หลังจากนั้นมาบุรุษก็ไม่ค่อยกล้าหาเรื่องยุ่งยากให้เฉินผิงอันอีกจริงๆ อย่างมากก็แค่พูดจาเหน็บแนมที่ไม่เจ็บไม่คันลับหลังเขา เพราะไม่ว่าใครก็ล้วนรู้ว่า หลิวเสี้ยนหยางคือลูกศิษย์เข้าห้อง (เปรียบเปรยถึงลูกศิษย์ที่ถูกรับเข้าสำนักและได้รับการถ่ายทอดวิชาแล้ว) ที่เหยาเหล่าโถวชื่นชอบที่สุด เวลานั้นพวกลูกจ้างที่เตาเผาทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่าในอนาคตมีถึงแปดเก้าในสิบส่วนที่หลิวเสี้ยนหยางจะได้เป็นหัวหน้าช่างของเตาเผามังกรคนถัดไป ประเด็นสำคัญคือเจ้าหมอนี่อายุไม่มาก แต่ตัวกลับสูงใหญ่ แล้วยังนิสัยร้ายเจ้าอารมณ์ ลงมือทีไม่รู้จักหนักเบา เพียงแต่ว่าเวลาปกติยามอยู่ร่วมกับคนอื่นมักจะหัวเราะอารมณ์ดี คบค้าสมาคมได้ง่าย และเวลาปกติหลิวเสี้ยนหยางก็เป็นคนมือเติบใจกว้าง ไม่เคยรั้งเงินเอาไว้ได้ ต้นเดือนได้รับเงินมา กลางเดือนก็ใช้จ่ายหมดแล้ว ดังนั้นคนทั่วไปจึงไม่ค่อยยินดีจะไปมีเรื่องกับหลิวเสี้ยนหยางที่เข้ากับคนได้ง่าย ทว่าคุณสมบัติในการเผาเครื่องปั้นกลับดียิ่งกว่า
อันที่จริงคนของเมืองเล็กที่มีชีวิตยากลำบากไม่ได้มีแค่เฉินผิงอันเท่านั้น ใครบ้างที่ไม่ได้ใช้ชีวิตกันอย่างยากแค้น ใครเล่าจะมีคุณสมบัติพูดว่าตัวเองไม่อาจทนความรำคาญได้ อีกอย่าง คนผู้หนึ่งที่ต่อให้จะรำคาญใจกับเรื่องหยุมหยิมแค่ไหน แต่มันจะน่ารำคาญได้เท่าการที่ในกระเป๋าไม่มีเงิน ชีวิตในวันข้างหน้าไม่มีความหวังได้หรือ?
เอาเป็นว่าวันที่หนึ่งของทุกเดือน ช่างและลูกศิษย์ของเตาเผามังกรทุกคนต่างก็ได้รับเงินค่าแรงบ้างมากบ้างน้อยมาจากมือของผู้เฒ่าเหยา เวลานั้นไม่ว่าใครก็ไม่รำคาญ
นึกถึงพวกอวี่ซื่อ ในใจก็ให้กลัดกลุ้มเป็นกังวล นึกถึงชายใจหญิงที่สภาพการณ์น่าสมเพชเวทนา ก็ให้รู้สึกเสียใจ เพียงแต่ว่าพอคิดถึงหลิวเสี้ยนหยาง เฉินผิงอันกลับยิ้มได้
คงเป็นอย่างที่ลู่เฉินพูด เฉินผิงอันเชี่ยวชาญการรื้อกำแพงตะวันออกไปซ่อมกำแพงตะวันตก ขนย้ายข้าวของ สับเปลี่ยนตำแหน่งจริงๆ บางทีอาจเป็นเพราะยากจนจนกลัว ไม่ใช่ความยากจนที่ไม่เคยมีวันเวลาที่ดี แต่กลับเป็นความยากจนที่เกือบจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้ ดังนั้นนับแต่เล็กมาเฉินผิงอันจึงชอบเอาข้าวของทั้งหมดที่อยู่ในมือตัวเองมาแบ่งแยกประเภทอย่างละเอียด จัดระเบียบอย่างเหมาะสม ได้อะไรมา สูญเสียอะไรไป ล้วนแยกแยะชัดเจน แล้วก็คงเพราะเหตุนี้เขาถึงได้เข้าใจองค์ชายผู้มีโรคย้ำคิดย้ำทำของอารามหวงฮวาแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนที่จำเป็นต้องจัดวางหนังสือทุกเล่มอย่างเป็นระเบียบคนนั้น ชั่วชีวิตนี้เฉินผิงอันแทบไม่เคยทำของหาย ดังนั้นครั้งแรกที่พาพวกเป่าผิงน้อยออกจากบ้านเดินทางไกลแล้วทำปิ่นหาย เขาถึงไม่คิดจะไปตามหา เพียงแค่ก้มหน้าก้มตาทำหีบหนังสือไม้ไผ่ใบเล็กต่อไป แค่บอกกับหลินโส่วอีว่าหาไม่เจอ
เฉินผิงอันเก็บความคิดกลับมา รวบสองมือเข้าหากัน พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
รอให้ธุระที่ต้าหลีเสร็จเรียบร้อย คงต้องไปที่ร้านยาตระกูลหยางทันทีจริงๆ แล้ว
