คนที่ปรากฏตัวก่อนใครคือฉีถิงจี้ เซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ทั้งยังหล่อเหลาอย่างยิ่ง รวมไปถึงลู่จือที่เรือนกายสูงโปร่งแต่กลับมีโฉมหน้าธรรมดาสามัญ
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น
ฉีถิงจี้เหลือบตามองผู้ฝึกตนที่รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะพวกนั้น ยิ้มถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อยากจะเอาเศษหินบนหัวกำแพงเมืองกลับไป ข้าเลยขวางไว้แล้วสั่งสอนไปรอบหนึ่ง”
ฉีถิงจี้กับลู่จือมองไปยังเว่ยจิ้นและเฉาจวิ้นแทบจะเวลาเดียวกัน ส่วนเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เส้นเอ็นหัวใจขึงตึงทั้งหลายเหล่านั้น คร้านจะมองแม้แต่หางตา
เว่ยจิ้นไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น
เฉาจวิ้นที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดเล็กๆ คนหนึ่งกลับไม่มีความกล้าหาญเช่นนี้แล้ว
ฉีถิงจี้ที่เป็นเจ้าประมุขสกุลฉีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เวทกระบี่เป็นอย่างไร ตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนกำแพงตัวนั้นยังตั้งวางอยู่ตรงนั้น
ส่วนลู่จือ นี่คือสตรีที่กล้าไล่ตามไปดักสังหารหลิวชาไม่ให้มุ่งหน้าไปยังฝูเหยาทวีปเพียงลำพังเชียวนะ
ฉีถิงจี้ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เหลือบตามองแผ่นหลังของคนกลุ่มนั้น ยิ้มเอ่ยว่า “คนรุ่นเยาว์นี่นะ จะทำผิดบ้างก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาติหน้าก็สามารถระมัดระวังให้มากอีกหน่อยได้”
ลู่จือยิ่งไม่พูดจาเหลวไหล เงยหน้ามองเฮ้อโซ่วอริยะลัทธิขงจื๊อที่นั่งบัญชาการณ์ม่านฟ้าโดยตรง ขอแค่ฉีถิงจี้ลงมือฟันคน นางก็จะรับผิดชอบขัดขวางเฮ้อโซ่วให้เอง
เจี่ยเสวียนและจู้ย่วนที่ยังเดินจากไปได้ไม่ไกลรู้สึกเหมือนหล่นลงไปในหลุมน้ำแข็ง ถึงกับก้าวขาไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว
รู้สึกเพียงว่าหากตนเดินเพิ่มอีกหนึ่งก้าวก็เท่ากับเป็นการถามกระบี่ต่อเซียนกระบี่สองท่านนั้น
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ส่ายหน้า “ข้าอธิบายเหตุผลไปแล้ว”
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่อิ่นกวานว่า”
ลู่จือรู้สึกไม่พอใจใต้เท้าอิ่นกวานอยู่บ้าง จึงแค่นเสียงเย็นชา “ก็มีแต่เจ้านี่แหละที่พูดง่ายที่สุด ฟันคนตายไป เจ้าก็อธิบายเหตุผลไม่ได้แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันเพียงแค่โยนเหล้าหมักร้อยบุปผาไปให้นางหนึ่งกา
ลู่จือรับเหล้าร้อยบุปผามา นั่งยองบนหัวกำแพง แหงนหน้ากระดกดื่มสุราเลิศรส
เฉาจวิ้นฟังด้วยอาการชาไปทั้งหนังหัว
เซียนกระบี่อย่างฉีถิงจี้ ลู่จือนี้ ดูแคลนที่จะจงใจพูดจาอาฆาตมาดร้าย ใช้คำพูดปลุกปั่นให้คนหวาดกลัวจริงๆ
คาดว่าก่อนจะฟันคน เอ่ยเตือนไปก่อนคำหนึ่งก็คงถือว่าไว้หน้ามากพอแล้ว?
