เฉินผิงอันถอนสายตากลับ “ดังนั้นมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ ถึงไม่มีชีวิตอิสระเสรี เดินทางท่องเที่ยวไปไกลอย่างสุขสบายใจ เป็นดั่งเรือที่ไม่ต้องผูกเชือก ไร้สิ่งใดให้เป็นห่วงพะวงหาได้อย่างเจ้าลัทธิลู่อย่างไรเล่า”
ลู่เฉินหัวเราะคิกคัก “ลู่เฉินของวันนี้และของพรุ่งนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีอิสระได้หลายส่วน แต่ชีหยวนลี่ (หมายถึงจวงจื่อ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของจีนในสมัยโบราณ) ในอดีตก็ยังต้องยืมเงินมาจากขุนนางที่ดูแลลำคลอง เขาเองก็เคยยากจนสิ้นหวังเหมือนเจ้ามาก่อน ยากที่จะทำความปรารถนาให้เป็นจริงมาเนิ่นนาน ทุกเรื่องทุกเวลาล้วนไร้อิสระ โชคดีที่ข้าคนนี้เป็นคนมองได้กว้าง ปลงได้ตก เชี่ยวชาญการหาความสุขท่ามกลางความทุกข์แล้วปรับตัวเข้ากับมัน ดังนั้นข้าในทุกๆ วันพรุ่งนี้จึงคู่ควรให้ตัวเองรอคอยคาดหวัง”
เฉินผิงอันเอ่ย “ต้องเรียนรู้การฝึกฝนจิตใจกับนักพรตลู่ให้มากแล้ว”
“เรื่องของการฝึกฝนอบรมจิตใจ ใครก็อย่าได้เรียนรู้เอาอย่างข้าเลย”
ลู่เฉินโบกมือ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็เอ่ยว่า “ป๋ายเหย่เองก็ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว มีภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ สร้างวีรกรรมอันโอ่อ่าตระการตาให้แก่ใต้หล้า แม้แต่อาจารย์ของข้าก็ยังเอ่ยว่ามีมาดอันองอาจโดดเด่นของเซียนกระบี่”
เฉินผิงอันพยักหน้า “อาจารย์เล่าให้ฟังแล้ว”
ลู่เฉินทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจอย่างจริงใจ “อันที่จริงเรื่องของการตั้งชื่อนี้ พวกเราสองคนต่างก็เป็นมือดีอันดับหนึ่ง น่าเสียดายที่ข้าพกเอาชื่อกระบี่บินมาสิบกว่าชื่อ ตั้งใจไปเยือนอารามเสวียนตูใหญ่โดยเฉพาะ นักพรตซุนเองก็กระตือรือร้นรับรองแขกยิ่งนัก ถึงกับขยุ้มเข็มขัดวิ่งออกจากห้องส้วมมาพบข้าอย่างรีบร้อน”
เฉินผิงอันถาม “นักพรตซุนมีโอกาสเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่หรือไม่?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “ไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนใด อันที่จริงก็ล้วนมีโอกาสในการผสานมรรคา เพียงแต่ว่ายิ่งขอบเขตมั่งคงสมบูรณ์ ตบะยิ่งอยู่สูงบนยอดเขามากเท่าไร คอขวดก็จะยิ่งใหญ่มากเท่านั้น นี่คือตรรกะอย่างหนึ่ง”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ได้พูดอะไรต่อ ยามอยู่กับคนสองสามคน เขามักจะมีความรู้สึกหลอกตาอยู่เสมอ ครั้งแรกคือตอนได้พบอาเหลียง แรกเริ่มมักจะรู้สึกว่าตัวเองได้เจอกับนักต้มตุ๋นในยุทธภพคนหนึ่ง อีกฝ่ายชอบพูดจาปากเปราะปากไร้หูรูดทุกวัน ทำให้รู้สึกว่าหากพูดคำหนึ่งไม่เข้าหู คำพูดใดเกินกว่าเหตุไปก็อาจจะถูกจูเหอต่อยจนล้มคว่ำ
