เฉินผิงอันเอ่ยอย่างกังขา “หรือไม่ใช่เพราะปีนั้นจางลู่ที่มีความผิดติดตัว ไม่ได้แค่ต้องการทำความดีชดใช้ความผิด? ยังมีความลับอย่างอื่นอีกด้วย?”
คาดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะส่ายหน้า “จางลู่แค่เฝ้าประตูเท่านั้น ทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่คือความจริง ทำงานไปตามหน้าที่ก็เป็นความจริง”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วมุ่น ก่อนหน้านี้รู้แค่ว่าจางลู่คือผู้ฝึกกระบี่นักโทษอาญาลี้ภัยที่เกิดและเติบโตที่นี่ ตอนที่อยู่ห้าขอบเขตกลางเคยมีคนรักคนหนึ่ง หลังจากนางรบตายไป จางลู่ก็ไม่ได้แต่งภรรยาอีก ถึงขั้นที่ว่าในเรื่องของการรับลูกศิษย์ก็ไม่เคยแตกกิ่งก้านสาขา แต่จางลู่ได้ถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์อย่างตามแต่ใจ ไม่เคยเก็บงำอพราง แต่ไม่ถือว่าเป็นอาจารย์และศิษย์อะไรกัน กระบี่พกประจำตัวของจางลู่มีชื่อว่าซานซี ฝักกระบี่แผ่เต็มไปด้วยเกล็ดสีดำ ว่ากันว่าในอดีตระหว่างที่ล่าสัตว์อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างเซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้ได้สังหารเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบไปตนหนึ่ง แล้วหลอมเส้นเอ็นและกระดูกของอีกฝ่ายนำมาทำเป็นกระบี่ยาว หลอมหนังเป็นฝักกระบี่ ภายหลังในเอกสารของคฤหาสน์หลบร้อนก็เหลือแค่คำพูดบางช่วงบางตอนไม่ประติดประต่อ ดูเหมือนว่าในอดีตจางลู่จะค่อนข้างสนิทสนมกับหอกระบี่และหอภูษา เพราะมีฝีมือด้านการหลอมวัตถุและการก่อสร้างที่เชี่ยวชาญ สถานะของเขาจึงค่อนข้างคล้ายคลึงกับคนคุมงาน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ปีนั้นพอเฉินผิงอันได้เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนและได้เปิดเอกสารอ่านก็ไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย เพราะในอดีตก่อนที่ตนจะออกไปจากภูเขาห้อยหัว นอกจากจางลู่จะช่วยเอาแท่นสังหารมังกรก้อนนั้นมามอบให้แทนหนิงเหยา ยังมีชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้นที่จางลู่ได้ช่วยร่ายเวทอำพรางตาให้ ส่วนเชือกพันธนาการปีศาจที่หลอมมาจากหนวดยาวของเจียวเฒ่า ตอนนั้นจางลู่บอกว่าได้ไปขอให้ยอดฝีมือพรรคยันต์ของภูเขาห้อยหัวช่วยเหลือ นักพรตตัดเอาหนวดเจียวเล็กน้อยไปเป็นค่าตอบแทน และได้ลอกเอาลายเมฆสามลายออกมาจากบทความคำเขียวบทหนึ่ง หลอมเข้าไปในเชือกพันธนาการปีศาจ ดังนั้นเฉินผิงอันก็ยังได้กำไร สุดท้ายจางลู่ยังสอนคาถาหลอมวัตถุให้เฉินผิงอันอีกหนึ่งบท
ลู่เฉินเอ่ยเตือนอย่างจนใจว่า “สุราในจารึกอาหารและสินค้า จางลู่ชื่นชมซูจื่ออย่างมาก แล้วเขายังเชี่ยวชาญการหลอมวัตถุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างธนู หากข้าจำไม่ผิด ด้านในฝู่เฉวียนของนครบินทะยานยังซ่อนธนูดีที่ฝุ่นเกาะมานานปีไว้หลายเล่ม ต่อให้ระดับขั้นจะดีเยี่ยม แต่ก็ยังได้แค่มีจุดจบที่ต้องกินฝุ่นอยู่ดี ช่วยไม่ได้ เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวแล้ว ใครเล่าจะยังยินดีใช้ธนู”
เฉินผิงอันครุ่นคิด ซูจื่อองอาจห้าวหาญ ชอบดื่มเหล้า และเคยเอ่ยว่าสุราคือวาสนาแห่งฟ้าประทาน (เทียนลู่ ลู่เดียวกับชื่อจางลู่) เมื่อข้าได้ครองสิ่งนี้ จะไม่สุขใจได้หรือ และในตำราจารึกอาหารและสินค้าก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าสุราคือวาสนาอันงดงามแห่งสวรรค์ (เหม่ยลู่ ลู่เดียวกับชื่อเทียนลู่)
แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น ‘ของที่เพิ่มมา’ เฉินผิงอันถอนหายใจ ยกมือสองข้างขึ้นนวดคลึงข้างแก้ม
ที่แท้จางลู่ก็เหมือนเฒ่าหูหนวกที่เป็นคนเฝ้าคุก ต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนของเผ่ามนุษย์ แต่มีชาติกำเนิดเป็นเผ่าปีศาจ