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดกับพวกคนที่ยืนอึ้งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับเขยื้อน “อย่ายืนบื้ออยู่เลย รีบกลับบ้านพวกเจ้าไปเถอะ”
แต่ละคนรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ พากันทะยานลมออกไปจากหัวกำแพงเมือง
เฉินผิงอันชูแขนขึ้นส่งเหล้ากาหนึ่งไปให้ฉีถิงจี้ ถามชวนคุยว่า “ทางฝั่งของกุยซวีรื่อจุ้ย กองทัพชายแดนต้าหลีมีคนมาถึงกี่คนแล้ว?”
ฉีถิงจี้ค้อมเอวลงไปรับกาเหล้ามา คิดแล้วก็ทรุดตัวลงไปนั่งขัดสมาธิเสียเลย ตอบว่า “ตอนนี้มีสามแสนหกหมื่นนาย ในบรรดานั้นมีทหารม้าติดอาวุธหนักสองหมื่นนาย ทหารม้าติดอาวุธเบาสองแสนนาย พลทหารราบกลับมีไม่มาก ส่วนจำนวนของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ ทางฝั่งของต้าหลีไม่ได้ป่าวประกาศให้คนนอกรู้”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตกตะลึง “มีมากขนาดนี้แล้วหรือ?”
สนามรบที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยากที่จะใช้สงครามเลี้ยงสงครามได้อีก ในอนาคตหากแนวเส้นการสู้รบถูกลากยาวออกไป การเผาผลาญทรัพยากรของเสบียงทัพย่อมมากเกินกว่าจะประมาณการณ์ โชคดีที่วัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อของผู้ฝึกตนบนภูเขาล้วนถูกศาลบุ๋นและราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ ‘เช่ายืม’ มาเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าได้มาจำนวนเท่าไร
ฉีถิงจี้กล่าว “ได้ยินมาว่าหลังจากนี้จะมีคนทยอยกันมาถึงอีก จำนวนคนของกองทัพชายแดนต้าหลีในทุกวันนี้เป็นรองแค่ราชวงศ์เฉิงกวานของแผ่นดินกลางเท่านั้นแล้ว เพราะต้าหลีออกเดินทางเร็วสุด เรือกระบี่ เรือข้ามฟากขุนเขา เรือข้ามทวีป สามารถเคลื่อนขบวนกันได้อย่างราบรื่นมาก ในบรรดาสิบราชวงศ์ใหญ่ของไพศาล มีอยู่สองสามแห่งที่ต่อให้จะร่ำร้องโอดครวญแค่ไหนก็ยังจำต้องเพิ่มจำนวนกองทัพให้มากขึ้น ส่วนจะมีสถานการณ์ที่เอาคนไร้ความสามารถแทรกเข้ามาเพื่อให้ครบจำนวนหรือไม่ ดูจากทหารฝีมือดีที่ถูกดึงตัวมาจากแคว้นใต้อาณัติของแต่ละฝ่ายแล้ว ก็มีเพียงศาลบุ๋นเท่านั้นที่รู้ชัดเจนดีที่สุด”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “ทุกวันนี้เฉาสืออยู่ที่ไหน?”
