าวโทษพวกเจ้าผิดไปแล้วสินะ?”
สีหน้าของเจี่ยเสวียนกับจู้ย่วนไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด เพียงแต่ว่าความกริ่งเกรงในใจของสองฝ่ายกลับยิ่งมีมากกว่าเดิม การที่ห้ามไม่ให้จินซวนเปิดปากพูดนั้นถูกต้องแล้ว มีถึงแปดเก้าในสิบส่วนที่จะถูกอิ่นกวานท่านนี้เคียดแค้นสำนักของพวกเขาแล้ว ส่วนเหตุผลไม่เหตุผลอะไรนั่น แน่นอนว่าใครที่เวทกระบี่สูงกว่า มรรคกถาสูงกว่าย่อมเป็นคนที่มีสิทธิ์มีเสียง ถูกอิ่นกวานหนุ่มตำหนิว่าทำหน้าที่ปกป้องมรรคาได้ไม่ดี ทว่าก็ไม่ได้ถ่วงรั้งการฝึกตนของตัวเอง พวกเขาก็ฝึกตนจนได้ขอบเขตเซียนดินมาแล้วไม่ใช่หรือ? เจ้าเฉินผิงอันมีวาสนาอย่างทุกวันนี้ได้ ได้เป็นอิ่นกวานคนสุดท้าย สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าคว้าเอาโชคแบบใดมาไว้ในมือได้บ้าง เซียนกระบี่อายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง เลื่อนเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า ย่อมต้องมีความสามารถอยู่แล้ว ก็แค่ว่าไม่ได้มีชะตาชีวิตที่ดีที่มีบุญบารมีเทียมฟ้า พูดไปใครจะเชื่อ?
เฉินผิงอันหันตัวกลับมามองผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนั้น “ผู้อาวุโสเก็บเศษหินก้อนนั้นไปแล้วกระมัง?”
“มิอาจรับคำเรียกขานว่า ‘ผู้อาวุโส’ ได้เด็ดขาด”
ชายฉกรรจ์รีบกุมหมัดเอ่ยอย่างหวาดหวั่น “เก็บเศษหินไปแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!