ไต้เฮายกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “ตอนนั้นมีเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่กี่คนกันแน่? สองมือนับก็ยังไม่หมด มีตั้งสิบเอ็ดคน หากบวกเฉินอิ่นกวานและเยี่ยนหมิง น่าหลันไฉ่ฮ่วนที่เป็นก่อกำเนิดสองคนนี้เข้าไปด้วย นั่นก็มากถึงสิบสี่คน! ขอถามหน่อยเถอะว่าหากเป็นคนธรรมดาทั่วไป เข้าไปอยู่ในนั้น เผชิญหน้ากับพวกผู้ฝึกกระบี่ที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบเหล่านี้ ใครจะกล้าเปิดปากพูดก่อน? นั่นไม่ใช่การถามกระบี่แล้วจะเป็นอะไร?”
การประชุมครั้งนั้น ด้านในห้องโถงใหญ่เรือนชุนฟาน เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวมีมากมาย
หมี่ฮู่ เว่ยจิ้น ซุนจวี้เฉวียน เกาขุย หยวนชิงสู่ เซี่ยซงฮวา ผูเหอ ซ่งพิ่น เซี่ยจื้อ ลี่ไฉ่ บวกกับเส้าอวิ๋นเหยียนที่เป็นเจ้าบ้านอีกหนึ่งคน
และยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดสองคนอย่างเยี่ยนหมิง น่าหลันไฉ่ฮ่วน
เซียนกระบี่สิบเอ็ดท่าน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดสองคน
ไต้เฮาเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ข้ากับอิ่นกวานที่อายุน้อยผู้นั้น ต้องเรียกว่าแค่เจอหน้าก็เหมือนคนเคยรู้จักกันมานาน พูดคุยกันอย่างถูกคอ เฉินอิ่นกวานอายุไม่มาก แต่คำพูดคำจาทุกคำล้วนมีความรู้ซ่อนอยู่”
เจี่ยเสวียนจึงได้แต่ฝืนใจเอ่ยคล้อยตามไปหนึ่งประโยค “ช่วยเปิดฉากการเริ่มต้นที่ดีให้กับการประชุมในเรือนชุนฟานครั้งนั้น ถึงได้ทำให้ขั้นตอนในภายหลังพัฒนาไปอย่างราบรื่น พี่ใหญ่ไต้มีคุณความชอบอย่างที่มิอาจมองข้ามได้”
ไต้เฮาพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ คนทำการค้าที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของเหรียญทองแดงอย่างพวกเราก็ถือว่าได้พยายามสุดความสามารถที่มีเพื่อช่วยเป็นกำลังเสริมในกลยุทธของสงครามในภายหลังแล้ว”
ส่วนความจริงเป็นอย่างไร ถึงอย่างไรพวกผู้ดูแลเรือข้ามฟากที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ตอนนี้ต่างก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย แน่นอนว่าไต้เฮาจะพูดให้น่าฟังอย่างไรก็ได้
ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่ไต้เฮาลุกขึ้นเปิดปากเอ่ยถ้อยคำ ‘เป็นกลาง’ ที่เป็นดั่งสำลีซ่อนเข็มแล้ว ก็ถูกอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นพูดจาเสียดสีไปหนึ่งคำรบ ผลคือเก้าอี้ใต้ก้นของผู้เฒ่าก็ราวกับมีกระบี่บินปักไว้เต็มไปหมด ให้ตายอย่างไรก็ไม่กล้านั่งลงอีก
อยู่ดีๆ ผู้ดูแลเฒ่าก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “ทำการค้าก็ดี ลงมือทำเรื่องต่างๆ ก็ดี ล้วนต้องมีจิตสำนึกให้มากหน่อย”
เหลือบตามองชายหนุ่มหญิงสาวคู่นั้น ไต้เฮาก็ยิ้มเอ่ยว่า “เสียเปรียบแล้วก็ให้จำไว้เป็นบทเรียน ไม่อย่างนั้นความยากลำบากที่กล้ำกลืนมาย่อมต้องเสียเปล่า คราวหน้าออกจากสำนักไปอยู่ข้างนอก ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมาคอยเอาใจใคร”
คนหนึ่งคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของหอโหยวเซียน อีกคนหนึ่งคือเทพธิดาของภูเขาหงซิ่วซื่อสุ่ย ก่อนหน้าจะไปเยือนซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนอยู่บนเรือข้ามฟากก็ชอบส่งสายตาให้กันไปมา คิดว่าตัวเองเป็นคู่รักเทพเซียนกันจริงๆ แล้วหรือไร?
