ตอน บทที่ 847.3 สองคนเคียงข้าง จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 847.3 สองคนเคียงข้าง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
จินซวนถามอย่างสงสัย “อิ่นกวานยอมรับในเหตุผลนี้ที่ข้าพูดแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันหันตัวกลับมา ยังคงนั่งสมาธิ ส่ายหน้าตอบ “ไม่ยอมรับ เพียงแต่สามารถให้เจ้าอธิบายเหตุผลที่เจ้าอยากพูดก่อนได้ ข้ายินดีที่จะรับฟัง”
เจี่ยเสวียนใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนเด็กหนุ่ม “จินซวน หยุดแต่พอสมควร! หากเจ้ายังกล้าพูดอีกแม้แต่ครึ่งคำ กลับไปถึงหอโหยวเซียน ข้าจะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ท่านเจ้าหอและผู้คุมกฎทราบอย่างแน่นอน เจ้าระวังว่าจะรักษาสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตัวเองไว้ไม่อยู่!”
จินซวนกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำขู่ของเค่อชิงอันดับรองท่านนี้ เพียงแค่จ้องเป๋งไปที่แผ่นหลังคนชุดเขียว
“ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ก้อนอิฐก้อนหนึ่งในสุสานจักรพรรดิของราชวงศ์ล่างภูเขา กิ่งไม้แห้งของต้นไม้ต้นหนึ่งในถ้ำสถิตตระกูลเซียนบนภูเขา ก้อนดินที่อยู่ใกล้หลุมศพของชาวบ้านล่างภูเขา มีราคาสักเท่าไร”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเฉยเมย “ต่อให้ไม่มีคนคอยดูแล พวกเราก็สามารถเก็บเอามาได้ตามใจชอบแล้วหรือ?”
ผู้ฝึกกระบี่แต่ละรุ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่เคยมีหลุมฝังศพ
ถ้าอย่างนั้นหลุมฝังศพของผู้ฝึกกระบี่คืออะไร บางทีอาจเป็นสนามรบ ก็คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ของใต้ฝ่าเท้าทั้งหมดนี้
ขึ้นกำแพงเมืองเหมือนเดินสู่สุสาน ทุกครั้งที่ออกกระบี่ก็คือการจุดธูปคารวะ เซ่นไหว้ให้แก่ผู้ล่วงลับ
จินซวนอึ้งตะลึง พูดไม่ออก
เฉินผิงอันกล่าว “เป็นใบ้แล้วล่ะสิ?”
จินซวนแข็งใจเอ่ย “มีเหตุผลอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันถึงได้พูดต่อว่า “หากพูดกันด้วยใจที่เป็นกลาง สิ่งที่เจ้าควรจะถกเถียงกับข้าอย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าข้าควรลงมือหรือไม่ แต่ควรลงมือหนักขนาดนั้นหรือไม่ ถูกไหม?”
นี่ก็เพราะว่าขอบเขตของเจี่ยเสวียนและจู้ย่วนไม่พอ ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนสะพานเลียบหน้าผาที่เป็นขีดตัวอักษรซึ่งสลักอยู่บนหัวกำแพงเมือง คงไม่มีเรื่องดีที่ได้เปรียบขนาดนั้น ย่อมไม่มีทางฟื้นตื่นขึ้นมาเร็วขนาดนี้แน่นอน เซียนดินทั้งสองท่านมีแต่จะถูกผู้เยาว์แบกไปที่ท่าเรือโดยตรง
จินซวนพยักหน้า “อิ่นกวานลงมือรุนแรงเกินไป! แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนจะลงมือ อิ่นกวานสามารถบอกให้คนอื่นรู้ถึงตัวตนของตัวเองก่อนได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า “ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีใครนิสัยดีขนาดนั้น อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ อะไรถึงจะเป็นเหตุผลที่ใหญ่ที่สุด พวกผู้อาวุโสในสำนักไม่ได้สอนพวกเจ้ามาหรือ? หากข้าไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายเหวินเซิ่ง เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวคนหนึ่ง ต่อให้จะใช่อิ่นกวานอะไรหรือไม่ วันนี้อย่างน้อยที่สุดพวกเจ้าก็ต้องทิ้งแขนไว้ข้างหนึ่ง”
ก็เหมือนอย่างหลิวจิ่งหลง หากเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยคนหนึ่ง ป่านนี้คงไปถามกระบี่ที่สำนักสั่วอวิ๋นนานแล้ว แต่ตอนนี้หลิวจิ่งหลงเป็นเจ้าสำนักของสำนักกระบี่ไท่ฮุย จึงสามารถอดทนเอาไว้ได้ ถึงขั้นที่ว่าจำเป็นต้องอดกลั้นให้อภัยต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ของสำนักสั่วอวิ๋นด้วย
เฉาจวิ้นหัวเราะร่าเอ่ย “เซียนกระบี่เว่ย อิ่นกวานลงมือหนักไหม?”
