คนรู้จักเก่าแก่สองคนที่อายุแตกต่างแต่กลับเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง เวลานี้ต่างก็กำลังนั่งยองอยู่บนหัวกำแพง อีกทั้งต่างก็ห่อไหล่ เอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อเหมือนกัน มองไปยังซากปรักสนามรบทางทิศใต้ร่วมกัน
ลู่เฉินหันหน้ามามองคนหนุ่มที่อยู่ข้างกาย ยิ้มเอ่ย “หากเวลานี้พวกเราสองคนเอาอย่างผู้อาวุโสหยาง ต่างคนต่างหยิบเอากระบอกยาสูบมาพ่นควันโขมง คงจะสบายอารมณ์ยิ่งกว่านี้ ขึ้นไปบนหัวกำแพงสูง ทอดสายตามองไกลไปหมื่นลี้ ถ่อมตัวแด่ใต้หล้า ละความทุกข์เบิกบานใจ”
ผู้เฒ่าที่อยู่เรือนหลังของร้านยาตระกูลหยางเคยเยาะหยันบรรพจารย์สามลัทธิว่าเป็นพวกผีซิว (ปี่เซี๊ยะ) ที่ตัวใหญ่ที่สุดในฟ้าดิน ดีแต่กินไม่รู้จักคาย
สิ่งที่เฉินผิงอันมองเห็นในสายตากลับเป็นเพียงต้นหญ้าหร็อมแหร็ม ปรารณกระบี่ส่ายไหว ราวกับว่ามองเห็นกระดูกขาวกองกันเป็นภูเขา ปราณกระบี่พุ่งทะยานสู่ชั้นฟ้า ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่เลือดท่วมเต็มตัวปล่อยเส้นผมสยายอยู่กลางสนามรบ เคยเอนกายนอนเมามายพิงกระถางธูปอยู่ตรงระเบียง ในมือถือจอกน้ำพุสุรา เซียนกระบี่ผู้มีทั้งชื่อเสียงและมาดสง่างาม ราวกับว่าได้มองเห็นการเดินนำไปก่อนก้าวหนึ่งของโฉวเหมียวที่คฤหาสน์หลบร้อน ทว่าเขากลับจากไปไม่หวนคืน ราวกับมองเห็นเกาขุยที่เรียนกระบี่แรกในชีวิตนี้มาจากบรรพจารย์ เป็นเหตุให้กระบี่สุดท้ายจึงเป็นการถามกระบี่ต่อบรรพจารย์หลงจวิน มีเซียนกระบี่หญิงโจวเฉิง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอินเฉินที่มีใจพร้อมตายมานานแล้ว มีเถาเหวินบนสนามรบที่มีเพียงความตายเท่านั้นถึงจะช่วยปลดปล่อยเขาได้ และยังมีผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่มากความรู้ความสามารถอีกมากมายที่หันหลังให้กับหัวกำแพงเมือง หันหน้าเข้าหาทิศใต้ เป็นส่งกระบี่ ตายหยุดกระบี่…
ลู่เฉินมองอิ่นกวานหนุ่มที่บนใบหน้าไม่ได้แสดงความกลัดกลุ้มทุกข์ใจแม้แต่น้อยคนนี้แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน เจ้าอายุน้อยๆ ก็อยู่ในตำแหน่งสูงแล้ว ช่วยสร้างคุณูปการค้ำฟ้ายันมหาสมุทรอันใหญ่หลวงให้กับศาลบุ๋น ใครเล่าจะกล้าเชื่อ บอกตามตรงนะ ปีนั้นหากอยู่ในเมืองเล็กแล้วมีใครบอกข้าแต่แรกว่าจะมีเรื่องในวันนี้เกิดขึ้น ให้ตายข้าก็ไม่เชื่อหรอก”
อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้น ลู่เฉินเคยพาเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ออกจากสำนักโองการเทพย้ายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาไปพบ ‘เฉินผิงอัน’ หลายคนที่ไม่เหมือนกัน มีเฉินผิงอันที่อาศัยความมานะอุตสาหะกลายไปเป็นบุรุษที่ครอบครัวมีอันจะกิน ซ่อมแซมบ้านบรรพบุรุษ และยังมีกิจการอยู่ในตัวจังหวัด มีเพียงช่วงชิงหมิงหรือสิ้นปีเท่านั้นที่ถึงจะพาคนในครอบครัวกลับบ้านเกิดมาเซ่นไหว้หน้าหลุมศพ มีเฉินผิงอันที่อาศัยความเฉลียวฉลาดหาเลี้ยงชีพ กลายไปเป็นพ่อค้าร้านเล็กๆ ที่พอจะมีกำลังทรัพย์อยู่บ้าง มีเฉินผิงอันที่เป็นลูกศิษย์เตาเผามังกรต่อ ฝีมือของเขายิ่งนานก็ยิ่งขัดเกลาได้อย่างชำนาญ สุดท้ายจึงได้กลายเป็นช่างของเตาเผามังกร แล้วก็มีเฉินผิงอันที่เป็นชายเร่ร่อนไม่โทษคนไม่บ่นฟ้า ใช้ชีวิตเอ้อระเหยลอยชายอยู่ไปวันๆ แม้จะมีจิตเป็นกุศล แต่กลับไม่มีความสามารถที่จะสร้างกุศล นานปีแล้วปีเล่า กลายไปเป็นตัวตลกของชาวบ้านในเมืองเล็ก และยังมีเฉินผิงอันที่เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ช่วงชิงตำแหน่งจวี่เหรินมาได้ กลายไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียน ตลอดชีวิตไม่แต่งภรรยา ชั่วชีวิตนี้สถานที่ไกลที่สุดที่เคยไปเยือนก็คือที่ว่าการจังหวัดและเมืองหงจู๋ มักจะยืนอยู่หน้าตรอกเหม่อมองท้องฟ้าอยู่เป็นประจำ
ลู่เฉินถึงกับเริ่มต้มเหล้า จึงง่วนอยู่กับตัวเอง เขาที่ก้มหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ยามที่หิมะกำลังจะตกลงมาจากฟ้า เหมาะให้ดื่มสุราเป็นที่สุด เพราะถึงอย่างไรตนเองในวันนี้ทุกๆ คนก็ล้วนไม่ใช่ตัวเองของเมื่อวานแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าไม่ใช่เจ้าลัทธิลู่เสียหน่อย ค้ำฟ้ายันมหาสมุทรอะไร ฟังแล้วน่าตกใจนัก เป็นเรื่องที่แค่คิดก็ยังไม่กล้าเลย แต่บ้านเกิดของข้ามีคำพูดเก่าแก่ประโยคหนึ่งที่กล่าวได้ดี เรี่ยวแรงสามารถเอาชนะความยากจน ความขยันสามารถเอาชนะเภทภัย มีเหลือกินเหลือใช้ทุกปี ทุกครั้งที่ถึงด่านปีก็จะสามารถผ่านพ้นแต่ละปีไปได้ด้วยดี ไม่ต้องกลัดกลุ้มกังวล”
ลู่เฉินพยักหน้า “ขนบธรรมเนียมของชาวบ้านในเมืองเล็กเรียบง่ายบริสุทธิ์ คำพูดโบร่ำโบราณก็มีมากมาย ข้าเคยสัมผัสกับตัวเองมาก่อน ได้ประโยชน์มาไม่น้อย และข้าเองก็เป็นเพราะวางแผงดูดวงอยู่ในบ้านเกิดเจ้าได้ไม่นานพอ จึงได้เรียนรู้มาแค่ผิวเผินเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้น ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเยือนนักพรตซุนที่อารามเสวียนตูใหญ่ ใครสอนใครให้วางตัวเป็นคนก็ยังไม่แน่เลยนะ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของลู่เฉินแม่นยำ หรือเป็นเพราะเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนี้ร่ายวิชาอภินิหารกันแน่ ถึงได้มีหิมะตกลงมาจริงๆ อีกทั้งยังเป็นหิมะใหญ่เท่าขนห่านอย่างสมชื่ออีกด้วย เกล็ดหิมะใหญ่เท่าฝ่ามือ คนต่างถิ่นของไพศาลที่มาหาประสบการณ์บนหัวกำแพงเมืองแห่งนี้อย่างพวกเว่ยจิ้น เฉาจวิ้น แน่นอนว่าตกตะลึงระคนยินดีเป็นทบทวี ยามที่หิมะใหญ่ตกลงมา ทัศนียภาพจะยิ่งงดงามชวนมอง ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ผู้คนบางตา ลมพัดแรงอากาศหนาวเย็น เกล็ดหิมะเล็กๆ ปิดผนึกภูเขาใหญ่และแม่น้ำ