ตอนอยู่บนเรือราตรี อู๋ซวงเจี้ยงที่เพิ่งผ่านศึกใหญ่มาหมาดๆ นั่งดื่มสุราร่วมโต๊ะ สุภาพอ่อนโยน
ตอนอยู่ท่าเรือพ่านสุ่ย ยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารอย่างเจิ้งจวีจง ทั่วร่างกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของบัณฑิต
นอกจากนี้ก็เป็นลู่เฉินที่ได้รู้จักมาตั้งแต่แรกเริ่มสุดคนนี้
เฉินผิงอันไม่มีทางรู้เลยว่าลู่เฉินคิดอะไรอยู่กันแน่ แล้วจะทำอะไรต่อ เพราะไม่มีเส้นสายใดๆ ให้สืบเสาะ
ลู่เฉินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “สายตาของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสช่างดีจริงๆ”
ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มในอดีตเคร่งขรึมเหมือนคนแก่เกินไป ระมัดระวังรอบคอบเกินไป
มีเพียงเฉินชิงตูที่รู้สึกว่าเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่เขาเห็นอยู่ในสายตา เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตอันสดใส ร่าเริงกระตือรือร้น
ลู่เฉินเป็นฝ่ายพูดถึงผู้ฝึกกระบี่กลุ่มที่เดินทางไกลไปเยือนมืดสลัว “สหายสองคนนั้นของเจ้า ต่งถ่านดำไปอยู่ที่นครเสินเซียว แต่เพราะนิสัยแข็งกร้าวจึงไม่ยินยอมถูกรับเข้าไปอยู่ในทำเนียบขุนนางเต๋าของป๋ายอวี้จิง เจ้าอ้วนเยี่ยนไปอยู่อารามเสวียนตูใหญ่ของนักพรตซุน ต่างก็ปรับตัวได้ มีชีวิตที่ดี”
ผู้ฝึกกระบี่รวมทั้งสิ้นสิบหกคนที่มีก่อกำเนิดผู้เฒ่าเฉิงเฉวียนเป็นผู้นำได้ติดตามภูเขาห้อยหัวบินทะยานไปยังใต้หล้ามืดสลัว สุดท้ายต่างคนต่างแยกย้ายกันไป เก้าคนในนั้นเลือกที่จะฝึกกระบี่อยู่ที่ป๋ายอวี้จิง ส่วนเฉิงเฉวียนกลับตรงไปอยู่ตำหนักสุ้ยฉูของอู๋ซวงเจี้ยงอย่างที่เหนือการคาดคิดของทุกคน แล้วยังเข้าทำเนียบสำนัก รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงาน เพราะผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเก็บความลับเรื่องหนึ่งไว้กับตัว เขาได้นำกล่องกระบี่ที่ห่อหุ้มด้วยผ้าฝ้ายใบหนึ่งไปวางไว้บนหินพักมังกรกลางน้ำของหอกว้านเชวี่ย
“เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือเวทย้ายภูเขา คือวิชาอภินิหารเคลื่อนย้ายมหาสมุทรที่แท้จริง?”
