ทว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้ากลับอบอุ่นอ่อนโยน สุภาพมีมารยาทจริงๆ
แม้แต่โจวไห่จิ้งที่ช่างเลือกก็จำต้องยอมรับว่าเซียนกระบี่ท่านนี้โดดเด่นอย่างมาก
แต่ใจคนที่มีหนังหน้าท้องกั้น ด้านในเนื้อหนังมังสาที่สวยงาม สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะซ่อนน้ำเสียไว้เต็มท้องหรือไม่
โจวไห่จิ้งถาม “มีธุระจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มีธุระจริงๆ”
โจวไห่จิ้งถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาคุยกัน ข้าเป็นสตรีโตเต็มวัยคนหนึ่ง หากเพื่อนบ้านใกล้เคียงเห็นเข้า คิดจะหาคนดีๆ มาแต่งงานด้วยก็ยากแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณคำหนึ่งแล้วก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไป บ้านใหญ่เพียงเท่านี้ นอกจากลานบ้านแล้วก็เป็นห้องหลักหนึ่งห้อง ห้องข้างสองห้อง ห้องหนึ่งในนั้นก็คือห้องครัว
บนโต๊ะวางอุปกรณ์ชงชาที่เป็นเครื่องกระเบื้องสีขาวฝีมือหยาบๆ ไว้ชุดหนึ่ง โจวไห่จิ้งยิ้มกล่าว “ได้แต่รับรองแขกไม่ดีพอแล้ว อย่าว่าแต่สุราดีอะไรเลย ใบชาก็ยังไม่มี เอาน้ำต้มสุกหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร ข้าดื่มแค่น้ำเปล่าถ้วยเดียวก็พอ”
สำหรับเรือนพักเล็กๆ เช่นนี้ อันที่จริงเฉินผิงอันมีความสนิทสนมตามธรรมชาติ เพราะเหมือนบ้านเกิดอย่างมาก
หลังจากเฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็รับถ้วยน้ำมา ถามเข้าประเด็นโดยตรง “อาจารย์โจวเคยมีความขัดแย้งกับอวี๋หง ทั้งยังผูกปมแค้นที่ไม่เล็กต่อกันด้วยหรือ?”
หากเอาแต่อ้อมค้อมไปมา กลับจะทำให้คนกังขา
ในอดีตตอนที่อยู่สำนักศึกษาซานหยาของต้าสุย ชุยตงซานเคยถามคำถามสองข้อที่มองดูคล้ายไม่แตกต่างกัน หวังว่าอาจารย์ในนามอย่างเขาจะช่วยไขข้อข้องใจให้
หลายปีที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันใคร่ครวญถึงคำถามข้อนี้อยู่ตลอดเวลา แต่กลับยากที่จะให้คำตอบได้
สองคำถามที่ชุยตงซานทยอยถามก็คือ หากใช้วิธีการที่ผิดไปแสวงหาผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ถูกหรือว่าไม่ถูก?
ถ้าอย่างนั้นหากใช้วิธีที่ผิดมาทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องซึ่งหาได้ยากยิ่ง ผิด หรือว่าไม่ผิด?
คำถามสองข้อที่เส้นสายเชื่อมโยงกัน แน่นอนว่าอย่างหลังต้องตอบยากกว่าอย่างแรก
เฉินผิงอันหวังว่าการมาเยี่ยมเยือนวันนี้จะสามารถให้ ‘คำตอบครึ่งหนึ่ง’ ที่มาถึงอย่างเชื่องช้าแก่ลูกศิษย์อย่างชุยตงซานได้
อย่างมากสุดก็คงได้แค่คำตอบครึ่งเดียวแล้ว
คำว่าอาจารย์และลูกศิษย์ เฉินผิงอันจะสอนอะไรได้? ดูเหมือนว่าไม่ว่าอะไรก็สอนชุยตงซานไม่ได้แล้ว
เพียงแต่ว่านานวันเข้า เฉินผิงอันกลับคิดว่าตัวเองคืออาจารย์ของชุยตงซานจริงๆ แล้ว
โจวไห่จิ้งพลันหลุดหัวเราะพรืด วางถ้วยน้ำลง “เจ้าสำนักเฉินพูดเรื่องตลกแล้ว ข้ามีชาติกำเนิดจากชาวประมง คนบ้านนอกคนหนึ่งกับปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธอย่างผู้อาวุโสอวี๋ท่านนั้น ต่อให้จุดธูปขอพรพระทุกวันก็ยังไม่อาจปีนป่ายไปตีสนิทกับเขาได้แม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง”
นางเอ่ยต่ออีกว่า “อีกอย่างเจ้าสำนักเฉินก็อย่าเอาแต่เรียกข้าว่าอาจารย์โจวเลย ฟังแล้วแปร่งหูนัก เรียกชื่อข้าตรงๆ ได้เลย หรือจะเรียกว่าแม่นางโจวก็ได้ ถึงอย่างไรอายุของพวกเราสองคนก็ไม่น่าจะต่างกันมาก ถือเสียว่าเป็นคนรุ่นเดียวกันก็แล้วกัน”
เห็นว่าเซียนกระบี่หนุ่มไม่เอ่ยอะไร โจวไห่จิ้งก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าสำนักเฉินถามเรื่องนี้ทำไมหรือ? เป็นสหายกับผู้อาวุโสอวี๋? หรือว่าเป็นสหายของสหาย”
