หิมะใหญ่เท่าขนห่านที่มาเยือนโดยไม่นัดหมายครั้งนี้ก็เหมือนกับว่ามีเซียนเหรินบดขยี้ถาดหยกขาวแล้วโปรยเงินเกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนลงมา
เหนือหัวกำแพงเมือง เพียงไม่นานหิมะก็สะสมทับซ้อนกันหนาชั้น เฉินผิงอันที่นั่งยองอยู่จงใจเก็บรวมปณิธานหมัดและปราณกระบี่มา ปล่อยให้เกล็ดหิมะหล่นลงบนศีรษะ ไหล่สองข้างและบนชุดสีเขียว
ผู้ฝึกตนหนาวร้อนมิอาจกล้ำกราย คำว่าหนาวร้อน อันที่จริงไม่ได้หมายถึงแค่การสับเปลี่ยนของสี่ฤดูกาลเท่านั้น ยังหมายถึงความทุกข์ความสุข การพบเจอและการพรากจากของจิตใจคนในโลกมนุษย์ด้วย
ซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ก็เหมือนนครรกร้างนอกด่านที่ไร้คนเฝ้าด่าน นครเดียวดายนอกด่านที่จู่ๆ ก็มีหิมะถี่กระชั้นตกลงมา ดุจดอกหยางฮวาที่แต่ละดอกใหญ่เท่าเงินเหรียญทองแดง พันขุนเขาสูงชันหนาวเหน็บ ยากจะเสาะหาร่องรอยวิหค รอบด้านคือทุ่งกว้างเวิ้งว้างไร้ผู้คน ได้ยินเสียงหยกแตกดังแว่วมา ฟ้าและหิมะขับขานร่วมกัน
ลู่เฉินลุกขึ้นยืนนานแล้ว เก็บอุปกรณ์ต้มสุราที่ไม่รู้ไปรีดไถมาจากใครชุดนั้นลงไป เดิมทีลู่เฉินจะจากไปตั้งแต่ตอนนี้ หวนกลับไปยังใต้หล้ามืดสลัว ที่นั่นมีสหายเยอะเรื่องสนุกก็เยอะ อีกอย่างก่อนหน้านี้อาจารย์ได้มาเยือนป๋ายอวี้จิง ออกคำสั่งที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดีให้กับลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจอย่างเขา ไม่ต้องไปฟ้านอกฟ้าทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์แล้ว กลับไปถึงใต้หล้ามืดสลัว ไม่มีเรื่องอะไรก็ตัวเบา แม้แต่ศิษย์พี่ที่ให้ความเคารพกฎเกณฑ์ที่สุดก็ยังว่ากล่าวอะไรเขาไม่ได้ แต่เป็นเพราะนานๆ ทีจะได้มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลู่เฉินจึงตัดใจรีบจากไปแบบนี้ไม่ลง อุตส่าห์เหนื่อยยากร่ายวิชาอภินิหารปากอริยะอมกฎสวรรค์ ถึงจะเรียกหิมะใหญ่ที่ตกหนักขนาดนี้มาได้อย่างยากเข็ญ จึงทำหน้าหนาไม่ขยับเท้าไปไหน ทั้งยังยื่นมือออกไปรองหิมะ เพียงไม่นานก็ขยำเป็นก้อนหิมะกลมๆ ขึ้นมาได้ แล้วคอยตบอย่างต่อเนื่อง ยิ่งนานลูกหิมะก็ยิ่งหนักและแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เฉินโยนลูกหิมะขึ้นลงเบาๆ มือหนึ่งลูบปลายคาง “ดวงจันทร์บนฟ้าคล้ายหิมะที่มารวมกัน หิมะบนโลกมนุษย์เหมือนดวงจันทร์ที่ปริแตก แสงอันเยือกเย็นเดียวดายส่องดวงตา ทั้งดวงจันทร์และหิมะต่างใสสะอาดงามตา มีเพียงคนที่เกินความจำเป็น”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า เป็นการหัวเราะที่หน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม อันที่จริงไม่ต้องยิ้มเลยจะดีกว่า
ลู่เฉินหัวเราะหึหึ โยนหิมะลูกนั้นออกไปนอกหัวกำแพงเมืองอย่างไม่ใส่ใจ ลูกหิมะวาดวงโค้งตกลงไปเบื้องล่าง
ยังคงเป็นบัณฑิตอย่างเราๆ ที่สุภาพสง่างามที่สุด ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวอย่างหนิงเหยาและสิงกวานหาวซู่ยังคงขาดความหมายบางอย่างไปเล็กน้อย
เฉินผิงอันถาม “เจ้าลัทธิลู่ยังไม่ไปอีกหรือ?”
