ก็แค่เงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญหรือสิบกว่าเหรียญเท่านั้น แต่ถ้าหักเป็นเงินขาวและทองก้อนขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเปลี่ยนมาเป็นเงินเหรียญทองแดงเป็นพวงๆ อย่าว่าแต่ซื้อเลย ให้เปลี่ยนชุดเดินทางยามค่ำคืนแล้วหาผ้าสักผืนมาปิดใบหน้าลวกๆ ขึ้นไปปล้นบนภูเขา นางก็เริ่มมีความคิดแล้ว
เฉินผิงอันบอกลาแล้วจากไป โจวไห่จิ้งเดินไปส่งที่หน้าประตูเรือน
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวเราะเสียงเบา “พี่หญิงโจว เจ้าหมอนี่หน้าตาดีมากเลยนะ แค่มองก็รู้ว่าเป็นสุภาพชนคนหนึ่ง ทำไม รังเกียจว่าในกระเป๋าเขาไม่มีเงินก็เลยไม่เห็นอยู่ในสายตาอย่างนั้นหรือ?”
โจวไห่จิ้งยิ้มตาหยี “เขาไม่มีเงิน? เกาโหยวเอ๋ยเกาโหยว เจ้าช่างสายตาดีจริงๆ มิน่าเล่าคิดจะขโมยเงินถึงขโมยมาถึงบนร่างข้าได้ เจ้าพลาดเศรษฐีที่แท้จริงไปคนหนึ่งแล้ว”
เกาโหยวหันหน้าไปมองแผ่นหลังของชายผู้นั้น มีเงิน? คงไม่หรอกกระมัง?
เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดพลันวิ่งเหยาะๆ ไล่ตามเฉินผิงอันไป เดินเบี่ยงตัวจนแทบจะแนบติดกำแพง เอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าสำนักเฉิน ข้าชื่อว่านเหยียน”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ว่านเหยียนที่มาจากประโยคพิงม้าเขียนหมื่นถ้อยคำน่ะหรือ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแรง ลังเลอยู่ชั่วขณะก็ถามด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ท่านเป็นวิชาหมัดเท้าหรือไม่?”
“เป็นบ้างเล็กน้อย”
“สอนให้คนนอกได้ไหม?”
“ไม่ได้”
“ข้าสามารถมอบเงินให้ได้ หากเงินไม่พอก็ติดไว้ก่อน ข้าต้องใช้คืนให้แน่นอน ข้าสาบาน”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า ไม่ได้ตอบตกลงเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มมีสีหน้าหม่นหมอง “กระบวนท่าของพวกอาจารย์ผู้เฒ่าในศูนย์ฝึกยุทธ พวกเราเรียนไปก็ไม่มีประโยชน์ ได้ยินมาว่ายังต้องใช้ตำราหมัดหรือคัมภีร์อะไรด้วย พวกเราต่างก็ไม่เคยอ่านตำรามาก่อน จึงไม่อาจเรียนเอาแก่นความรู้ที่แท้จริงมาได้”
อันที่จริงยังมีคำพูดบางอย่างที่ไม่ได้หลุดออกมาจากปาก ฝึกท่ายืนนิ่งเดินนิ่งผายลมสุนัขกับเกาโหยวอย่างส่งเดชมานานหลายปี สรุปแล้วช่วยเพิ่มพละกำลังหรือไม่กลับบอกได้ยาก แต่ที่แน่ๆ คือหิวง่าย พอหิวแล้วก็ต้องไปขโมยเงินบนถนน ศูนย์ฝึกยุทธน้อยใหญ่ในเมืองหลวงไม่มีที่ไหนยินดีรับคนยากจนสองคน พรรคในยุทธภพก็ยิ่งอยู่ได้ยาก
เฉินผิงอันถาม “ทำไมถึงอยากเรียนหมัด?”
ว่านเหยียนเอ่ย “จะได้ไม่ถูกรังแก พอมีวิชาความรู้ติดตัวแล้วก็จะได้หาเงินได้ง่ายหน่อย”
โจวไห่จิ้งที่เอนหลังพิงประตูตะโกนพูดกับเซียนกระบี่หนุ่มอยู่ไกลๆ “เรียนหมัดช้าไปสักหน่อย หากได้เจอกันเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน ไม่แน่ว่าข้าคงจะยินดีสอนวิชาแมวสามขาให้พวกเขาอยู่บ้าง แต่ทุกวันนี้สอนไปก็มีแต่จะทำร้ายพวกเขา ด้วยนิสัยของพวกเขา วันหน้าอยู่ในยุทธภพ ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกคนซ้อมตายอยู่ในสำนักแน่นอน ไม่สู้เป็นโจรไปอย่างสงบดีกว่า ความสามารถน้อยก็ก่อเรื่องได้น้อย”
เกาโหยวพูดอย่างขุ่นเคือง “พี่หญิงโจว อย่าได้ดูแคลนกันสิ สมองของว่านเหยียนดีมากนะ เขาก็แค่ไม่มีเงินเรียนหนังสือเท่านั้น ไม่อย่างนั้นคงสอบติดเป็นจิ้นซื่อไปแล้ว”
เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดยิ้มเขินอาย เกาหัว สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
คนทั้งสองกำลังจะเดินไปสุดปลายตรอก เฉินผิงอันก็ยิ้มถามว่า “ทำไมถึงอยากเรียนวิชาหมัดกับข้า พี่หญิงโจวของพวกเจ้าก็ไม่ใช่คนในยุทธภพหรอกหรือ ไยต้องละทิ้งสิ่งใกล้ตัวไปหาสิ่งที่อยู่ไกลตัวด้วยเล่า”
ว่านเหยียนเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าอาจารย์เฉินเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็”
ว่านเหยียนรีบแก้ไขคำพูดทันที “ก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง!”