ลู่เฉินยืดแขนบิดขี้เกียจ อ้าปากหาว “ไปแล้วๆ หาวซู่ ตกลงกันไว้แล้วนะว่าอย่าตายอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ออกกระบี่ระวังหน่อย สะสมคุณความชอบทางการสู้รบให้ได้มากพอ พอไปถึงใต้หล้ามืดสลัว จำไว้ว่าต้องไปดื่มเหล้ากับผินเต้าด้วย ด้วยเวทกระบี่ของเจ้าและตำแหน่งขุนนางในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นเจ้านครอยู่ในป๋ายอวี้จิง…ก็ไม่ต้องลุ้น หัวไชเท้าหนึ่งหัวกับหลุมหนึ่งหลุมโดยแท้ ช่วงนี้เจ้าลูกกระต่ายน้อยเจียงอวิ๋นเซิงผู้นั้นไปรับตำแหน่งขุนนางที่ได้รับทรัพย์มากที่นครชิงชุ่ยแล้ว จัดการได้ค่อนข้างยากจริงๆ แต่ถ้าบอกว่าต้องรออีกร้อยปี เป็นหนึ่งในเจ้าหอของสิบสองหอเรือน ผินเต้าก็ยังพอจะออกแรงมากหน่อยได้”
เฉินผิงอันโคลงศีรษะ สะบัดหิมะที่หล่นทับอยู่บนร่างทิ้งไป ลุกขึ้นยืนช้าๆ ปัดชุดสีเขียว ยิ้มถามว่า “ลู่เฉิน พวกเรามาทำการค้ากันครั้งหนึ่ง เป็นอย่างไร?”
ลู่เฉินรีบหยุดเดินทันใด ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตอบตกลงทันที “ได้สิ”
เฉินผิงอันหันไปมองหนิงเหยา
นางพยักหน้า ทอดสายตามองไปไกล เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น ตั้งใจเช่นนี้อยู่พอดี
เฉินผิงอันมองไปยังหัวกำแพงเมืองอีกฝั่งหนึ่ง ใช้เสียงในใจยิ้มถาม “เจ้าสำนักฉี?”
ฉีถิงจี้พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็จะพยายามแกะสลักตัวอักษรให้ได้อีกตัว เรื่องที่ปีนั้นผู้อาวุโสจงหยวนพลาดโอกาสไปต่อหน้าต่อตา ก็ให้ข้าเป็นคนทำให้สำเร็จเถอะ”
เฉินผิงอันถามอีก “อาจารย์ลู่?”
ลู่จือมีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก ตอบว่า “กำลังรอประโยคนี้ของเจ้าอยู่พอดี”
รอยยิ้มของเซียนกระบี่ใหญ่หญิงที่เรือนกายสูงเพรียว มองดูแล้วค่อนข้างผอมสูงยิ่งกดลึกกว่าเดิม “หากโชคดี พวกเราทั้งสองต่างก็รอดชีวิตกลับมา ไม่ว่าอะไรก็ไม่ต้องพูดมาก หากพวกเรามีแค่คนเดียวที่รอดกลับมา ก็ช่วยรินเหล้าหนึ่งกาให้กับอีกฝ่ายอยู่บนหัวกำแพงเมืองแห่งนี้”
เฉินผิงอันตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าลู่เฉินเอ้อระเหย
เฉินผิงอันถามฉีถิงจี้ก่อน หรือถามลู่จือก่อน ในนี้ได้ซุกซ่อนความรู้ที่เป็นเรื่องของผู้คนและเรื่องราวบนโลกมนุษย์เอาไว้
ลู่จือต้องตอบตกลงทำเรื่องนี้แน่นอน แต่ฉีถิงจี้กลับไม่แน่เสมอไป หากถามลู่จือก่อนก็ไม่สมควรแล้ว หากฉีถิงจี้ไม่ตอบตกลงก็จะเสียภาพลักษณ์ของเซียนกระบี่และเจ้าสำนักไป
เพียงแต่ลู่เฉินก็ประหลาดใจเล็กน้อย ฉีถิงจี้ไม่เพียงตอบตกลงว่าจะออกกระบี่ ดูเหมือนว่าจะมีความตั้งใจเช่นนี้มาตั้งแต่แรกแล้วด้วย? ตอนนั้นหลังจากที่ฉีถิงจี้ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ ไม่มีใครมาคอยถ่วงรั้ง กว่าจะฝืนนิสัยล้มเลิกแผนการที่จะกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสีได้ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายหยัดยืนอยู่ในใต้หล้าไพศาลได้อย่างมั่นคง หากวันนี้เลือกจะติดตามทุกคนออกจากเมืองไปออกกระบี่ เป็นตายก็ยังไม่รู้ ใครก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองจะต้องมีชีวิตรอดออกมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้อย่างแน่นอน ส่วนสำนักกระบี่หลงเซี่ยง หากต้องสูญเสียเจ้าสำนักและผู้ถวายงานอันดับหนึ่งไป อาศัยอะไรถึงจะวิ่งนำทุกคนในใต้หล้าไพศาลไปไม่เห็นฝุ่น? ไม่แน่ว่าพวกเขาที่อยู่ในทักษินาตยทวีปอาจไม่ใช่สำนักแห่งวิถีกระบี่ที่สมชื่ออีกแล้วก็เป็นได้