เว่ยจิ้นยิ้มบางๆ “สำหรับเซียนซือทำเนียบบนภูเขาแล้ว ถูกคนต่อยตีจนไม่มีหน้าไปพบเจอคน เทียบกับเงินเทพเซียนหายไปก้อนหนึ่งแล้ว ถือว่าหนักมากแล้ว”
เฉินผิงอันพูดเตือนว่า “เฉาจวิ้น ไม่ใช่เวลาปกติที่สามารถพูดเล่นได้ เจ้าก็อย่าพูดยุแยงเลย”
เฉาจวิ้นดื่มเหล้าต่อ จดจำชื่อสำนักทั้งสองอย่างหอโหยวเซียนกับภูเขาหงซิ่งซื่อสุ่ยเอาไว้เงียบๆ วันหน้าไปเที่ยวเยือนแผ่นดินกลางจะต้องแวะไปสักหน่อยแล้ว
ให้อิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่รายงานตัวบอกชื่อแซ่ของตัวเอง? พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือ?
เฉินผิงอันแกว่งกาเหล้า ยังคงหันหลังให้เซียนซือที่แต่ละคนมีความคิดต่างกันไปกลุ่มนั้นอยู่ตลอดเวลา “มารยาทของใต้หล้าไพศาล เหตุผลของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่แน่เสมอไปว่าพวกเจ้าจะฟังเข้าหู ถ้าอย่างนั้นก็จะพูดถึงผลประโยชน์และผลเสียให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน”
“เว่ยจิ้นกับเฉาจวิ้น คือคนต่างถิ่นสองคน ทั้งยังเป็นเซียนกระบี่ที่นิสัยเฉยเมยไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ถ้าอย่างนั้นฉีถิงจี้ ลู่จือ และสิบแปดกระบี่ของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงล่ะ? หากพวกเจ้าถูกพวกเขามาเจอเข้าล่ะ? ทำไม คิดว่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเราตายอยู่ในใต้หล้าไพศาลกันหมดแล้วจริงๆ หรือ? ถ้าหากถูกคนฟันหัว แต่โชคดีหัวไม่หลุดจากบ่า จะไปพูดเหตุผลกับใคร? จะไปหาบรรพจารย์ของหอโหยวเซียนและซื่อสุ่ยของพวกเจ้า หรือว่าจะไปฟ้องอาจารย์เฮ้อ? ออกมาอยู่นอกบ้าน หลักการที่ว่าระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปีก็ยังไม่เข้าใจ หรือจะบอกว่าเป็นเพราะล่างภูเขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพวกเจ้า ขอแค่เป็นเซียนซือก็สามารถเดินกร่างได้แล้ว?”
เฉาจวิ้นฉวยโอกาสตอนที่หนิงเหยาไม่อยู่ ใช้เสียงในใจถามอย่างระมัดระวัง “เว่ยจิ้น พวกเราถูกจดบัญชีแล้วใช่หรือไม่?”
เว่ยจิ้นตอบ “ก็เห็นได้ชัดเจนนะ”
เฉาจวิ้นรู้สึกหัวโตเท่ากระบุง “พวกเราสองคนคนหนึ่งคือเค่อชิงของสำนักเบื้องบนภูเขาลั่วพั่ว อีกคนคือผู้ถวายงานของสำนักเบื้องล่างนะ วันหน้าจะถูกเฉินผิงอันเล่นงานหรือไม่?”