เด็กหนุ่มหันหน้ามายิ้มขออภัยโจวไห่จิ้ง
โจวไห่จิ้งถูกหยอกจนขำ
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ข้าเป็นยอดฝีมือหรือ เจ้ามองออกได้อย่างไร?”
ว่านเหยียนเอ่ย “พลังอำนาจ เจ้าสำนักเฉินไม่ว่าจะเดินหรือพูดจาล้วนไม่เหมือนกับพวกเรา แต่กลับเหมือนท่านน้าโจว”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที พยักหน้าเอ่ยว่า “มองดูโลกอย่างระมัดระวังคือความเคยชินที่ดี จะทำให้เจ้าอ้อมผ่านอุปสรรคมากมายไปอย่างที่มองไม่เห็น เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ พวกเรามิอาจพิสูจน์กับตัวเองได้ เจ้าก็ถือเสียว่าเป็นประสบการณ์ซึ่งคนที่เคยผ่านมาก่อนเล่าให้ฟังก็แล้วกัน”
ลัทธิขงจื๊อกล่าวว่าพึงสำรวมระมัดระวังตัวแม้ยามอยู่เพียงลำพัง ลัทธิพุทธกล่าวถึงการบรรลุธรรมด้วยตัวเอง อันที่จริงความหมายไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไร เพียงแต่ว่าเวลานี้พูดเรื่องเหล่านี้กับเด็กหนุ่มไม่ได้มีความหมาย จำต้องยอมรับว่า หลักการเหตุผลหลายอย่าง แท้จริงแล้วมีธรณีประตู นอกจากนี้แล้วยังต้องพิถีพิถันในเรื่องที่ว่ายินดีจะเรียนรู้หรือไม่ เต็มใจจะรับฟังหรือไม่อีกด้วย
เฉินผิงอันหยุดเท้าอยู่หน้าตรอก ยิ้มเอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า “ท่านน้าโจวของพวกเจ้าเป็นคนที่พูดง่าย ขอร้องนางให้มากๆ เวลาปกติก็มีไหวพริบสักหน่อย หาเรื่องทำบ้าง ยกตัวอย่างเช่นเป็นฝ่ายไปซื้อเหล้าให้กับน้าโจว คิดจะเรียนรู้วิชาหมัดเท้าเสริมสร้างให้เรือนกายแข็งแกร่งต้องไม่ยากแน่นอน”
ว่านเหยียนพยักหน้า “เข้าใจแล้ว ยังต้องใช้เงิน!”
เฉินผิงอันหัวเราะ เดินออกจากตรอกแล้วจากไปทันที
โจวไห่จิ้งเบ้ปาก
ว่านเหยียนหยุดยืนนิ่งอยู่เนิ่นนาน รอกระทั่งมองไม่เห็นชุดเขียวนั้นแล้ว ถึงได้วิ่งกลับไปหาสหายรักเกาโหยวและโจวไห่จิ้ง
โจวไห่จิ้งเอ่ยว่า “เรื่องของการเรียนหมัด แนะนำพวกเจ้าว่าถอดใจเสียเถอะ เหตุผลก็คือลูกกระต่ายน้อยอย่างพวกเจ้าสองคนไม่ดำมากพอ”
เกาโหยวถามอย่างคลางแคลง “ใจไม่ดำมากพอหรือ?”
โจวไห่จิ้งกลอกตามองบน หมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน ปิดประตูเรือนลง
มองถ้วยขาวที่วางอยู่บนโต๊ะ นางหวังเพียงว่าเซียนกระบี่ที่มีกลิ่นอายของตำรา อาจารย์ของเผยเฉียนผู้นี้จะพูดจริงทำจริง ไม่มาตอแยตนอีก
โจวไห่จิ้งนั่งอยู่บนธรณีประตูของห้องหลัก มองลานบ้านด้านนอก
ชาวประมงริมทะเลตากแดดจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ลมทะเลพัดมาพร้อมกลิ่นคาว เด็กหนุ่มเด็กสาวที่จับปลาเก็บไข่มุก ส่วนใหญ่ล้วนผิวดำเกรียมเหมือนถ่าน แต่ละคนจะงดงามหน้าตาดีไปได้อย่างไรกัน
เคยมีบุรุษต่างถิ่นคนหนึ่งมาหยุดพักเท้าอยู่ที่หมู่บ้านริมทะเล ช่วยพวกชาวประมงตากเกลือทะเล ทำเขื่อนกั้นน้ำ
และบ้านเกิดของนางก็อยู่ใกล้กับมหาสมุทรใหญ่ ฟังบรรพบุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่าบอกเล่าสืบต่อกันมา บอกว่าที่นั่นคือสถานที่ที่พระอาทิตย์หลับตาลงพักผ่อนและลืมตาตื่นขึ้นมา
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล หญิงสาวยากจนงดงามดุจบุปผา แต่ไร้คันฉ่องจึงไม่รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของตน
เฉินผิงอันที่เดินจากไปไกลช้าๆ พึมพำว่า “บุปผาเบ่งบานออกผลพร้อมกัน”
……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!