เพียงแต่ว่าสถานะของจางลู่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับป๋ายเจ๋อ และยิ่งถูกใต้หล้าไพศาลรับตัวเอาไว้
เพราะ ‘เทียนลู่’ นี้ เป็นทั้งคำเรียกขานแทนสุรา แล้วยังเป็นสัตว์มงคลชนิดหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ใน ‘ตำราภูเขาและทะเล’ นับตั้งแต่ยุคบรรพกาลเป็นต้นมาขุนนางและชนชั้นสูงของใต้หล้าไพศาลก็จะชอบนำรูปปั้นของเทียนลู่ไปวางไว้หน้าสุสาน มีความหมายเพื่อให้คอยปกป้องสุสานบรรพชน ให้บรรพชนที่อยู่ในยมโลกได้พักผ่อนอย่างสงบสุข
หากจะบอกว่าการทรยศออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่คือการเลือกของตัวจางลู่เอง และเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ยินดีเคารพในการเลือกนี้ของเขา ถ้าอย่างนั้นเรื่องเดียวที่จางลู่ต้องทำ บางทีอาจเป็นการรับปากเฉินชิงตูว่าจะอยู่เพื่อเฝ้าประตูใหญ่ต่อไป เหมือนการเฝ้า ‘หลุมศพ’ สุดท้ายก็คอยดูแลซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่กลายมาเป็นเหมือนสุสานแห่งหนึ่ง
จางลู่เองก็รักษาสัญญา
ถ้าอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวของกำแพงเมืองปราณกระบี่
มิน่าเล่าการประชุมของสองใต้หล้าครั้งนั้น ทั้งๆ ที่อยู่กันคนละฝ่ายแล้ว แต่อาเหลียงก็ยังยินดีจะมีรอยยิ้มให้กับจางลู่ ยังคงเป็นสหายรักกันเช่นเดิม
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ไม่สนใจเรื่องพวกนี้แล้ว ครั้งนี้หากทั้งสองฝ่ายได้กลับมาเจอกันอีกครั้งบนสนามรบจริงๆ ต่างคนต่างออกกระบี่อย่างเต็มกำลังก็คือการให้ความเคารพที่ใหญ่ที่สุด
เฉินผิงอันถาม “เจ้าลัทธิลู่ ขอถามหน่อยว่าจะขอยืมมรรคกถาได้อย่างไร?”
ลู่เฉินยิ้มพลางปลดกวานดอกบัวบนศีรษะลงมา โยนให้เฉินผิงอันง่ายๆ ของแทนตัวลัทธิเต๋าของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงกลับมอบให้คนอื่นง่ายๆ เช่นนี้
เฉินผิงอันรับมาไว้ด้วยมือเดียว หนิงเหยาช่วยคลายมวยผมให้กับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันปลดปิ่นหยกขาวลงมา เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วสวมกวานดอกบัวลงบนศีรษะตัวเองอย่างไม่ลังเล
ลู่เฉินยิ้มหน้าทะเล้น “เอาไปสวมไว้แล้ว จากนี้ข้าจะเข้าไปสิงอยู่ด้านใน เจ้าว่าบังเอิญหรือไม่ พวกเราสองคนต่างก็ถือว่าพาจิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลพอดี แต่บอกไว้ก่อนว่า บนร่างมีมรรคกถาขอบเขตสิบสี่ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายล้วนต้องแบกรับผลที่ตามมาเอาเอง ช่างเถิด เหตุผลข้อนี้เจ้าต้องเข้าใจดียิ่งกว่าใครอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บังเอิญเหมือนกัน ก่อนที่ผู้เยาว์จะไปถามกระบี่ที่สำนักสั่วอวิ๋นของอุตรกุรุทวีป ได้สวมกวานเต๋าที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ ใช้ฉายาอย่างหนึ่งว่าอู๋ตี๋ (ไร้เทียมทาน)”
ลู่เฉินเหลียวซ้ายแลขวา เจ้าตัวดี สวมกวานเต๋า สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ ยิ่งสง่างามดุจต้นไม้หยกรับลมกว่าเดิมแล้ว ปากเขาก็พึมพำไปด้วยว่า “บุพเพหนอ บุพเพหนอ”
เฉินผิงอันจับประคองกวานเต๋าให้ดี หันหน้ามายิ้มเอ่ย “อาจารย์ลู่ ไม่สู้ขอยืมกระบี่ดีๆ เหมาะมือจากเจ้าลัทธิลู่อีกสองสองสามเล่ม รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน หากยังเกรงใจกันก็จะดูไร้สาระเกินไป พวกเราขอยืมกันใช่ว่าจะไม่คืนให้เสียหน่อย หากมีความเสียหาย อย่างมากก็แค่หักเป็นเงินเทพเซียนก็ได้แล้ว ต่อให้ไม่คืน เจ้าลัทธิลู่ก็ต้องเป็นฝ่ายมาทวงคืนถึงบ้านอย่างแน่นอน”
ลู่จือใช้กระบี่ยาวที่ทำมาจากหอกระบี่จนชินแล้ว แต่การออกกระบี่ครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ยืมกระบี่ดีๆ จากลู่เฉินสักสองสามเล่มก็น่าจะมั่นคงมากกว่า
ลู่เฉินอึ้งงันเป็นไก่ไม้ “หา?”