ลู่เฉินถามอย่างใครรู้ “เซียนกระบี่อาวุโสฉี เหตุใดถึงยินดีทำเช่นนี้ ดูเหมือนว่านี่จะไม่สอดคล้องนิสัยที่ต้องวางแผนก่อนแล้วค่อยลงมือทำของเจ้าเลยนะ”
ฉีถิงจี้คลี่ยิ้ม ไม่ได้ให้คำตอบ
ในสายตาของลู่เฉิน เห็นเพียงว่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่รูปโฉมอ่อนเยาว์คนนั้นยืนอยู่บนหัวกำแพงเมือง เรือนกายสูงเพรียว หน้าตาหล่อเหลา เสื้อผ้าเป็นสีเดียวกับหิมะ ตรงเอวพกกระบี่ฝักสีดำหนึ่งเล่ม กำแพงเมืองปราณกระบี่มีแต่บุรุษหล่อเหลาและสาวงามจริงๆ
นี่ก็คงเป็นผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่กระมัง
หากทำอะไรต้องใช้เหตุผล ยังจะต้องลำบากฝึกกระบี่ไปทำไม
ผู้ฝึกกระบี่สองคนที่อยู่ในสนามรบ อาเหลียงเป็นคนต่างถิ่น จั่วโย่วก็เป็นคนต่างถิ่น
อิ่นกวานที่กำลังจะก้าวลงสู่สนามรบ เฉินผิงอันเองก็เป็นคนต่างถิ่นเหมือนกัน
ข้าฉีถิงจี้ ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ซึ่งมีอายุมากที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ ก็จะถือว่าได้ดื่มสุราคารวะแก่ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นทุกคนที่มารบตายอยู่ ณ ที่แห่งนี้
สุดท้ายเฉินผิงอันถามว่า “สิงกวานว่าอย่างไร?”
หาวซู่ยกสองแขนกอดอก เอ่ยว่า “บอกไว้ก่อนน่ะว่า หากมีผลงานทางการสู้รบ มีศีรษะที่เก็บได้ ต้องเอาให้ข้า จะได้นำไปมอบให้ศาลบุ๋น น้ำใจที่ติดค้างเจ้าครั้งนี้ วันหน้าพอไปถึงใต้หล้ามืดสลัวค่อยใช้คืน หากเจ้าตอบตกลง ข้าก็จะออกไปพร้อมกับพวกเจ้า ต่อให้จะเป็นสิงกวานไม่สมตำแหน่งหน้าที่แค่ไหน แต่ข้าก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ดังนั้นวางใจได้ ขอแค่ออกกระบี่ ไม่สนเป็นตาย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”
เพราะลู่จือไม่ได้ใช้เสียงในใจพูด ดังนั้นเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะที่พอจะเดาความจริงออกคร่าวๆ จึงเงยหน้ามองหิมะปลิวปรายเต็มท้องฟ้า ดูเหมือนเว่ยจิ้นจะนึกถึงฤดูหนาวในสำนักบ้านเกิดตอนที่ตนยังเป็นเด็ก เด็กหนุ่มขี่กระบี่ไปยังหอเทพเซียน เดินทางไปพร้อมกับลมและหิมะ
เว่ยจิ้นยื่นมือไปกุมกระบี่ยาวที่วางพาดหัวเข่าเอาไว้ เอ่ยว่า “บวกข้าไปอีกคน รับรองว่าไม่เป็นตัวถ่วง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ตอนนี้ขอบเขตของเจ้ายังไม่พอ”
แม้ว่าเว่ยจิ้นจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง แต่การเดินทางไปเยือนพื้นที่ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในครั้งนี้ ไม่เหมาะสม ไม่สมควร
ประโยคนี้ของเฉินผิงอันไม่ต่างจากประโยคที่เว่ยจิ้นบอกว่าเฉาจวิ้นไม่อาจเข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนได้
เฉาจวิ้นอดรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะไม่ได้ จึงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ขอบเขตของเฉินผิงอันต่ำกว่าเจ้าหนึ่งขั้น ยังมีหน้ามาพูดจาเช่นนี้อีกหรือ?”
ดูเหมือนว่าเว่ยจิ้นจะไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย เปลี่ยนจากท่าจับกระบี่มือเดียวมาเป็นท่ากดกระบี่ด้วยสองมือ เท่ากับล้มเลิกความคิดนั้นไปแล้ว
เฉาจวิ้นเอ่ยอย่างร้อนใจ “เว่ยจิ้น เจ้าเป็นอะไรไป อยู่กับเฉินผิงอัน พูดจาหรือทำอะไรไม่มีความแข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!