เว่ยจิ้นยิ้มกล่าว “ข้ามักจะเป็นคนมือเติบจ่ายเงินซื้อเหล้าเป็นประจำ น่าจะยังดีอยู่ ส่วนเจ้า กลับบอกได้ยากแล้ว”
เฉินผิงอันหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ออกมาอยู่นอกบ้าน หลักการง่ายๆ อย่างเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เจี่ยเซียนซือกับจู้เซียนซือ พวกเจ้าไม่รู้จักสอนหรือ? หรือจะบอกว่าหลักการเหตุผลยาวเหยียดที่ปากพร่ำพูดได้ถูกพัดหายไปตามสายลมหมดแล้ว พอเกิดเรื่องเข้าจริงจึงเอามาใช้ไม่ได้? อ้อ ลืมไป พวกเจ้าคือผู้พิทักษ์มรรคา หาใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาไม่ ข้ากล่าวโทษพวกเจ้าผิดไปแล้วสินะ?”
สีหน้าของเจี่ยเสวียนกับจู้ย่วนไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด เพียงแต่ว่าความกริ่งเกรงในใจของสองฝ่ายกลับยิ่งมีมากกว่าเดิม การที่ห้ามไม่ให้จินซวนเปิดปากพูดนั้นถูกต้องแล้ว มีถึงแปดเก้าในสิบส่วนที่จะถูกอิ่นกวานท่านนี้เคียดแค้นสำนักของพวกเขาแล้ว ส่วนเหตุผลไม่เหตุผลอะไรนั่น แน่นอนว่าใครที่เวทกระบี่สูงกว่า มรรคกถาสูงกว่าย่อมเป็นคนที่มีสิทธิ์มีเสียง ถูกอิ่นกวานหนุ่มตำหนิว่าทำหน้าที่ปกป้องมรรคาได้ไม่ดี ทว่าก็ไม่ได้ถ่วงรั้งการฝึกตนของตัวเอง พวกเขาก็ฝึกตนจนได้ขอบเขตเซียนดินมาแล้วไม่ใช่หรือ? เจ้าเฉินผิงอันมีวาสนาอย่างทุกวันนี้ได้ ได้เป็นอิ่นกวานคนสุดท้าย สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าคว้าเอาโชคแบบใดมาไว้ในมือได้บ้าง เซียนกระบี่อายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง เลื่อนเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า ย่อมต้องมีความสามารถอยู่แล้ว ก็แค่ว่าไม่ได้มีชะตาชีวิตที่ดีที่มีบุญบารมีเทียมฟ้า พูดไปใครจะเชื่อ?
เฉินผิงอันหันตัวกลับมามองผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนั้น “ผู้อาวุโสเก็บเศษหินก้อนนั้นไปแล้วกระมัง?”
“มิอาจรับคำเรียกขานว่า ‘ผู้อาวุโส’ ได้เด็ดขาด”
ชายฉกรรจ์รีบกุมหมัดเอ่ยอย่างหวาดหวั่น “เก็บเศษหินไปแล้ว”
“คำว่าเหตุผล ไม่ใช่ทักษะติดตัวอะไร บางทีอาจไม่ใช่วิธีที่ใช้ได้ผลทันตาเห็นในทุกหนทุกแห่ง แต่ยิ่งเวลานานวันเข้าก็จะยิ่งแสดงให้เห็นถึงวิชาความรู้นั้น”
“ลัทธิพุทธมีคำกล่าวว่าสหาโลกธาตุ สหาสองคำนี้มีความหมายว่าอดทน ไม่ใช่คนกำลังฝนหมึก แต่เป็นหมึกกำลังฝนคน สามารถแบกรับการฝนจากสวรรค์ได้คือวีรบุรุษ”
“โลกแห่งธุลี โลกแห่งธุลี โลกที่ความหงุดหงิดวุ่นวายใจมีมากมายดุจธุลี จิตใจเหมือนกระจกใส อย่าปล่อยให้ฝุ่นมาเกาะ ไม่ว่าจะเป็นลัทธิพุทธที่สอนให้คนหลุดพ้น หรือความทะเยอทะยานไม่ยอมแพ้ของวีรบุรุษ ล้วนสามารถนำมาใช้ร่วมกันได้”
“ไม่หันหลัง ไม่ถอยกลับ เท้าของวีรบุรุษหยัดยืนได้มั่นคง ข้ารู้ว่าตัวเองคือใคร เดินหน้าไม่ถอยหลัง แม้คนนับพันนับหมื่นกีดขวาง ข้าก็จะบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญ ข้ารู้ว่าตัวเองจะทำอะไร จิตไม่ถอย มหาสมุทรกว้างขวางไหลซัดเชี่ยว หินแยกแตกสลายไปพร้อมกัน จารีตประเพณีพังทลาย ผู้คนอยู่ไม่เป็นสุข หมื่นขุนเขาที่ยิ่งใหญ่ย่อมเห็นยอดเขาหลัก กลางกระแสน้ำพัดเชี่ยวกรากย่อมมีเสาหินปรากฏ ตัวข้าอยู่ที่นี่ ใจก็อยู่ที่นี่ ใจข้าอยู่ที่นั่น ร่างกายก็อยู่ที่นั่น”
เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทั้งกลุ่มได้ยินแล้วก็หันมามองหน้ากันเอง อิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ธาตุไฟเข้าแทรกแล้วหรือไร? หรือว่ากินอิ่มว่างงานก็เลยอยากจะถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจให้กับพวกเขา?