ผินเต้ายอมรับว่าตัวเองก็ถือว่าเป็นคนที่หน้าหนามากพอแล้ว แต่เฉินผิงอันเจ้ากลับหนายิ่งกว่าเสียอีก
ทางฝั่งของหัวกำแพงเมืองที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ลู่จือยื่นมือออกมารอเรียบร้อย “ได้เลย ยินดีต้อนรับเจ้าลัทธิลู่ไปทวงหนี้ถึงบ้านในวันหน้า สำนักกระบี่หลงเซี่ยงตั้งอยู่ริมมหาสมุทรของทักษินาตยทวีป หาเจอได้ง่ายมาก”
ลู่เฉินร้องหาอีกหนึ่งที
แม้จะบอกว่าบ้านเกิดของผินเต้าอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าคิดอยากจะมาก็มาได้นะ กฎของหลี่เซิ่งยังวางทนโท่อยู่ตรงนั้น
พวกเจ้าสองคนตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าคนหนึ่งจะหลอกคน อีกคนหนึ่งจะชักดาบไม่จ่ายหนี้ใช่หรือไม่?
ลู่เฉินถอนหายใจ ได้แต่ยกชายแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นมา มืออีกข้างยื่นเข้าไปคลำด้านใน อิดๆ ออดๆ เชื่องช้า ราวกับว่ากำลังพลิกๆ ค้นๆ หาสมบัติในคลัง
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “เจ้าลัทธิลู่ ถึงอย่างไรก็ต้องมอบให้คนอื่นอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็กัดฟัน ใจกว้างสักหน่อย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะถูกอาจารย์เฮ้อดูแคลนเอาได้นะ”
ลู่เฉินค้นหาสมบัติมากมายที่อยู่ในจักรวาลชายแขนเสื้อ พลางพูดไปด้วยว่า “ยืม ไม่ได้มอบให้!”
สุดท้ายลู่เฉินก็หยิบเอากล่องกระบี่ขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่งออกมา กระโดดลอยตัวสูงจากตำแหน่งเดิม ขว้างไกลๆ ไปให้ลู่จือ พร้อมตะโกนไปด้วย “อาจารย์ลู่ ใช้ประหยัดหน่อยนะ!”
ลู่จือรับกล่องกระบี่ใบนั้นมา ตอบว่า “ดูอารมณ์ก่อน”
สุดท้ายลู่เฉินถามคำถามข้อหนึ่ง “เฉินผิงอัน หากการเดินทางไปครั้งนี้ของพวกเรา แท้จริงแล้วทำให้หลงกลติดกับโดยไม่ทันระวังเล่า?”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “แล้วอย่างไร? ข้าก็ยังเป็นข้า พวกเราก็ยังเป็นพวกเรา เรื่องที่ต้องทำก็ยังต้องทำอยู่ดี”
ลู่เฉินพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ แล้ว ข้าจะจัดวางฟ้าดินใหญ่แห่งหนึ่งทันที ดังนั้นต่อจากนี้ก่อนที่พวกเราจะออกเดินทาง เจ้ายังต้องปรับตัวให้คุ้นชินก่อนครู่หนึ่ง มีดที่บิ่นไม่ถ่วงรั้งการผ่าฟืน เฮ้อ ก็เป็นเหตุผลที่เจ้าเข้าใจดีที่สุดอีกข้อหนึ่งแล้ว”
ระหว่างที่พูดร่างของลู่เฉินก็สลายหายไป กลายเป็นสายรุ้งเส้นหนึ่ง พุ่งหายเข้าไปในกวานดอกบัว ภาพบรรยากาศผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างฟ้าดิน เป็นเหตุให้ไม่เพียงแต่ลมหิมะในรัศมีพันลี้ที่หยุดนิ่ง นาทีถัดมาหิมะทับถมทั้งหมดที่หล่นร่วงลงระหว่างฟ้าดินก็ยิ่งหายวับไป ราวกับว่าหิมะใหญ่ที่พลังอำนาจโอฬารน่าครั่นคร้ามไม่เคยมาเยือนโลกมนุษย์มาก่อน
หากจะบอกว่าจิตหยินที่หลอมรวมเข้าไปอยู่ในกวานดอกบัวของลู่เฉินคือเรือไม่ถูกผูกซึ่งล่องไปบนความว่างเปล่าของมหามรรคา
ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันในเวลานี้ก็เป็นคนถ่อเรือ คือ ‘การแสดงออกบนมหามรรคา’ ที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!