ลู่เฉินกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง “เฉินผิงอัน เมื่อไหร่จะไปเป็นแขกที่ใต้หล้ามืดสลัวล่ะ ถึงเวลานั้นผินเต้าสามารถช่วยนำทางไปยังป๋ายอวี้จิงได้นะ นครเสินเซียวเอย หอจื่อชี่เอย รับรองว่าผ่านด่านไปได้อย่างราบรื่น เจ้าน่ะไม่รู้อะไร ทุกวันนี้ที่ป๋ายอวี้จิง ในบรรดาคนต่างถิ่นของใต้หล้าแห่งอื่นก็เป็นอิ่นกวานอย่างเจ้านี่แหละที่ทำให้คนสงสัยใคร่รู้และรอคอยมากที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็เป็นหนึ่งในนั้น ยังมีแม่นางหนิงแห่งนครบินทะยาน เฝ่ยหรานแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แน่นอนว่าต้องมีเฉาสือผู้ฝึกยุทธ รวมไปถึงหลิวไฉผู้ฝึกกระบี่ที่ถึงกับสยบกำราบเฉินสืออีได้ แต่สิ่งที่เจ้าหลิวไฉผู้นี้ทำให้ป๋ายอวี้จิงสนใจได้มากที่สุดยังคงเป็นการที่เขาคนเดียวได้ครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อาจารย์ของผินเต้าเป็นผู้ปลูกเองกับมือถึงสองลูก ด้อยกว่าของพวกเจ้าไประดับหนึ่ง”
ในหนึ่งร้อยปีนี้เป็นอวี๋โต้วเจ้าลัทธิรองที่เป็นผู้รับชอบจัดการกิจธุระในป๋ายอวี้จิง ร้อยปีถัดไปก็ควรจะถึงคราวของลู่เฉินที่ควบคุมดูแลใต้หล้ามืดสลัวแล้ว
เฉินผิงอันเงียบไม่คุยด้วย
เรื่องของเรือราตรีทำให้จิตใจของเฉินผิงอันสงบมั่นคงขึ้นได้หลายส่วน อิงตามการเปรียบเปรยของอาจารย์ตน ต่อให้เป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง ก็ยังมองเรือราตรีที่ไปมาอยู่บนมหาสมุทรอย่างไร้ร่องรอยลำนั้นว่าคล้ายกับยุงตัวหนึ่งที่บินอยู่ในบ้านของมนุษย์ธรรมดาซึ่งยากจะสังเกตเห็นได้ นี่หมายความว่าขอแค่เฉินผิงอันระมัดระวังมากพอ ปิดบังร่องรอยในการเดินทางได้ดีพอก็จะมีโอกาสหลบพ้นสายตาของป๋ายอวี้จิงมาได้ นอกจากนี้โอกาสในการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของเฉินผิงอันก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว
ดูเหมือนลู่เฉินจะมองความคิดของเฉินผิงอันออกอย่างปรุโปร่งจึงตบอกดังสนั่นดุจรัวกลอง พูดจาเป็นหลักเป็นฐานน่าเชื่อถือ “เฉินผิงอัน เจ้าคิดดูนะ พวกเราสองคนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เพราะฉะนั้นขอแค่ถึงเวลานั้นเป็นข้าที่ได้ดูแลป๋ายอวี้จิง ต่อให้เจ้าพกกระบี่บินทะยานไปจากใต้หล้าไพศาล โหม่งหัวเข้าไปในป๋ายอวี้จิง ข้าก็ยังสามารถลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงกันตามนี้”
ลู่เฉินมีสีหน้าตกใจเหมือนวัวสันหลังหวะ พูดอย่างลำบากใจว่า “หา? ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าเอาจริงเลยหรือนี่?”