“หวังว่าเจ้าลัทธิลู่จะไม่ขี้เหนียว ยอมถ่ายทอดความรู้ให้”
“ในสายตาของข้า อันที่จริงเจ้าเชี่ยวชาญวิชานี้มานานแล้ว ก็เหมือนห้องสองห้องในบ้านหลังหนึ่งมีคนคนหนึ่งคอยย้ายข้าวของอย่างต่อเนื่อง ทำบ่อยก็ยิ่งเกิดความเคยชิน ยิ่งนานก็ยิ่งคล่องมือ”
“เจ้าลัทธิลู่พูดจาลึกลับไปหน่อย ฟังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร”
“อีกเดี๋ยวก็จะเข้าใจแล้ว ไม่ว่าเรื่องราวอันงดงามใดๆ ล้วนไม่ได้มีอยู่แค่เฉพาะบนบุปผาดอกเดียวเท่านั้น”
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ต่างคนต่างดื่มเหล้าของตัวเอง
เฉินผิงอันกำลังคิดว่าหากวันหน้าไปที่ใต้หล้ามืดสลัวจริงๆ ควรจะอำพรางตัวตนอย่างไร
ลู่เฉินกำลังรอคอยว่าหากวันใดเฉินผิงอันมาถึงใต้หล้ามืดสลัว จะเป็นความครึกครื้นแบบใด
เหล่ากระบี่ผู้สืบทอดทั้งหลายของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง ก่อนหน้านี้ต่างคนต่างก็ติดตามฉีถิงจี้และลู่จือออกมาจากท่าเรือทั้งสองแห่ง เพียงแต่ว่าขี่กระบี่ตามหลังมาค่อนข้างห่างไกล ภายใต้การคุ้มกันของเส้าอวิ๋นเหยียนกับถัวเหยียนฮูหยิน เวลานี้ถึงเพิ่งจะขี่กระบี่มาถึงหัวกำแพงเมือง ต่างก็พลิ้วกายลงบนหัวกำแพงเมืองอีกแถบหนึ่ง เฉินผิงอันมองไปไกลๆ พยักหน้าทักทายเส้าอวิ๋นเหยียน ส่วนกระบี่ที่เหลือ คนส่วนใหญ่เขาล้วนรู้จัก เพราะตอนที่อยู่ท่าเรือเกาะนกแก้วเคยได้เจอหน้าสองสามคน เด็กสาวที่มัดผมหางม้าชื่อว่าอู๋ม่านเหยียน นางคือคนที่มีคุณสมบัติด้านการฝึกกระบี่ดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาสิบแปดกระบี่ ข้างกายเด็กสาวยังมีเฮ้อชิวเซิงคนวัยเดียวกันที่เคยป่าวประกาศว่าในอนาคตจะมาถามกระบี่กับเขา
ถัวเหยียนฮูหยินมายืนอยู่ข้างกายลู่จือ ยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย จึงขยับเท้าไปหลบอยู่ด้านหลังลู่จือเสียเลย พยายามอยู่ให้ห่างจากนักพรตคนนั้นหน่อย นางใช้เสียงในใจถามอย่างขลาดกลัวว่า “นักพรตคือคนผู้นั้นหรือ?”
ลู่จือพยักหน้า “ไม่แน่ว่าอาจได้ตีกัน ถึงเวลานั้นเจ้าก็ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แค่ต้องเผ่นหนีไปให้ไกลหน่อย”
ฉีถิงจี้ยิ้มเอ่ย “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”
เห็นได้ชัดว่าลู่จือผิดหวังเล็กน้อย
เฉาจวิ้นที่นัดหมายล่วงหน้าว่าจะไปรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับสุดท้ายของสำนักเบื้องล่างภูเขาลั่วพั่ว ก่อนหน้านี้เห็นนักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวบนศีรษะ เพื่อหลบแสงกระบี่เส้นหนึ่งก็ถึงกับวิ่งพล่านหลบหนีอุตลุด จึงอดไม่ไหวถามเว่ยจิ้นว่า “นักพรตนี่มาได้อย่างไร โผล่ออกมาจากไหนกัน? ดูแล้วขอบเขตสูงมากเลยนะ คงจะไม่ใช่ท่านลุงได้มาเปล่าคนใดของเฉินผิงอันอีกกระมัง?”