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “เขาติดตามบุตรชายที่รักของเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวไปที่ฉิงจีด้วยกัน แต่ได้ยินมาว่าเพียงไม่นานก็ติดตามพวกสหายออกเดินทางไกลไปแล้ว เฉาสือ ฟู่จิ้น หยวนพาง ฉุนชิง อวี้เจวี้ยนฟู กู้ช่าน ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวพวกนี้ หลิวโยวโจวไม่ได้ตามไปด้วย อยู่ที่นั่นต่อกับไหวเฉียน คาดว่าคงต้องเป็นกุมารแจกทรัพย์อีกรอบแล้ว”
บนภูเขามีคำพูดตลกขบขันอย่างหนึ่งแพร่หลายออกไป หากได้เจอหลิวโยวโจวก็อยากจะบอกว่าตัวเองคือพี่น้องแท้ๆ ที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปียิ่งนัก จากนั้นจะได้กลับบ้านไปพบหลิวจวี้เป่าแล้วเรียกเขาว่าบิดาด้วยกัน
ส่วนผู้ฝึกตนหญิง ก็แค่ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับหลิวโยวโจว ก็สามารถเรียกบิดาได้เหมือนกันแล้ว
ฉีถิงจี้ยกกาเหล้าชนกับกาเหล้าของเฉินผิงอันเบาๆ “นอกจากนี้คนที่ช่วยปกป้องมรรคาให้คนหนุ่มสาวพวกนี้อย่างลับๆ เท่าที่ข้ารู้มาก็มีหันเชี่ยวเซ่อแห่งนครจักรพรรดิขาวกับเค่อชิงของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่คนหนึ่ง ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด มองตื้นลึกไม่ออก”
จากนั้นฉีถิงจี้ก็ถือว่าได้ให้ความกระจ่างแก่อิ่นกวานหนุ่ม “ก่อนหน้านี้ที่จั่วโย่วลงใต้ไป ได้เตือนพวกเราไว้ว่า อย่าช่วยให้เสียเรื่อง”
บอกให้ทั้งฉีถิงจี้และลู่จืออย่าช่วยให้เสียเรื่อง
คนที่สามารถพูดกับเซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นนี้ได้ บนโลกมนุษย์ใบนี้ มีไม่มากจริงๆ
เฉาจวิ้นมองด้วยความอิจฉาสุดขีด
เฉินผิงอันเจ้าเด็กนี่ได้ดิบได้ดีอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ เมื่อก่อนมีแค่ความเข้าใจอย่างพร่าเลือนต่ออิ่นกวาน เวลานี้ได้เห็นเฉินผิงอันตอนอยู่กับฉีถิงจี้และลู่จือกับตาตัวเอง ได้สัมผัสกับน้ำหนักของสองคำว่า ‘อิ่นกวาน’ กับตัวเองแล้ว
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ อย่าว่าแต่เว่ยจิ้นที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมได้อย่างเป็นธรรมชาติเลย ที่แท้พวกคนอย่างฉีถิงจี้ ลู่จือ ต่างก็มองเฉินผิงอันเป็นผู้แข็งแกร่งที่เท่าเทียมกับตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว
……
เฝิงเซวี่ยเทาที่ได้ฉายาว่าชิงมี่ ขอบเขตบินทะยานที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระผู้นี้ไม่ได้หนีออกจากสนามรบแห่งนั้นไปเป็นเส้นตรง แต่เลือกจะอ้อมเส้นทางกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ระหว่างทางที่มาเยือนเปลี่ยวร้าง เฝิงเซวี่ยเทาคอยสังเกตสภาพภูมิศาสตร์ของแต่ละสถานที่ที่ผ่าน ถึงขั้นยังวาดภาพแผนที่อย่างละเอียดขึ้นมาด้วย
ทำเอาเหลียงที่มองดูอยู่มีสีหน้าเมตตาปราณี บอกว่าพี่ชิงมี่กับสหายที่เป็นอิ่นกวานของข้าคนนั้นจะต้องพูดคุยกันถูกคอแน่ วันหน้าหากมีโอกาสได้กลับไปไพศาลจะต้องไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วนะ ถึงเวลานั้นเจ้าแค่บอกชื่อข้าอาเหลียงออกไป ไม่ว่าจะเป็นเฉินผิงอันหรือซานจวินใหญ่เว่ยแห่งขุนเขาเหนือก็ต้องเอาสุราดีๆ มารับรองพี่ชิงมี่แน่นอน
เฝิงเซวี่ยเทาคิดว่าระหว่างที่เดินทางกลับเหนือจะไปเยือนกุยซวีฉิงจีที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อนำภาพแผนที่เหล่านั้นไปมอบให้กับยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารของนครจักรพรรดิขาวท่านนั้นด้วย
เขาพลันหยุดร่างนิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!