และเมื่อใต้เท้าอิ่นกวานสวมชุดเขียวสะพายกระบี่คนนั้นเริ่มเงียบเสียงไป เขาก็คล้ายกับคนเข้าฌาน ทั้งเหมือนภิกษุเฒ่าทำสมาธิ ทั้งเหมือนการฝึกจิตของเซียนเจิน
เฉาจวิ้นลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “เฉินผิงอันเป็นอะไรไป เขาดูแปลกๆ?”
เว่ยจิ้นเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแล้วตอบว่า “คล้ายคลึงกับการพิสูจน์มรรคาบางอย่าง พิฆาตนิสัยทั้งหลายของคนอื่น เพื่อเอามาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับนิสัยอย่างหนึ่งของตัวเอง ดังนั้นแท้จริงแล้วนับตั้งแต่แรกเริ่มเฉินผิงอันก็แค่รู้สึกสนใจเด็กหนุ่มคนนั้นเล็กน้อยเท่านั้น คนอื่นๆ เขากลับไม่รู้สึกว่าคู่ควรให้เขาพูดด้วยแม้แต่ครึ่งคำ มองดูเหมือนพูดไปมากมายให้คนอื่นฟัง แต่กลับเป็นเฉินผิงอันที่พูดให้ตัวเองฟัง เป็นการพิสูจน์ความคิดในใจของตัวเองมากกว่า”
อยู่ๆ อาจารย์เฮ้อก็เอ่ยแทรกขึ้นมาหนึ่งประโยค “พูดว่าพิฆาต ไม่ค่อยเหมาะเท่าไร เปลี่ยนมาเป็น ‘ปฏิเสธในปฏิเสธก็คือการยอมรับ’ จะแม่นยำมากกว่า”
เฉาจวิ้นเองก็ไม่มัวมาสนใจแล้วว่าอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปท่านนี้ได้ยินเสียงในใจของตนได้อย่างไร ถือโอกาสนี้สามารถถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยจากเฮ้อโซ่วได้พอดี “คิดเหลวไหลไปเรื่อยเปื่อย จิตใจเหม่อลอยไปไกล คิดนั่นคิดนี่ พูดพึมพำกับตัวเอง สรุปแล้วเฉินผิงอันต้องการอะไรกันแน่? เขาไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรอกหรือ? คงไม่ถึงขั้นอยากจะไปกินเนื้อหัวหมูเย็นๆ ในศาลบุ๋นหรอกกระมัง?”
อาจารย์ผู้เฒ่าเฮ้อตอบ “คงจะอยากหาเส้นทางกว้างใหญ่สายหนึ่งให้ตัวเองกระมัง”
เฉาจวิ้นถาม “เฉินผิงอันเตรียมจะเลื่อนขั้นเป็นเซียนเหรินแล้วหรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าเฮ้อหัวเราะ ส่วนเว่ยจิ้นบอกว่าเฉาจวิ้นเจ้าเข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้จริงๆ
ก่อนหน้านี้ทางทิศใต้ก็มีแสงกระบี่สองเส้นที่คล้ายกับนัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วจึงแยกกันเปล่งแสงขึ้นที่ท่าเรือปิ่งจู๋และท่าเรือโจ่วหม่าแทบจะเวลาเดียวกัน แล้วพุ่งทะยานมายังหัวกำแพงเมืองแถบนี้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
หลังจากนั้นก็มีแสงกระบี่อีกหลายเส้นติดตามมา เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับความเร็วของเซียนกระบี่สองท่านแล้วกลับช้ากว่ามาก
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!