เว่ยจิ้นกล่าว “คือเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิง ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเจ้าลัทธิลู่ไปตั้งแผงดูดวงในถ้ำสวรรค์หลีจูอยู่นานหลายปี ถือเป็นคนรู้จักเก่ากับพวกคนรุ่นเยาว์หลายคนซึ่งมีเฉินผิงอันเป็นหนึ่งในนั้น ปีนั้นเจ้ากลับบ้านเกิดช้าไป จึงพลาดไป”
เฉาจวิ้นรีบถอนสายตากลับมาทันที ไม่กล้ามองนานอีกแล้ว เขาเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “หากข้าเกิดและเติบโตอยู่ในเมืองเล็ก ด้วยคุณสมบัติในการฝึกตนของข้าจะต้องได้ดิบได้ดีอย่างมากแน่นอน”
เฉาจวิ้นส่ายหน้า “คุณสมบัติ? อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูอย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ด้วยนิสัยของเจ้า ได้เจอกับยอดฝีมือที่อำพรางตนอย่างลึกลับพวกนี้แต่เนิ่นๆ คาดว่าคิดจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็คงกลายเป็นความเพ้อฝันแล้ว ดีหน่อย หากไม่เป็นช่างเผาเครื่องปั้นอยู่ในถ้ำสวรรค์ลหลีจู ก็คงต้องทำไร่ทำนา ขึ้นเขาไปตัดต้นไม้เผาฟืน ชั่วชีวิตกลายเป็นคนไร้ชื่อเสียง หรือหากดวงซวยกว่านั้นสักหน่อย ต่อให้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว ตกลงไปในหลุมพรางของคนอื่นก็คงจะยังไม่รู้ตัว”
เฉาจวิ้นเอ่ย “ไม่ถูกกระมัง ข้าจำได้ว่าในเมืองเล็กมีเจ้าพวกลูกกระต่าย พวกคนซื่อบื้อหลายคนที่พูดจาระคายหูยิ่งกว่าข้า เวลาทำเรื่องอะไรขึ้นมาก็สนแต่หัวไม่สนบั้นท้าย (เปรียบเปรยว่ายามทำอะไรไม่พิจารณาให้รอบคอบ) ทุกวันนี้แต่ละคนก็มีชีวิตที่ดีกันมากไม่ใช่หรือ?”
เว่ยจิ้นเอ่ย “คำพูดและการกระทำของคนเหล่านั้นล้วนมาจากจิตใจดั้งเดิม ยอดฝีมือย่อมไม่ถือสา ไม่แน่ว่าอาจจะยังผลักเรือไปตามกระแสน้ำ แต่เจ้ากลับไม่เหมือนกัน ใช้อุบายอวดฉลาด หากเจ้าตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าลัทธิลู่ เกินครึ่งเขาคงไม่ถือสาที่จะสอนให้เจ้ารู้ว่าควรเป็นคนอย่างไร”
เฉาจวิ้นกำลังจะโต้กลับ ในทะเลสาบหัวใจพลันมีเสียงของลู่เฉินดังขึ้น “เซียนกระบี่เฉามีฝีมือสูงส่งทั้งยังใจกล้า ถามกระบี่กับคนอื่นในตรอกหนีผิงไปรอบหนึ่ง ผินเต้าแค่ได้ยินคนเล่าให้ฟังหลังจบเรื่องก็ยังอกสั่นขวัญผวาอยู่หลายส่วน คนหนุ่มมากความสามารถที่ใจกล้าเทียมฟ้าอย่างเจ้า หากจะไปเป็นเจ้านคร เจ้าหอของห้านครสิบสองหอเรือนในป๋ายอวี้จิงก็มากพอเหลือแหล่ ถือเป็นการนำคนมีความสามารถไปใช้ในงานเล็กน้อยด้วยซ้ำ! เป็นอย่างไร วันหน้าผินเต้าจะพาเจ้าไปท่องใต้หล้ามืดสลัวด้วยกันสักรอบดีไหม?”
เฉาจวิ้นได้ยินก็ตกใจจนจิตแห่งมรรคาไม่มั่นคง ตอบเสียงสั่นว่า “มิกล้ารบกวนเจ้าลัทธิลู่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!