เห็นว่าเฉินผิงอันเริ่มทำตัวเป็นน้ำเต้าตันอีกครั้ง ลู่เฉินก็ได้แต่ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง ดูสิดู ไม่ได้ต่างไปจากเด็กหนุ่มของตรอกหนีผิงในปีนั้นเลย ฝ่ามือข้างหนึ่งตบเข่าเบาๆ เริ่มพูดคุยกับตัวเอง “ผู้ฝึกบำเพ็ญตนที่มักมองเห็นความผิดพลาดของตัวเอง ย่อมจะสอดคล้องกับจุดประสงค์ของการฝึกบำเพ็ญตน กายอยู่ในเรือนของตัวเอง ฝึกจิตให้บริสุทธิ์อยู่อย่างสงบในบ้านเกิด ลืมกายของตนไปก่อน แล้วค่อยเข้าใจความหมายโดยมิต้องเอ่ยวาจา ศาสตราเทพแปรเปลี่ยนสู่ขอบเขตลี้ลับเกินหยั่ง หมื่นสรรพสิ่งกับข้ารวมเป็นหนึ่ง หลุดพ้นจากฝุ่นธุลีกลับคืนสู่ธรรมชาติ…”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วไม่พูดจา
ลู่เฉินยกมือข้างหนึ่งขึ้น คีบใบไม้ใบหนึ่งออกมาจากปราณวิญญาณฟ้าดิน พอปล่อยนิ้วมือออก ใบไม้ก็ลอยกลางอากาศ จากนั้นพลิ้วร่วงลง เขาโบกมือปาดไปหนึ่งครั้ง ใบไม้ถูกพาให้เปลี่ยนวิถีโคจร เส้นทางจึงขยับเข้าใกล้มือของลู่เฉินกว่าเดิมหลายส่วน
เฉินผิงอันรู้ว่าลู่เฉินอยากจะพูดอะไร
นี่ก็คือการที่สันดานมนุษย์ถูก ‘สิ่งอื่น’ กระชากลากถู ดึงให้ขยับมาใกล้ และใน ‘สิ่งอื่น’ นี้ แน่นอนว่าต้องมีสันดานแห่งเทพที่บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ล่อลวงใจคนได้ดีที่สุด ทำให้คน ‘เลื่อมใสใฝ่หา’ มากที่สุด
และยิ่งเป็นวิธีการที่ลึกลับซ่อนเร้นและเป็นธรรมชาติอย่างถึงที่สุดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาลห่างไกลได้สร้างไว้เพื่อเผ่ามนุษย์ เป็นทั้งทางลัดบนเส้นทางการฝึกตน ทั้งยังเป็นขีดจำกัดของคอขวดในการเดินขึ้นสู่ยอดสูงของเซียนดินในอดีต
ผู้ฝึกตนบนโลกมนุษย์มีเส้นทางใต้ฝ่าเท้าให้เดินนับไม่ถ้วน มรรคกถาดั้งเดิม วิชาที่สืบทอดเป็นระบบอันดับหนึ่ง วิถีทางสายรองลำดับรองลงมา วิถีนอกรีตที่ลำดับลดหลั่นลงมาอีกขั้น เวทคาถาพันหมื่น แต่คนที่เดินขึ้นเขาซึ่งได้ครอบครองคำว่าบริสุทธิ์เต็มตัวมีเพียงผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกยุทธเท่านั้น และเส้นทางสองสายนี้ต่างก็ถูกมองเป็นเส้นทางหัวขาดพอดี หนึ่งยากจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตบินทะยานไปได้ อีกหนึ่งมักจะหยุดเดินอยู่ที่ขอบเขตสิบ
และหมื่นปีที่ผ่านมา คนที่ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่อย่างแท้จริง อันที่จริงกลับมีแค่เฉินชิงตูคนเดียวเท่านั้น
เพราะคนพิฆาตมังกรที่มักจะไป ‘พึ่งพิงใต้ชายคาผู้อื่น’ ชอบลงมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์คนนั้นได้เดินบนทางลัดเส้นหนึ่ง ใช้วิธีการสบายๆ เดินเข้าไปยังฟ้าดินกว้างใหญ่ของขอบเขตสิบสี่ ใช้วิชาอภินิหารปณิธานความมุ่งมั่นบางอย่างของลัทธิพุทธ
หลังจากนั้นก็เป็นอดีตอิ่นกวานเซียวสวิ้น เส้นทางการผสานมรรคาของนางห่างจากคำว่าบริสุทธิ์ไปไกลยิ่งกว่า ผสานมรรคากับตำหนักอิงหลิงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เท่ากับว่าผสานมรรคากับดินอวยพร นางแทบจะเป็นฝ่ายสละคำว่าบริสุทธิ์เต็มตัวของผู้ฝึกกระบี่ทิ้งไปด้วยตัวเองแล้ว
จากนั้นต่อมาก็เป็นขอบเขตสิบสี่ของหลิวชาราชาบนบัลลังก์เก่า น่าเสียดายที่ยังไม่ทันเสริมสร้างขอบเขตให้มั่นคงก็ถูกเฉินฉุนอันซัดอีกฝ่ายให้หล่นร่วงลงมาหนึ่งขอบเขตอย่างเด็ดเดี่ยว และผู้รอบรู้ที่มาจากสายหย่าเซิ่ง บนบ่าแบกตะวันจันทราผู้นี้ สุดท้ายแล้วได้สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไรไว้ ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลที่เว้นจากคนบนยอดเขา จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจรู้ได้