ลู่เฉินพูดบ่นอย่างไม่พอใจ “ภูเขาสามารถไล่ภูเขา แต่คนอย่าไล่คนสิ”
ในอดีตตอนที่เฉินชิงตูยังอยู่ที่นี่ อันที่จริงลู่เฉินก็อยากมาเป็นแขกที่นี่แล้ว เพียงแต่ว่าดันมาเจอกับศิษย์พี่ที่ต่อให้ตายก็ยังรักศักดิ์ศรี ทำให้ลู่เฉินจำต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของอาเหลียง ปีนั้นพอไปถึงฟ้านอกฟ้า และไปพลิ้วกายลงในบริเวณใกล้เคียงกับป๋ายอวี้จิง จะต้องยุแยงกระพือไฟอย่างแน่นอน เจ้าอวี๋โต้วถือว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงอะไรกัน แค่จะไปต่อสู้กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ยังไม่กล้าเลย ให้ลู่เฉินเป็นคนไปก็แล้วกัน
เขาที่เป็นศิษย์น้อง หากแค่เจอหน้าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนั้นก็เหมือนสหายที่รู้จักกันมานาน เรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง แบบนั้นคงจะไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร นี่ก็เหมือนในครอบครัวล่างภูเขาที่พี่ชายพี่สาวในตระกูลยังไม่ได้แต่งงาน น้องชายกับน้องสาวย่อมไม่อาจชิงแต่งงานก่อนได้
อันที่จริงปีนั้นอวี๋โต้วเดินมาถึงหน้าประตูของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว สุดท้ายกลับไม่ได้ถามกระบี่กับเฉินชิงตู เพียงแค่ทิ้งศาลาจัวฟ่างที่ภายหลังมีนักท่องเที่ยวมาเยือนไม่ขาดสายเอาไว้ ส่วนภูเขาห้อยหัวลูกนั้น ในฐานะตราประทับตัวอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่อวี๋โต้วสร้างขึ้นมากับมือตัวเอง อันที่จริงไม่มีความหมายที่ลึกล้ำอะไร ก็แค่ว่าเจ้าลัทธิรองของป๋ายอวี้จิงผู้มีฉายาว่าผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงคนนี้คิดว่าในอนาคตหากมีวันใดได้ถามกระบี่กับเฉินชิงตู มีท่าเรืออยู่ก็ไม่ต้องคอยดูสีหน้าของอริยะปราชญ์ที่เฝ้าประตูของศาลบุ๋น เอาชนะเฉินชิงตูได้ก็พกกระบี่ออกจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างบินทะยานกลับป๋ายอวี้จิงไปโดยตรง
แน่นอนว่าจนกระทั่งเฉินชิงตูใช้กระบี่เปิดทางให้กับนครบินทะยาน เต๋าเหล่าเอ้ออวี๋โต้วก็ยังไม่ได้ลงมือ
นักพรตซุนที่ขอแค่มีโอกาสก็จะเอ่ยชมเชยศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างอวี๋โต้วและลู่เฉินคู่นี้ ย่อมไม่มีทางขี้เหนียวถ้อยคำอันไพเราะอย่างแน่นอน
เพียงไม่นานก็ป่าวประกาศความในใจที่เป็นธรรมมีเสรีออกไปอย่างแพร่หลาย บอกว่าบนยอดเขาของวิถีกระบี่นั้น ต่างคนต่างไร้เทียมทาน สองยอดเขาคุมเชิงกัน ต่างฝ่ายต่างเล่นงานกัน แล้วจะไม่ใช่ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงได้อย่างไร ใครกล้าบอกว่าไม่ใช่จงมาที่อารามเสวียนตู มาดื่มเหล้ากับผินเต้า บนโต๊ะสุรามีแบ่งสูงต่ำ ใครกล้าพูดจาเหลวไหล เจ้ากี้เจ้าการกับพี่ใหญ่แห่งวงการการต่อยตีของใต้หล้ามืดสลัวของพวกเรา ผินเต้าจะเป็นคนแรกที่เดือดดาล จะเอาเหล้ากรอกปากเจ้าให้ตายไปเลย
เฉินผิงอันพลันหันมาเอ่ยกับหนิงเหยา “เจ้าลัทธิลู่พูดคุยกับผู้อื่น ขอแค่เปิดปาก โดยทั่วไปแล้วไม่ได้โกหก เพียงแค่ว่าไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด”
เป็นหลักการเดียวกันกับคำกล่าวที่ว่าเชื่อทุกอย่างในตำราไม่สู้ไร้ตำราให้อ่าน คนบางคนพูดจาชอบจงใจที่จะพูดความจริงแค่ส่วนเดียว บ้างก็ไม่ใช่ความจริง หรือถึงขั้นทำให้คนห่างไกลจากความจริง
ประโยคนี้เฉินผิงอันไม่ได้ใช้เสียงในใจพูดด้วยซ้ำ
หนิงเหยาพยักหน้า “ตอนอยู่เมืองเล็กก็เคยประสบกับตัวเองมาก่อนแล้ว”
ลู่เฉินปัดหิมะที่ทับถมอยู่บนไหล่ออก เอ่ยอย่างเขินอายว่า “พูดต่อหน้าคนเขาก็ไม่ต่างจากการถามหมัดแล้วต่อยหน้า ไม่สอดคล้องกับกฎในยุทธภพกระมัง ต่างก็พูดกันว่าผู้สูงศักดิ์ไม่เปิดปากพูดง่ายๆ ทั้งยังพูดน้อยนัก มิอาจโยนใจทั้งดวงออกไปให้ได้ ต้องขยับปากให้น้อยพยักหน้าให้มาก”
เฉินผิงอันเพียงแค่มองหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา ความคิดเชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ จิตใจเหม่อลอยไกลไปหมื่นลี้ ไม่ได้จงใจควบคุมความคิดซับซ้อนวุ่นวายของตัวเองอีก ดั่งควบม้าไปอย่างไร้จุดหมาย ประหนึ่งม้าขาวควบผ่านช่องแทบ ห้อตะบึงอยู่ในฟ้าดินเล็ก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!