ไต้เฮาติดตามเรือข้ามฟากไท่เกิงลำนี้ท่องไปทั่วยุทธภพด้านนอกตลอดทั้งปี มีคนแบบใดบ้างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน แม้จะบอกว่าการฝึกตนของผู้ฝึกตนเฒ่าไม่ได้เรื่อง เพียงแต่สายตาของเขานั้นเฉียบคมเพียงใด ย่อมต้องมองเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยของชายหญิงคู่นั้น
ไต้เฮาจุ๊ปากพูด “ดูท่าที่โดนตีไปจะเสียเปล่า”
คนหนุ่มสาวสองคนนี้ไม่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี แต่ความจองหองอวดดีกลับไม่ขาดไปเลย บางทีนี่ก็คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าสุนัขไม่เปลี่ยนนิสัยกินอาจมกระมัง
ชีวิตไม่ใช่ลานฆ่าหมาในทุกหนทุกแห่ง ไม่มีเลือดหมามากมายขนาดนั้น
แต่วิถีทางโลกกลับมีลานฆ่าหมาอยู่ทั่วทุกที่ บนพื้นเกลื่อนนองไปด้วยเลือดหมา
ไต้เฮาใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “น้องเจี่ย ข้าไม่สนิทกับจู้ย่วนและภูเขาหงซิ่ง ก็คงไม่ทำตัวเป็นคนเลวในสายตาใครแล้ว แต่อยู่กับเจ้ากลับยินดีปากมากพูดเตือนเจ้าสักคำ วันหน้าหากต้องปกป้องมรรคาให้คนอื่น ท่องอยู่ล่างภูเขาอย่าได้ปล่อยให้คนโง่เอาดินเหลืองมาป้ายเต็มกางเกงตัวเอง ถอดกางเกงเดี๋ยวคนอื่นเห็นก้น แต่หากไม่ถอด ยื่นมือไปเช็ดก็คือท่าทีไม่สุภาพที่ต้องล้วงควักเป้ากางเกง ถึงเวลานั้นจะถอดหรือไม่ถอดกางเกง ในสายตาของคนอื่นแล้วก็ล้วนถือเป็นเรื่องตลกทั้งสิ้น”
เจี่ยเสวียนเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “คำพูดของพี่ไต้หยาบ แต่หลักการไม่หยาบเลย”
ไต้เฮาลูบหนวดยิ้ม “ธัญพืชหยาบ (อาหารประเภทข้าวโพด เกาเหลียง ถั่วเป็นต้น ไม่รวมข้าว) ช่วยบำรุงกระเพาะ คำพูดหยาบ (ในที่นี้หมายถึงคำพูดที่ไม่เสริมเติมแต่ง เป็นคำปกติทั่วไป แม้จะตรงไปตรงมาแต่มีเหตุผล) ช่วยให้คนอยู่รอด”
ทางฝั่งของซากปรักศาลบรรพจารย์สำนักอวี่หลงที่กำลังมีการก่อสร้าง อวิ๋นเชียนยืนอยู่บนยอดเขา นางรู้สึกปลงอนิจจังยิ่งนัก
ขุนเขาเขียวยังอยู่ก็ไม่ต้องกลุ้มว่าจะไม่มีฟืนเผาไฟ
เป็นเช่นนี้จริงเสียด้วย อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นพูดถูกแล้ว
หากไม่เป็นเพราะคำเตือนของคนหนุ่มในปีนั้น ควันธูปที่สืบทอดต่อเนื่องยาวนานมาพันปีของสำนักอวี่หลงก็คงต้องขาดสะบั้นด้วยน้ำมือของสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลุ่มนั้นแล้ว
จดหมายลับฉบับหนึ่งที่ส่งไปยังตำหนักสุ่ยจิงครั้งนั้น บนกระดาษเขียนไว้แค่สามคำว่า ย้ายขึ้นเหนือ
เคยถูกศิษย์พี่หญิงโยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับถูกอวิ๋นเชียนเก็บกลับมา แล้วเก็บรักษาเอาไว้อย่างระมัดระวัง
ในจดหมายฉบับนั้นนอกจากตัวอักษร นอกจากตราประทับของเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนแล้ว ยังมีตราประทับอักษรโบราณอีกสองคำว่า อิ่นกวาน
ตอนนั้นนางพาผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลหกสิบสองคนจากไปได้สำเร็จ ในบรรดานั้นมีเซียนดินอยู่สามคน การเดินทางหลังจากนั้นก็ได้ทยอยรับลูกศิษย์มาอีกสิบกว่าคน บวกกับผู้ฝึกตนของสำนักอวี่หลงที่ได้แยกเกาะเป็นของตัวเองได้กลับมารวมตัวกัน คิดคำนวณรวมๆ แล้วก็ยังไม่ถึงร้อยคน ทว่านี่ก็คือรากฐานทั้งหมดของสำนักอวี่หลงในทุกวันนี้แล้ว
ตอนนี้อวิ๋นเชียนกำลังรอคอยคนผู้หนึ่ง หรือก็คือเจ้าสำนักอวี่หลงในอนาคต ผู้ฝึกกระบี่หญิงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ น่าหลันไฉ่ฮ่วน
ทุกวันนี้น่าหลันไฉ่ฮ่วนได้เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว
ปีนั้นน่าหลันไฉ่ฮ่วนได้เสนอการค้าครั้งนี้ อวิ๋นเชียนเองก็ไม่ใช่คนประเภทที่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน แล้วนับประสาอะไรกับที่หากว่ากันตามเหตุตามผล ตามหลักส่วนรวมและส่วนตัวแล้ว อวิ๋นเชียนก็ล้วนยินดีต้อนรับให้นางมาเป็นเจ้าประมุขของสำนักอวี่หลง
บนเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่กำลังจะไปถึงเมืองหลวงต้าหลี ซ่งจี๋ซินอ๋องเจ้าเมืองต้าหลียิ้มเอ่ย “จื้อกุย เจ้าเป็นถึงขอบเขตบินทะยานแล้ว เรื่องสำมะโนครัว จะให้ข้าช่วยเจ้าเปลี่ยนเมื่อไหร่?”
ที่ฝ่ายครัวเรือนของที่ว่าการอำเภอไหวหวง สัญชาติของจื้อกุยยังเป็นสัญชาติไพร่ซึ่งมีสถานะเป็นสาวใช้ แน่นอนว่าที่เขต ที่จังหวัดไปจนถึงกรมพิธีการต้าหลีย่อมต้องอิงตามนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!