ลู่เฉินที่ง่วนอยู่กับการต้มเหล้าเอ่ยปลงอนิจจังขึ้นมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ “ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ทางต้องเดินให้มั่นคง ข้าวต้องกินช้าๆ คำพูดต้องพูดให้ดี รู้จักทำดีกับคนอื่น หาเงินด้วยความปรองดอง ทะเลาะเบาะแว้ง ตีรันฟันแทง ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก เฉินผิงอัน เจ้าว่าใช่เหตุผลนี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าพลางพยักหน้ารับ “เวลานี้สถานที่นี้คำพูดนี้ ฟังแล้วมีเหตุผลมากเป็นพิเศษ”
ข้างกายของตนก็คือหนิงเหยา ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างกายลู่เฉินก็คือสิงกวานหาวซู่
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้ฉีถิงจี้และลู่จือต่างก็ยังไม่ได้ออกไปจากหัวกำแพงเมือง
คนทั้งสี่ต่างก็เป็นคนกันเองของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เหลือเพียงเจ้าคนที่บ้านเกิดอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่กลับวิ่งไปเป็นเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวผู้นี้เท่านั้นที่เป็นคนนอกซึ่งไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นสักเท่าไร
ดังนั้นก่อนที่ลู่เฉินจะเอ่ยประโยคนี้กับเฉินผิงอันจึงแอบใช้เสียงในใจสอบถามหาวซู่ว่า “ใต้เท้าสิงกวาน หากใต้เท้าอิ่นกวานให้เจ้าฟันข้า เจ้าจะฟันหรือไม่ฟัน?”
หาวซู่ให้คำตอบอย่างไม่ลังเล “อยู่ที่อื่น เฉินผิงอันพูดอะไรล้วนไม่ได้ผล อยู่ที่นี่ ข้าย่อมต้องพิจารณาอย่างจริงจัง”
อันที่จริงลู่เฉินมีอคติต่อเรื่องของการประลองเวทคาถาบนภูเขาอย่างถึงที่สุด เว้นเสียจากว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู หรือยกตัวอย่างเช่นไปงัดข้อกับเทวบุตรมารนอกโลกที่ฆ่าอย่างไรก็ไม่หมดสิ้นที่ฟ้านอกฟ้า ปีนั้นหากไม่เป็นเพราะช่วยศิษย์พี่ปกป้องมรรคาถึงจำต้องหวนกลับมาบ้านเกิดอย่างใต้หล้าไพศาล เขาก็ไม่สนใจหรอกว่าฉีจิ้งชุนจะสามารถก่อตั้งลัทธิตั้งตนเป็นบรรพจารย์ได้หรือไม่ บนโลกใบนี้มีเพิ่มมาหนึ่งก็ไม่ถือว่ามาก ลดน้อยลงไปหนึ่งก็ไม่ถือว่าน้อย ฟ้าดินก็ยังคงเป็นฟ้าดินแห่งนั้น วิถีทางโลกก็ยังคงเป็นวิถีทางโลกอยู่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย
แต่คนที่เกียจคร้านอย่างลู่เฉินก็มีคนที่เลื่อมใส ยกตัวอย่างเช่นความรักเดียวใจเดียวและความดึงดันของอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู นักพรตซุนบอกว่าเอากระบี่เซียนไท่ป๋ายให้ยืม แต่แท้จริงแล้วเท่ากับมอบให้ป๋ายเหย่ คืออิสระเสรีอย่างหนึ่งที่มีความองอาจห้าวเหิม ในฐานะบุคคลอันดับที่ห้าของใต้หล้ามืดสลัวที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน และยังเป็นผู้นำของสายเซียนกระบี่แห่งลัทธิเต๋า หากเจ้าอารามผู้เฒ่าซุนไหวจงถือครองไท่ป๋าย เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ ศิษย์พี่รองผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของลู่เฉินก็คงต้องทำตัวให้กระฉับกระเฉงเพื่อต่อสู้กับอีกฝ่ายให้ดีๆ สักตั้ง