โจวไห่จิ้งคล้ายจะเข้าใจได้ในฉับพลัน พูดด้วยสีหน้าตกตะลึงว่า “หรือว่าเจ้าสำนักเฉินเคยเรียนหมัดมาจากอวี๋หง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เมื่อก่อนไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่ออวี๋หงมาก่อน”
โจวไห่จิ้งเอ่ยสัพยอก “แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่ คงไม่ถึงขั้นเห็นความงามแล้วเกิดจิตคิดไม่ดีกระมัง? ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เห็นว่าอาจารย์เฉินจะเหมือนคนประเภทนั้น ข้าได้ยินมาว่าเทพเซียนบนภูเขามองความงามของสตรีกับบุรุษล่างภูเขามองความงาม หนึ่งคือฟ้าหนึ่งคือดิน”
เฉินผิงอันเอ่ย “ครั้งนี้มาโดยไม่ได้รับเชิญ ละลาบละล้วงแวะมาเยือนเพราะมีเรื่องจะขอร้องที่ไม่สมเหตุสมผล หากแม่นางโจวไม่ยินดีจะตอบตกลง ข้าก็ไม่บังคับ แต่หากยินดีเล่าเรื่องในอดีต ก็จะถือว่าข้าติดค้างน้ำใจแม่นางโจวครั้งหนึ่ง วันหน้าหากมีเรื่องใดที่แม่นางโจวรู้สึกว่ายุ่งยาก ก็แค่ส่งกระบี่บินไปที่ภูเขาลั่วพั่ว เรียกเมื่อไหร่ข้าจะมาหาเมื่อนั้น แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือเรื่องที่แม่นางโจวให้ข้าทำต้องไม่ผิดต่อเจตจำนงเดิมของข้า”
“ฟังแล้วดูดี แต่ในความเป็นจริงล่ะ?”
โจวไห่จิ้งจุ๊ปาก “ข้าเกือบจะนึกว่าเวลานี้ไม่ได้อยู่ในบ้าน แต่ยังอยู่ในอารามเล็กของเต้าลู่เก๋อหลิ่งซะแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เข้าใจแล้ว ข้าดื่มน้ำถ้วยนี้หมดแล้วจะไปทันที จะไม่ทำให้แม่นางโจวลำบากใจ”
มองบุรุษชุดเขียวที่ถือถ้วยน้ำดื่ม โจวไห่จิ้งก็เอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฉินเป็นคนพิถีพิถันจริงๆ”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ทำไมถึงพูดเช่นนี้?”
โจวไห่จิ้งยิ้มพลางยกถ้วยขาวขึ้น “ไม่มีอะไร ขอใช้น้ำชาต่างเหล้าแล้วกัน”
เฉินผิงอันยกถ้วยขึ้นจิบน้ำหนึ่งอึก
โจวไห่จิ้งเห็นอยู่ในสายตา ใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานหยด
ทั้งๆ ที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชั้นสูง สามารถทำได้อย่างถูไถ ทั้งยังเป็นการ ‘ถูไถ’ ที่เป็นธรรมชาติมาก ไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าขัดตา คาดว่านี่ก็คงเป็นคำว่าพิถีพิถันที่นางกล่าวถึงกระมัง
หลังจากที่โจวไห่จิ้งเรียนวิชาหมัดสำเร็จแล้วได้ออกเดินทางท่องไปหลายแคว้น คนจากตระกูลผู้มีชื่อเสียง ตระกูลชนชั้นสูงในท้องถิ่น นางก็เคยได้เจอมาบ้าง พวกหมอนปักลายบุปผามีเยอะมาก พวกที่แสร้งวางมาดภูมิฐานก็มีไม่น้อย พวกคนที่ในท้องมีบทประพันธ์มีความรู้ความสามารถก็มีเหมือนกัน เพียงแต่ว่ามีไม่มาก
เพียงแต่ว่าคนตรงหน้าผู้นี้ ด้านล่างชุดกว้าตัวยาวสีเขียว รองเท้าผ้าที่ไม่แตะฝุ่นแม้สักเสี้ยวคู่นั้น ได้เปิดเผยความลับของเขา
อยู่ในสถานที่ยากจนที่มีเล้าหมูข้างทางและบนพื้นดินก็เต็มไปด้วยขี้ไก่ขี้หมาแห่งนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนกระบี่ผู้ซึ่งไปมาดุจสายลม เท้าไม่สัมผัสพื้น
คนเหล่านี้ ในใจบ้างก็ดูแคลน ความดูหมิ่นในใจ อันที่จริงยากที่จะปิดบังเอาไว้ได้ ในสายตาของโจวไห่จิ้งยังไม่อาจเทียบกับพวกคนที่สีหน้าแสดงให้เห็นว่าใช้ตาสุนัขมองคนต่ำด้วยซ้ำ
เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่อยู่สูงส่งเหนือใครพวกนี้ สถานที่ฝึกตนในภูเขา สถานที่ที่พำนักอาศัย มีใครบ้างที่ไม่ได้อยู่บนเมฆขาวดื่มน้ำค้างกินแสงอรุโณทัย
โจวไห่จิ้งพลันถามคำถามหนึ่ง “หากให้เจ้าสำนักเฉินเลือก จะยินดีดื่มน้ำเปล่า แต่ไม่ยินดีดื่มชารสหยาบหรือไม่”
เฉินผิงอันกล่าว “บอกตามตรง ข้ายังไงก็ได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!