ส่วนอวี๋โต้วเจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิง นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ ได้ครอบครองระบบสืบทอดที่บริสุทธิ์ดั้งเดิมที่สุด ขณะเดียวกันยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย ไม่พูดถึงนักพรตซุนที่ให้คนอื่นยืมกระบี่เซียนไท่ป๋ายไปก็เท่ากับว่าเป็นฝ่ายสละขอบเขตสิบสี่ทิ้ง พูดถึงแค่เต๋าเหล่าเอ้อที่ถูกขนานนามให้เป็นผู้ไร้เทียมทานผู้นี้ ก็เพราะว่าเขาได้เดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของวิถีแห่งมรรคกถา ดังนั้นต่อให้เวทกระบี่จะเข้าขั้นเชี่ยวชาญก็มีเพียงกับคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว’ นี้ที่ต้องเสียเปรียบไปไม่น้อย
อาเหลียงที่อยู่ระหว่างคนพิฆาตมังกร ‘เฉินชิงหลิว’ กับอิ่นกวานเซียวสวิ้น แม้จะบอกว่าอาเหลียงหนีไม่พ้นชาติกำเนิดลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ของเขาเข้าใกล้ความบริสุทธิ์ของเฉินชิงตูมากที่สุด ดังนั้นรอกระทั่งขอบเขตของอาเหลียงถดถอย ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้าทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ บุคคลอย่างนักพรตหญิงแห่งใต้หล้ามืดสลัวที่เข้าร่วมการประชุมริมลำคลองครานั้น ต่อให้นางจะไม่ใช่ศัตรูของอาเหลียง ถึงขั้นที่ว่าไม่เคยคบค้าสมาคมกับอาเหลียง แต่นางก็ยังโล่งอกเหมือนๆ กับคนอื่น
ต่อให้ฟ้าดินของใต้หล้าทั้งหลายจะใหญ่แค่ไหน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงนอกฟ้าที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่า เพราะสำหรับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่แล้ว มีแห่งหนใดที่ไปเยือนไม่ได้บ้างเล่า?
หากไม่ทันระวัง การพกกระบี่เดินทวนแม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาอย่างที่กล่าวถึงในตำนานก็ยังมีความเป็นไปได้ หากระหว่างทางที่เดินย้อนทวนกระแสน้ำขึ้นไปมีวิธีการอีกอย่างหนึ่งที่สามารถหลบเลี่ยงสายตาของบรรพจารย์สามลัทธิและของหลี่เซิ่งไปได้ ในปัจจุบันเว้นจากผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ที่มีอายุอยู่มายาวนานและมีคุณสมบัติประสบการณ์โชกโชนที่สุดอย่างป๋ายเจ๋อ บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่และเฒ่าตาบอดแล้ว ฆ่าใครก็คือฆ่าเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
เฉินชิงตูที่เป็นผู้ฝึกกระบี่บนยอดเขาสูงสุดของขอบเขตสิบสี่ หากไม่เป็นเพราะตายไปในศึกภูเขาทัวเยว่ จำต้องสาวไหมใส่ตัวเอง (เปรียบเปรยว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน หาเรื่องใส่ตัว) เลือกผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อย่างนั้นก็คงอยู่ตัวคนเดียวพกกระบี่ออกเดินทางไกลไปแล้วกระมัง?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมมติว่าเฉินชิงตูสามารถพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นอยู่บนเส้นทางแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนี้ได้?
ดังนั้นหากโลกมนุษย์มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบห้าคนใดปรากฏตัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!