ส่วนเฉินชิงตูเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่ใช้ความไร้อิสระของคนคนหนึ่งแลกเปลี่ยนมาด้วยอิสระเสรีอันยิ่งใหญ่ในอนาคตอีกพันปีหมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ในใต้หล้าห้าสี ไยจะไม่ใช่อิสระเสรีที่ยิ่งใหญ่ของใจคน
ส่วนเฉินผิงอันที่ใช้สถานะของอิ่นกวานผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือนั้น เป็นการกระทำที่จำใจ จิตใจมิอาจเปลี่ยนแปลง
ความเสียดายเพียงหนึ่งเดียวของลู่เฉินก็คือเฉินผิงอันไม่อาจสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งกับมือตัวเองแล้วแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองได้ ไม่ว่าเฉินผิงอันจะแกะสลักตัวอักษรตัวใดลงไป พูดถึงแค่ลายมือและความหมายนั้น ลู่เฉินก็รู้สึกว่าต่อให้ได้แค่มองไม่กี่ทีก็คุ้มค่าให้ตนคอยแอบดอดหนีออกจากป๋ายอวี้จิงมาที่นี่บ่อยๆ แล้ว
ลู่เฉินยื่นเหล้าถ้วยหนึ่งไปให้กับเฉินผิงอัน “มองดูภาพบรรยากาศการนั่งลงถกเหตุผลของเจ้าเมื่อครู่นี้แล้ว มีหวังที่จะได้เลื่อนเป็นเซียนเหริน มีความหวังมากแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย ข้าอยู่ที่นี่ขอแสดงความยินดีก่อนล่วงหน้า ส่วนของขวัญร่วมแสดงความยินดีนั้นคงต้องติดเอาไว้ก่อน เหลือค้างไว้สักสองสามปี วันหน้าเมื่อเจ้าไปใต้หล้ามืดสลัวก็ไปขอจากข้ามาได้เลย ข้าจะไปรีดไถเอามาจากนครและหอเรือนต่างๆ ของป๋ายอวี้จิงที่สนิทสนมกันก็แล้วกัน”
ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะไม่มีจิตใจที่ระแวดระวังอะไร เขารับถ้วยเหล้ามาแล้วก็ดื่มทันที ลู่เฉินชูแขนขึ้นสูง ยื่นเหล้าอีกถ้วยหนึ่งไปให้หาวซู่ที่อยู่ข้างกาย อิ่นกวานและสิงกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็รับเอาไว้แล้ว ลู่เฉินโน้มตัวไปด้านหน้า ถามว่า “แม่นางหนิง เจ้าเองก็เอาสักถ้วยไหม? เป็นเหล้าหมักเซียนที่มีเฉพาะของนครชิงชุ่ยแห่งป๋ายอวี้จิง เจียงอวิ๋นเซิงเพิ่งจะรับตำแหน่งเจ้านคร ข้าอุตส่าห์ไปขอมาอย่างยากลำบาก เจียงอวิ๋นเซิงก็คือนักพรตน้อยที่เฝ้าประตูอยู่กับเซียนกระบี่ใหญ่จางลู่น่ะ ทุกวันนี้เจ้าลูกกระต่ายผู้นี้นับว่าร่ำรวยใหญ่แล้ว ถึงกับกล้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา พร่ำพูดไม่ขาดปากว่าทำทุกอย่างไปตามหน้าที่”
หนิงเหยาเอ่ย “ไม่ต้อง”
ลู่เฉินเองก็ไม่กล้าบังคับในเรื่องนี้ นักพรตเฒ่าจำนวนไม่น้อยของป๋ายอวี้จิง ทุกวันนี้ต่างก็กังวลว่าอยู่ในใต้หล้าห้าสีแห่งนั้น ในอนาคตวันใดวันหนึ่งกองกำลังลัทธิเต๋าจากฝ่ายต่างๆ ของใต้หล้ามืดสลัวจะถูกหนิงเหยาพกกระบี่ไปไล่ฆ่ากวาดล้างพวกเขาจนหมดสิ้นหรือไม่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!